ตอนที่ 5
หลังจากที่เดินตามพี่ฟิวส์เข้ามาในห้อง ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองไม่ได้นัดกับพี่ฟิวส์แต่นัดกับพี่ไมเนอร์ต่างหาก แล้วทำไมฉันถึงตามเขาเข้ามาด้วยเล่า
“พี่ไมเนอร์ล่ะคะ”
“...”
“แล้วเขาจะเข้ามาตอนไหน”
“...”
เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ทั้งๆ ที่ฉันคิดว่าเสียงที่เปล่งออกไปนั้นมันไม่ได้เบาเลยสักนิดเดียว เขาหอบเอกสารกองใหญ่ขึ้นมาวางตรงกลางโต๊ะแล้วหันมาทางฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ขี้เก๊ก!
“เอางานนี้ไปทำ”
“...” ฉันเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปาก ถาม “ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าพี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ก็หนูรับปากกับพี่ไมเนอร์ว่าจะทำงานให้เขา ไม่ได้ทำงานให้พี่”
“แล้วเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เธอติดหนี้ฉันไม่ได้ติดนี่ไอ้ไมเนอร์”
“ก็หนูจะทำงานให้เขา แล้วพี่เขาจะจ่ายเงิน เพื่อใช้หนี้พี่ไง”
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ เหมือนเรื่องที่ฉันพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องตลก
ขำอะไรไม่ทราบ!
ฉันได้แต่คิดในใจแบบนั้นแต่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะขืนพูด คงมีเรื่องแน่ คนอย่างพี่ฟิวส์พร้อมที่จะมีเรื่องกับฉันได้ทุกเวลาอยู่แล้ว
“งั้นหนูไปตามหาพี่ไมเนอร์ที่ชมรมก็ได้ค่ะไม่รบกวนแล้ว” พูดจบ ฉันหันหลังทำท่าจะเดินออกไปแต่อีกคนก็ห้ามเอาไว้ด้วยประโยคหนึ่ง
“มันบอกให้ฉันสั่งงานเธอ ถึงไปก็ต้องกลับมาอยู่ดี”
“...” ฉันหันกลับมา มองเขาเหมือนไม่อยากจะเชื่อนัก ก่อนจะเหลือบไปมองยังเอกสารบนโต๊ะกองหนึ่ง ที่เขาเพิ่งเอามันออกมาวาง ตรงนั้น “แล้วพี่จะให้หนูทำอะไร”
“ตรวจเอกสารตรงนั้น” เขาไม่ได้แค่พูดแต่ยังกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ ใจหนึ่งก็อยากฉีกหน้าด้วยการเดินออกไป แต่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะฉันติดเงินเขาอยู่ตั้งสองหมื่นและยังไม่ได้จ่ายแม้แต่บาทเดียว
ทำงานให้พี่ฟิวส์หรือพี่ไมเนอร์ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก สุดท้ายก็ต้องใช้หนี้เขาอยู่ดี
“ทำยังไงคะ สอนหน่อยหนูไม่เคยทำงานแบบนี้”
ฉันเอื้อมมือไปหยิบเอกสารเล่มบนสุดที่กองอยู่บนโต๊ะมาดู มันไม่ใช่น้อยๆ เลย เพราะน่าจะโครงการอะไรสักอย่างที่แต่ละคณะส่งมา ถ้าให้เดาคงเป็นโครงการที่เขาส่งกันเพื่อเสนอจัดกิจกรรมสำหรับนักศึกษา หากโครงการไหนที่ผ่านและได้รับอนุมัติ จากทางสโมสรนักศึกษาหรือทางอาจารย์ ถึงสามารถจัดกิจกรรมนั้นได้ล่ะมั้ง
“...” เขามองหน้าฉันนิ่งๆ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ยอมพูด สุดท้ายก็เดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง “ตรวจดู โครงการที่พวกสโมสรแต่ละคณะส่งมา อันนี้เป็นตัวอย่างของคณะรัฐศาสตร์”
แล้วพี่ฟิวส์ก็อธิบายเกี่ยวกับพื้นฐานงานโครงการพวกนั้นที่ฉันต้องทำความเข้าใจก่อนจะตรวจดูว่า โครงการไหนสมบูรณ์โครงการไหนที่ยังขาดตกบกพร่อง ส่วนไหนที่ไม่สมบูรณ์ฉันจะต้องทำการขีดเส้นใต้เอาไว้ และเขาจะเป็นคนตรวจมันอีกที
โต๊ะของพี่ฟิวส์อยู่ตรงกลางห้อง ส่วนตัวที่ฉันนั่งอยู่ถัดจากเขาไม่แน่ใจว่าเป็นโต๊ะของใครเพราะบนโต๊ะนี้แทบไม่มีเอกสารอะไรวางอยู่เลย มันว่างและสะอาดตาที่สุด จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อวานมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
ทั้งห้องนี้มีแค่เราสองคน ภายในห้องจึงมีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงของเมาส์และแป้นพิมพ์ที่พี่ฟิวส์กำลังทำงานอยู่เท่านั้น บรรยากาศมันจึงแลดูอึดอัดชอบกล
“อะไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อเห็นว่าฉันลอบมองอยู่
“คือว่า เปิดเพลงได้ไหม เงียบจัง”
เขาไม่ตอบ หันหน้ากลับไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของตัวเอง ไม่ถึงนาทีเสียงดนตรีของเพลงฮิตเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น ฉันจึงหันไปยิ้มและขอบคุณตามมารยาท
“ขอบคุณค่ะ”
“เรื่องมาก ให้ทำงานยังจะขอเพลง”
ฉันไม่ตอบได้แต่ยิ้มกับความใจดีเรื่องแรกที่เจอจากเขา ตั้งใจทำงานของตัวเองต่อไป จนกระทั่งมีโครงการหนึ่งที่ตัวเองสงสัยจึงลุกจากเก้าอี้ไปถามอีกคน
“ขอถามอันนี้หน่อยได้ไหม”
“อืม”
ฉันถามไปพี่ฟิวส์ก็อธิบายกลับมาอย่างละเอียด ไม่คิดเลยว่าเขาจะเก่งขนาดนี้ เรียนวิศวะก็ว่าหนักแล้ว มาอยู่สโมสรนักศึกษาอีก ถ้าเป็นฉันสมองคงแตกตั้งแต่แรกแล้ว
ระหว่างที่กลับมานั่งทำงานไม่ถึงนาที ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง ฉันจำได้ว่าเขาคือหนึ่งในห้าคนเมื่อคืนนี้ ทันทีที่เขาเห็นฉันก็มีท่าทีแปลกใจ แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นสีหน้าก็ถูกปรับให้เป็นปกติ
“พวกมันล่ะ”
“พวกมันไม่เข้ามาแล้ว”
รุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ฉันสังเกตเห็น ดูเย็นชาและไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นด้วย
“ออ”
“พี่ไมเนอร์ก็ไม่มาเหรอคะ” ฉันถามด้วยความอยากรู้ เพราะเขาคือรุ่นพี่ในคณะ มันเลยรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุดถ้าเทียบกับทุกคนที่อยู่ในสโมฯกลาง
“ไม่ มันไปกับ…สาว”
“ออ ค่ะ”
ฉันพยักหน้ารับรู้แล้วก้มทำงานของตัวเองต่อ แอบฟังพวกเขาสองคนคุยกันด้วยแต่ไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องงานที่พี่ฟิวส์กำลังทำอยู่นั้น จับใจความได้คร่าวๆ งานนั้นคงเป็นโปรเจ็คจบของพวกเขา
เพิ่งสังเกตเห็นว่าสองคนนั้นใส่เสื้อช็อปมาเหมือนกันและเรียนสาขาเดียวกันด้วย นั่นหมายความว่าพี่ฟิวส์กับรุ่นพี่คนนี้คงสนิทกันมากที่สุด แต่ฉันไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสนิทสนมนั้นเลยเพราะเพื่อนพี่ฟิวส์ดูเงียบขรึมสุดๆ
“พี่เขาชื่ออะไรเหรอ” ฉันถามด้วยความอยากรู้เมื่อรุ่นพี่คนนั้นเดินออกไป แค่รู้จักชื่อกันไว้ก่อนครั้งต่อไปจะได้เรียกถูก
“…” พี่ฟิวไม่ตอบ เขาทำเหมือนว่าไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดอีกเช่นเคย “ให้มาทำงาน ไม่ได้ให้มาสนใจเรื่องผู้ชาย”
“แค่อยากรู้ชื่อค่ะ เผื่อครั้งหน้าเจอกันอีกจะได้เรียกถูก” ฉันวางเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วหันไปมองเขาอย่างเอาเรื่อง “อย่ามาหาเรื่อง”
“...” เขาหัวเราะในลำคอ เกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ชะมัด มันเหมือนเขาตัดบทด้วยการพูดว่าไม่เชื่อ “ทำงานไปอย่าพูดมาก”
--------------
อย่าให้เห็นนะว่ามีใครก้มหัวให้น้องมัน อิอิ
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง