ฉันสะบัดหน้ากลับมา แต่ตั้งใจทำงานของตัวเองไม่เท่าไหร่เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้เป็นยัยรุ่นพี่ที่เพิ่งเจอกันก่อนหน้านี้ พอเห็นฉันหน้าเธอก็แสดงออกเลยว่าไม่ชอบ
“ฟิวส์ ยัยนุ่นจะเข้ามาตอนนี้อยู่หลังมอ เราจะสั่งข้าวฟิวส์เอาอะไรไหม”
“ไม่ ยังไม่หิว” พี่ฟิวส์ตอบแค่นั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะแกล้งดูเอกสารอยู่เดียวยัยรุ่นพี่นั่นหาว่าสนใจ
“ให้น้องมันทำงานอะไรเหรอ ให้เมย์ทำก็ได้นะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ข้างกายจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ไปทำงานของเธอเถอะ เด็กมันต้องทำงานให้ฉันอยู่แล้ว” พี่ฟิวส์หันมามองรุ่นพี่ที่ชื่อเมย์แล้วบอกเสียงเรียบ
ไม่รู้ว่าเป็นนิสัย หรือเขาพยายามวางตัวในฐานะนายกสโมสรนักศึกษากันแน่ เวลาพูดฉันถึงได้รู้สึกได้ว่าเขาทำสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งตลอด ยกเว้นคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อคืนจะอีกแบบ
“วันนี้เราไม่มีงานอะไรเลย เดี๋ยวช่วย…”
“ไม่ต้องช่วย ฉันลงโทษเด็กมันอยู่” พี่ฟิวส์บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่สนใจอีก เป็นอันว่าคุณพี่เมย์ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะใจเหลือเกิน
ปกติไม่เคยมีความคิดด้านลบแบบนี้หรอกนะ แต่ยัยรุ่นพี่คนนี้ฉันรู้สึกได้ว่าหล่อนไม่ได้คิดดีกับฉันเลย แต่ทั้งหมดนี้น่าจะมีผลมาจากคนที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะข้างๆ นี้
พี่เมย์นั่นชอบพี่ฟิวส์อยู่แน่นอน! ฉันฟันธง!
“หนูกลับได้กี่โมงคะ”
นั่งทำงานไปสักพักท้องก็เริ่มหิวเลยแกล้งถามพี่ฟิวส์ไป แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นจากงานมองฉันด้วยสีหน้ารำคาญ
“ทำงานได้นิดหน่อย หาเรื่องจะกลับอีกแล้ว ขี้เกียจจังวะ”
“ไม่ได้ขี้เกียจ แต่พี่ควรแจ้งเวลาหน่อยว่าหนูต้องทำงานถึงกี่โมง บางวันหนูก็ต้องไปทำงานร้านเหล้า ไม่ได้มาแบบนี้ทุกวัน” ฉันเถียง เมื่อถูกกล่าวหาอย่างนั้น ถ้าขี้เกียจไม่นั่งทำตั้งแต่บ่ายสามจนถึงหกโมงแบบนี้หรอก “แล้วก็ควรบอกด้วยว่าจะให้มาช่วยงานถึงเมื่อไหร่ หนึ่งเดือน สองเดือนหรือสามเดือนถึงจะพอที่ต้องจ่ายให้น่ะ”
“…ทีอย่างนี้ล่ะเก่ง” พี่ฟิวส์ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง “วันนี้เธอต้องทำให้เสร็จกองนั้น วันอื่นยังไม่ได้คิดเวลา”
พูดจบเขาก็เดินหนีออกไปนอกห้อง ไม่รอให้ฉันโวยวายต่อ มันน่าโมโหนัก แล้วงานที่กองอยู่นั่นผ่านมาสามชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงครึ่ง ถ้าทำงานโดยไม่มีเป้าหมายว่าจะใช้หนี้หมดตอนไหนขอไม่ทำดีกว่า
ทว่าสุดท้ายฉันก็ต้องนั่งก้มหน้าทำงานต่อ วันนี้ไม่เคลียร์พรุ่งนี้ก็ต้องจัดการเองให้รู้แล้วรู้รอด
พี่ฟิวส์กลับมาหลังจากที่เขาหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในมือถือถุงใสที่มีข้าวกล่องอยู่สองกล่อง เขาหยิบมันขึ้นมา ตอนที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะของฉัน ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะทำงาน โดยที่ไม่พูดไรสักคำ แถมยังทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ฉันอีกต่างหาก
“ขอบคุณค่ะ ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้” ฉันขอขอบคุณมารยาทก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบข้าวกล่องกล่องนั้นขึ้นมา
ถามว่าเขินไหมที่ต้องทานข้าวของเขา ตอบเลยว่าไม่เพราะตอนนี้ฉัน หิวจนแสบท้องหมดแล้ว อย่างน้อยเขาก็ใจดีที่อุตส่าห์ซื้อมันมาให้
หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ ส่วนพี่ฟิวส์ก็ทำงานของตัวเอง ทั้งห้องมีเพียงเสียงเพลงที่พี่ฟิวส์เปิดเอาไว้เพราะทั้งฉันและเขาต่างทำงานของตัวเอง อีกอย่าง ก็ไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร พอคุยกันเมื่อไหร่ก็เหมือนเราจะมีปากเสียงกันตลอด
“ไอ้ฟิวส์ ยังไม่กลับเหรอ”
“อืม ทำงาน”
รุ่นพี่คนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา พอเห็นฉันเขาก็ทำสีหน้าแปลกใจเช่นเดียวกันกับรุ่นพี่คนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เขาถามแล้วมองเพื่อนตัวเองสลับกับมองฉันไปมาพอพี่ฟิวส์ตอบเขาก็พยักหน้ารับรู้
“กูเข้ามาเอาของพอดีเห็นเปิดไฟไว้ เลยเข้ามาดู งั้นกูไปก่อนนะ”
“เออ เจอกัน”
พอประตูห้องปิดลงฉันก็ก้มมองนาฬิกาของตัวเองที่อยู่บนข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว งานที่กองอยู่บนโต๊ะก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย คำนวณเวลาแล้วคงเกือบเกือบสี่ทุ่มกว่าจะได้กลับหอ คิดว่าวันนี้จะได้นอนพักยาวเพราะพรุ่งนี้ต้องไปร้าน สุดท้ายก็คงได้นอนดึกเหมือนเดิม
“เหลือเยอะไหม” พี่ฟิวส์หยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ แล้วเขาก็เอื้อมมือไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกัน
“อีกสิบโครงการค่ะ” ฉันตอบ แล้วดันเอกสารที่ยังไม่ได้ตรวจไปตรงกลางโต๊ะ
ฉันลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเขากำลังหยิบเอกสารไปดู เพราะเห็นว่าตอนนี้มันดึกมากแล้วเขาคงอยากช่วยนั่นแหละ หรือเอกเหตุผลก็คือ เขาไม่อยากเฝ้าชั้นจนดึกดื่น อยากกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน
พี่ฟิวส์เป็นคนที่หน้าตาดีมาก ถ้าไม่ติดที่เขาชอบหาเรื่องทะเลาะล่ะก็ มั่นคงดูมีเสน่ห์กับฉันมากกว่านี้ ไม่แปลกใจหรอกที่ใครๆ แต่ก็ชอบและชื่นชมเขาทั้งหน้าตาดีมีความสามารถ ขนาดว่าเพื่อนสองคนของฉัน เห็นแล้วยังทำอย่างกับเห็นดารานักร้อง
ส่วนฉันนั้นไม่ค่อยรู้จักใครหรอกเพราะมัวแต่สนใจเรื่องงานกับครอบครัวที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย ถึงแม้จะได้ทุนเรียนฟรี แต่ แต่ผู้ใหญ่เขาก็รับผิดชอบเพียงแค่ค่าเทอมเท่านั้นส่วนค่ากิน ค่าใช้ทุกอย่างฉันกับยายต้องเป็นคนหายเอง เล่นตอนนี้ย้ายมาเดือดร้อนเรื่องของหน้า อีก ก็เหลือแต่ฉันที่ต้อง หาเงิน ให้ตัวเองและน้อง
“มองอะไร”
“เปล่า” ฉันรู้ตัวอีกทีว่าแอบมอง เขานานเกินไป ก็ตอนที่ถูกถาม จึงต้องรีบก้มหน้าดูงานของตัวเอง อย่างเนียนๆ ก่อนจะนึกได้ว่า มีบางอย่างที่ต้องบอกพี่ฟิวส์ “พรุ่งนี้หนูต้องไปทำงานที่ร้านนะไม่ได้มาช่วย”
“...” เขาเงียบไปพักนึง แล้วจึงเอ่ยปากถามเบาๆ “วันไหนบ้าง”
“ไม่แน่นอนค่ะ พอผู้จัดการร้านจะเป็นคนจัดวันให้ แต่อาทิตย์นี้มีวันจันทร์ พุธ ศุกร์เเล้วก็วันเสาร์”
“คิดยังไงไปทำงานนั้น” คำถามของเขาฟังไม่ออกว่ายินดียินร้าย น้ำเสียงที่ดังออกมาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด คงอยากรู้ไปอย่างนั้น
“เพื่อนแนะนำมาค่ะ แล้วมันก็ได้เงินดีกว่า งานที่เคยทำมาด้วย”
“ร้อนเงิน?”
“ค่ะ ร้อนเงิน ร้อนมากด้วย พอจะมีให้ยืมสักสองสามพันไหม”
ฉันตอกกลับไปเมื่อเจอคำถามของเขาที่ออกแนวดูถูก ไม่ได้โกรธเขาขนาดนั้นหรอกแต่คนเราเวลาได้ยินอะไรแบบนี้มันรู้สึกไม่ดีนัก ไม่แปลกที่เขาจะมองฉันแบบนั้นเพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ค่าเทอมค่อนข้างสูง คนส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนได้ไม่ใช่แค่เพราะเรียนเก่งอย่างเดียวแต่ต้องมีฐานะด้วย
เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่าฉันจน แต่มีเด็กในมหาวิทยาลัยไม่กี่คนหรอกที่จะทุ่มเทเวลาหลังเลิกเรียนไปหาเงิน และคงมีไม่กี่คนเหมือนกันที่หาเงินมาจ่ายค่าห้องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
ตอนที่สอบชิงทุนได้ฉันก็ดีใจรีบรับโอกาสดีๆ นี้ไว้ แต่ลืมไปว่าแค่ทุนเรียนฟรีมันไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญเพียงอย่างเดียว เงินที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ไหนจะมีค่าหอพัก ค่าเดินทางอีก เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าฉันจะใช้มันครบหรือเปล่า
--------------
น้องก็ยืมเล่นๆ แต่ให้จริงก็เอาแหละ
อย่าลืมกดหัวใจ กดติดตาม และเพิ่มเข้าชั้นด้วยน้า
ตอนที่ 6สองวันต่อมาวันนี้เป็นอีกวันที่ฉันต้องเข้ามาช่วยงานสโมสรนักศึกษา ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง แต่ฉันก็เข้ามานั่งรอพี่ฟิวส์ในห้อง ตามคำสั่งของเขา เพราะเพิ่งทักไปถามเมื่อกลางวันที่ผ่านมาเมื่อเห็นว่าคนสั่งงานยังไม่เข้ามา แล้วรู้สึกเบื่อไม่รู้จะทำอะไรฉันจึงเดินสำรวจห้องสโมสรนักศึกษาดูสักหน่อย เพราะมุมหนึ่งเป็นชั้นวางหนังสือและแฟ้มเอกสาร มีหนังสือทำเนียบนายกสโมสรฯ และประธานชมรมต่างๆ ตั้งแต่หลายสิบปีก่อนจนถึงปัจจุบันวางเรียงกันหลายชั้นลองหาดูแล้วยังไม่เห็นข้อมูลของพี่ฟิวส์ คงเป็นเพราะหนังสือพวกนี้ทำตอนที่จะหมดวาระแล้วแน่ๆ น่าเสียดายว่าจะสืบประวัติสักหน่อย“ไม่กลัวไอ้ฟิวส์มาเห็นเหรอ”“ฟิวส์เรียนอยู่ ไม่เห็นหรอก”เสียงชายหญิงคู่หนึ่งทำเอาฉันตกใจจนต้องรีบหลบเข้าอีกฝั่งของชั้นวางแฟ้มเอกสาร บทสนทนาของทั้งคู่เรียกให้ต่อมความอยากรู้ของฉันทำงานจนต้องแอบมองลอดผ่านช่องว่างเล็กๆพี่ไมเนอร์กับพี่เมย์“เธอนี่ร้ายใช่เล่น”“ก็พอๆ กับนายนั่นแหละไมเนอร์”“หึ”มากไปกว่าบทสนทนาที่ชวนสงสัยนั้น ภาพที่ฉันเห็นคือสองคนนั้นกำลังนัวเนียกันทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา กระดุมเสื้อสองเม็ดด้านบนของฝ่ายห
เขาไม่พูดอะไรสักคำ ขยับถอยหลังมายืนชิดกับตัวฉัน จนหน้าของฉันอยู่ห่างกับแผงอกของเขาไม่ถึงคืบ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงที่เริ่มจางจากตัวเขาลอยเข้ามาในจมูก มันเป็นกลิ่นที่หอมมากอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน คงเป็นเพราะราคาของมันแพงล่ะมั้งถึงได้หอมขนาดนี้ฉันยกแขนขึ้นมาตั้งฉากกั้นไว้ตรงหน้าอกเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอยากที่มันยื่นออกไปจนชิดกับตัวเขา พาลทำให้รู้สึกน่าอายอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาเคยใกล้กับผู้ชายขนาดนี้ก็คงมีแค่น้ำหนาวน้องชายแท้ๆ ของตัวเองเท่านั้น“เอ่อ…” ฉันกำลังจะขยับตัวออกห่างแต่กลับถูกเขารั้งเอาไว้ด้วยการตวัดแขนมาเกี่ยวเอวเอาไว้ แล้วส่งสายตาดุๆ มาให้ ก่อนจะหันกลับไปแอบมองสองคนนั้นที่กำลังเดินออกมา ยืนอยู่มุมนี้สองคนนั้นคงไม่เห็นเราสองคนเพราะมันเป็นมุมที่ค่อนข้างมืดมาก“โทษที วันนี้ฉันรีบ” เสียงของพี่ไมเนอร์ดังขึ้น นั่นทำให้ฉันต้องกลับไปสนใจที่เหตุการณ์ด้านนอกอีกครั้ง“วันหลังก็หัดเตรียมตัวมาหน่อย มันเสียอารมณ์”“หึ อยากขนาดนั้น ไปหาที่ห้องฉันก็ได้นะ” ฝ่ายชายหัวเราะ ก่อนที่ฉันจะเห็นเขาเอื้อมมือไปบีบขย้ำที่หน้าอกของพี่เมย์โดยไม่กลัวว่าใครจะเปิดประตูมาเห็นฉันรีบเบือนหน้าหนีด้วยความรู
พักหนึ่งพี่ฟิวส์ก็เดินมานั่งที่โต๊ะ แล้วพวกที่พูดมากเมื่อกี้ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเหมือนหนังคนละม้วนไม่พูดไม่จา นั่งเกรงจนฉันกลัวเพื่อนเป็นตะคริว“ลืมแนะนำเพื่อนค่ะ คนนี้ระริน อีกคนจิน” ฉันบอกคนที่นั่งข้างๆ “ส่วนพวกนี้ น่าจะรู้จักพี่ฟิวส์แล้ว”“รู้จักได้ยังไง” เขาหันมาถามฉันด้วยความสงสัย“ก็พี่เป็นนายกสโมไง ใครก็รู้จัก” ฉันบอกแล้วเทเหล้าปั่นที่รสชาติไม่ต่างจากเครื่องดื่มเมนูโซดาขึ้นมาดูดอย่างเอร็ดอร่อย“ยกเว้นน้ำค้างคนหนึ่งค่ะ เพราะตอนแรกมันไม่รู้จักพี่ฟิวส์” จินบอกหนุ่มรุ่นพี่จนเขาหันมามองหน้าฉันแต่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา“ก็ไม่ได้สนใจ ทำไมต้องรู้จัก”“แกเพิ่งบอกว่าพี่เขาเป็นถึงนายกสโมฯ”“หึ” คนที่หัวเราะออกมาคือพี่ฟิวส์ ส่วนฉันแกล้งหยิบเหล้าปั่นนั่นขึ้นมาจิบแก้เก้อต่อ“น้ำค้างบอกว่าพี่ฟิวส์อกหัก อย่าไปเครียดเลยค่ะ ดื่มกับพวกเรารับรองลืมไปเลยว่าเคยมีแฟน มาค่ะพี่ฟิวส์ ชนแก้ว” ระรินเอ่ยอารมณ์ดีก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นมากลางวง“อกหัก?” ผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่มนิ่งไปก่อนจะเอ่ยสองคำนั้นเป็นเชิงคำถามพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน“ค่ะ ก็มันบอกว่าพี่อกหัก”“…” พี่ฟิวส์หันมามองฉันที่กำลังรู้สึก
“หวัดดี น้องระริน… เจอกันอีกแล้วเนอะ” พี่ไมเนอร์ยิ้มร้าย มองเพื่อนฉันด้วยสายตาราวกับหมาป่าที่อยากขย้ำเหยื่ออย่าคิดจะมาเขมือบเพื่อนฉันอีกคน!“ไปทำอะไรมาวะ โคตรช้า” พี่บูมเป็นคนถาม ส่วนพี่ฟิวส์ก็มองหน้าพี่ไมเนอร์เหมือนกำลังรอคำตอบ“ธุระ”“อย่างมึงจะมีธุระอะไรอีก นอกจากเรื่อง…”“เสือก” พี่ไมเนอร์พูดแล้วแย่งแก้วของพี่บูมมาดื่มจนหมด แอบเห็นสายตาของเขาจ้องยัยระรินอย่างมีความหมายบางอย่างอย่าบอกนะว่าคิดอะไรไม่ดีกับเพื่อนสนิทฉันด้วย! บอกเลยว่าฉันไม่ยอมแน่“จะทำอะไรก็เกรงใจเจ้าที่เจ้าทางหน่อยนะมึง” คราวนี้พี่ฟิวส์เป็นคนพูดบ้าง เขามองพี่ไมเนอร์สีหน้าเรียบเฉยเจ้าที่ ที่แปลว่าเจ้าของที่ใช่ไหมนะ แอบข่มพี่ไมเนอร์สินะ“เจ้าที่ไม่ขี้เสือกแบบพวกมึงหรอก กูรู้”ฉันได้แต่นั่งฟังรุ่นพี่สี่คนคุยกัน ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งนักหรอกแต่พอเห็นว่าพี่ไมเนอร์ไม่มีความรู้สึกผิดเลยสักนิดฉันก็เริ่มโมโหแทนพี่ฟิวส์ขึ้นมา“ชนแก้วค่ะ”“ยัยค้าง เห็นกินง่ายๆ เมาหยั่งหมานะบอกก่อน ฉันเคยล้มมาแล้ว” ยัยจินบอกแล้วแอบหลุดขำใส่ฉัน“เมาก็เมา เดี๋ยวเดินกลับ” อย่าว่าแต่หมดเหยือกเลยตอนนี้ก็เริ่มมึนแล้ว“พี่ฟิวส์ฝากเพื่อนหนูด้วยนะ
“เขามีอะไรกับแฟนพี่เลยนะ หรือว่า…” ฉันหยุดครุ่นคิดก่อนจะปรือตาขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลานั้นช้าๆ“หรือว่า?”“พี่ใช้ของร่วมกับเพื่อนได้ด้วย…หูย น่ากลัว รสนิยมใช้ผู้หญิงคนเดียวกันเหรอ~”“เธอมันเพ้อเจ้อตลอด” พี่ฟิวส์หัวเราะเบาๆ“แล้วทำไมรับได้เล่า” ยอมรับว่าเมาแต่เรื่องพี่ฟิวส์ทำมึนยิ่งกว่า“ก็ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับยัยนั่น”“เอ้า!”“เอ้า” พี่ฟิวส์เลียนแบบเสียงอุทานของฉัน ดวงตาคมคู่นั้นแฝงไปด้วยรอยยิ้มกวนๆ “ยัยเด็กขี้มโน คิดเรื่องเป็นตุเป็นตะ โคตรตลก”“แล้วสรุปพี่เป็นแฟนใคร…” สมองของฉันที่มันแทบไม่อยากทำงานยังคงตั้งคำถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้“ถ้าฉันมีแฟนจะขึ้นมาส่งเธอถึงห้องไหม ยัยโง่ ทิ้งไว้หน้าหอนั่นแหละ”ฉันเม้มริมฝีปากล่างนิดๆ เพราะคำพูดนั้นชวนให้รู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ แต่มันแค่นิดเดียวเพราะครู่ต่อมาฉันก็รู้สึกเวียนหัวจนลืมความรู้สึกก่อนหน้านั้นไปหมดสิ้น“อยากอ๊วก นั่น หะ…ห้องนั้น” ฉันรีบเอามือปิดปากตัวเอง พี่ฟิวส์ปล่อยฉันลงไปยืนแล้วรีบใช้กุญแจเปิดประตูให้ฉันตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่พร้อมใจกันออกมาจากกลางอก ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงฝ่ามือของใครบางคนที่ลูบอยู่ตรงด้านหลัง มือ
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวจนแทบจะระเบิดเพราะเหล้าปั่นเมื่อคืนแท้ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกผะอืดผะอมไม่หาย แต่ต้องรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะวันนี้มีเรียนเก้าโมง แล้วตอนนี้มันก็ปาไปแปดโมงสี่สิบแล้วพอกันทีเหล้าบ้าบอนั่น ฉันไม่น่าไปทำความรู้จักกับมันเลยครึ่งชั่วโมงต่อมาฉันก็นั่งอยู่ที่ห้องเรียนกับพวกจินและระริน เข้าช้าไปสิบกว่านาทีจนอาจารย์มองตาเขียวปั๊ด ไม่พอยังโดนเพื่อนสนิทตั้งคำถามไม่เข้าเรื่องอีกต่างหาก“พี่ฟิวส์ส่งที่หอหรือส่งที่ห้อง บอกฉันมาเดี๋ยวนี้”“ไม่เหมือนกันตรงไหน” ฉันถาม ก็ความหมายมันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ“ไม่เหมือน แกอย่าเฉไฉตอบมา”“ส่งที่หอไง”“แล้วขึ้นห้องไหม” ระรินไม่ยอมจบแค่นั้นยังคงถามต่อ สีหน้าของมันบ่งบอกความอยากรู้สุดๆ“…ไม่”“แกตอบช้า ใช้เวลาคิดมากกว่าห้าวิ โกหก!” เพื่อนสนิทหยิกแขนฉันเบาๆ แล้วก็ถามอีกว่า “ได้ไหม”“พูดบ้าอะไรของแกเนี่ย พอเลย” แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็กลับมาฉายซ้ำเมื่อได้ยินคำถามของระริน ว่าจะไม่คิดถึงแล้วนะ ในเมื่อต่างคนต่างเมา จะได้แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกอย่างภาพมันก็เรือนรางจนเหมือนไม่ใช่ความจริงเลย“สรุปยังไง! ยัยน้ำค้าง” คราวนี้ยัยจ
ลูกค้าวันนี้ก็เช่นเคยส่วนใหญ่คือนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่กับมหาวิทยาลัยใกล้เคียง แต่ก็มีส่วนน้อยที่เป็นลูกค้าผู้ใหญ่วัยทำงานที่กระเป๋าหนักกว่าพวกนักศึกษา ซึ่งพวกนี้เหล่าพีอาร์สาวจะชอบดูแลมากเพราะให้ทิปเยอะ ส่วนฉันก็มีหน้าที่แค่เสิร์ฟเครื่องดื่มเหมือนเดิม ถ้าลูกค้าใจดีก็ให้เป็นเงินทอนซึ่งเงินพวกนี้จะต้องเอาไปรวมในกล่องของร้านแล้วเอามาเฉลี่ยกันให้พนักงานทุกคนเท่าๆ กัน แต่ก็มีพวกที่ไม่ยอมเอามารวมกับคนอื่น แอบเก็บเอาไว้เองก็มี“น้องๆ”“คะ”ขณะที่ฉันกำลังเดินผ่านโต๊ะหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้าผู้ใหญ่ เท่าที่ทำงานมาเกือบสองเดือนนี้ยังไม่เคยเห็นหน้า คงเป็นลูกค้าขาจรที่ไม่ได้มาเป็นประจำ“มานี่หน่อยครับ” เขากวักมือเรียก“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”“ช่วยนั่งกับพวกพี่หน่อย เดี๋ยวพี่จ่ายให้”“ออ ถ้าอยากได้สาวๆ มานั่งเดี่ยวเรียกให้นะคะ พอดีไม่ได้ทำตรงนี้” ฉันบอกแล้วยิ้มให้ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่ยอมแล้วยังคว้าขอมือฉันไว้อีกจนต้องดึงกลับ“พี่อยากให้น้องนั่งครับ พี่รู้จักกับเจ้าของร้านเดี๋ยวคุยให้”“ไม่ดีกว่าค่ะ ร้านนี้มีพีอาร์ หนูต้องทำงานตัวเอง ขอโทษลูกค้าด้วยนะคะ” ฉันหันหลังจะเดินหนีเพราะเห็นท่าไม่ดี แ
หลายวันมานี้ฉันเริ่มค้นหางานพาร์ทไทม์ใหม่เพราะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่นี้มันเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว อีกอย่างพอเจอเหตุการณ์แบบคืนวันก่อนนั้นฉันก็รู้สึกว่าไม่ชอบ มันรู้สึกขยะแขยงผู้ชายประเภทนั้นอย่างบอกไม่ถูกวันเสาร์ที่ผ่านมาฉันก็ขอลางาน ไม่กล้าไปทำงานและออกห้องตอนกลางคืนอีกเพราะกลัวว่าคนพวกนั้นจะไม่พอใจแล้วมาทำอะไรเรา ซึ่งฉันอาจจะคิดไปเองแต่มันก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยก่อนหน้าที่จะมาทำงานนี้ก็พอจะทำใจไว้แล้วแต่พอเจอเรื่องกับตัวเองจริงๆ ถึงได้รู้ว่ามันแย่มาก รู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยNamkhang : อยากเปลี่ยนงาน พวกแกหาช่วยหน่อยได้ไหมระริน ไม่ใช่ ละลิน : เกิดอะไรขึ้นNamkhang : เลิกดึกน่ะ ไม่ไหว อันตรายด้วยระริน ไม่ใช่ ละลิน : เดี๋ยวช่วยดูให้JIN JIN : รีบเข้าคณะแล้วมาเล่าค่ะ ยัยหมวยบอกฉันหมดแล้วยัยจินที่เงียบอ่านอยู่สักพักก็ส่งข้อความเข้ามาในกลุ่มของเรา คิดว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อยู่แล้วเชียว เพราะไม่อยากให้คนมาถามมาก แค่นี้ฉันก็รู้สึกอายจะแย่ เมื่อคืนก่อนคนเห็นเหตุการณ์เกือบทั้งร้าน ถึงส่วนใหญ่จะไม่รู้จักฉันแต่เชื่อว่ามีคนรู้จักพี่ฟิวส์เยอะแน่ๆ เพราะเขาเป็นคนของมหาวิทยาลัย และอย่างที่บอกลูกค้าม
ที่ห้องของพี่ฟิวส์ยังมีเสื้อผ้าของเขาที่ฉันลืมทิ้งไว้เมื่อหลายเดือนก่อนอยู่สองถึงสามชุด แล้วเขาก็เก็บมันไว้ในตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างดี แถมยังบอกว่ารอให้เจ้าของมันมาใส่ทุกวัน ไม่รู้ไปดูหนังรักเรื่องไหนมาถึงได้ทำตัวหวานเลี่ยนอยู่ตลอดเวลา“หาอะไรคะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าพี่ฟิวส์เดินไปเดินมา เปิดลิ้นชักหาอะไรบางอย่างไม่ยอมพูดจา ตอนนี้เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ยังไม่แห้งส่วนฉันเป่าจนแห้งแล้วระหว่างรอพี่ฟิวส์อาบน้ำ“เดี๋ยวพี่มานะ” เขาไม่ตอบคำถามฉันแล้วก็เดินไปหยิบเสื้อยืด ก่อนจะเดินออกไปจากห้องให้กลายเป็นคำถามใหม่เกิดขึ้นรออยู่เป็นสิบนาทีพี่ฟิวส์ก็กลับเข้ามาในห้องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สายตาฉันมันดันเหลือบไปเห็นกล่องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงนอนขายาวของเขาเข้าพลันหัวใจดวงน้อยที่เต้นสม่ำเสมออยู่ก็ขยับจังหวะเร็วขึ้นจนน่าตกใจไอ้พี่ฟิวส์มันคิดไม่ดี!“ไปไหนมา” ฉันแกล้งถาม ถ้าตอนนี้ห้องมันสว่างคงเห็นแล้วว่าหน้าฉันแดงอยู่เพราะมันร้อนมากจนเหงื่อผุดตรงขมับทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ“เอาของห้องเพื่อน”“ของอะไรเวลานี้” ก็รู้อยู่แล้วแต่อยากรู้นักพี่ฟิวส์มันจะเฉไฉไปยังไง“ถามเยอะกลัวจะไปหาผู้หญิ
ตอนที่ 25 บอกรักNC (ตอนจบ)“เมาขนาดนี้กลับแล้วไหม”“ไม่ พี่ฟิวส์อยากกลับก็กลับไปเลย คนกำลังสนุก” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแม้สติตัวเองจะเหลือเพียงครึ่ง“ทำไมดื่มจนเมาขนาดนี้วะ”ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดพยายามจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวนั้นแต่คนที่นั่งโอบอยู่ด้านหลังก็ไม่ยอมให้ลุก จนฉันเริ่มหงุดหงิดหันไปมองเขาอย่างหาเรื่อง“พี่ฟิวส์!”“ถ้าไม่กลับก็นั่งดื่มตรงนี้ ดี ๆ ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่อไม่ได้ดั่งใจตัวเอง จำยอมต้องนั่งอยู่ตรงนั้นโดยมีพี่ฟิวส์นั่งโอบอยู่ด้านหลัง เลยถือโอกาสนั้นใช่ตัวเขาเป็นที่พักพิงไปซะ“ถ้าไม่ไหวก็กลับ”“กลับอาไร เค้กยังไม่ได้เป่า...เลย~”“วันเกิดเพื่อนไม่ใช่วันเกิดเรา” พี่ฟิวส์ขำแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่ม แล้วพี่ไมเนอร์ก็ลากยัยระรินมานั่งอีกคน“พากลับแล้วไหม กูก็ไม่คิดว่าจะพากันพังขนาดนี้”“ยอมกลับที่ไหน ดื้อ!” คำพูดนั้นเขาพูดกรอกหูฉันจนต้องเอี้ยวตัวหันไปมองคนที่นั่งคร่อมกันอยู่ด้านหลังแต่พอกันไปเจอกับหน้าพี่ฟิวส์ที่ก้มลงมาจนจมูกแทบชิดกัน เขาใช้โอกาสนั้นขยับใบหน้าลงมาเพียงนิดเดียว ประกบริมฝีปากของฉันท่ามกลางผู้คนที่อยู่รอบตัวฉันโดยไม่อายว่าจะมีใครมองมา“อื้อ~ หยุดเลย”
เราแยกกันตรงนั้นแล้วฉันก็กลับหอยัยจินไปกินข้าว อาบน้ำและแต่งตัว ในหัวก็คิดอยู่ตลอดคิดภาพตอนที่พี่ฟิวส์หายไปเป็นเดือน ติดต่อกันไม่ได้ ไม่เห็นหน้าไม่ได้ยินเสียงเขา ฉันจะเป็นยังไง“แกเป็นอะไรไปเพื่อน ไม่สบายเหรอ” เสียงของยัยจินเรียกสติของฉันให้กลับมา หลังจากที่มันล่องลอยไปไกล“เปล่า”“ฉันเห็นแกนั่งใจลอยมาหลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรให้คิดมากอีก” เพื่อนสนิทถามอย่างนั้น มันก็คงจะดูออกว่าฉันกำลังทำตัวผิดปกติ“ยัยจิน…” ฉันเริ่มเล่าเรื่องที่พี่ฟิวส์จะไปทำงานให้มันฟังครั้งนั้นที่ได้ยินเขาพูดมันก็รู้สึกโหวงเหวงในใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร ถึงจะอยู่ห่างกันแต่ยังไงพี่ฟิวส์ก็ยังต้องกลับขึ้นฝั่งแล้วได้เจอกันอยู่ดี แต่พอได้ยินครั้งนี้แล้วมันรู้สึกไม่ดีเลย มันกลัวไปหมดความคิดที่ว่าไม่อยากไปขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเขามันเลือนหายไปทุกที ความเห็นแก่ตัวของฉันมันเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าสมเพช“แกไม่อยากให้เขาไปทำไมไม่พูดตรง ๆ ล่ะน้ำค้าง”“ถ้าพูดแบบนั้นฉันจะดูเป็นเด็กเกินไปไหมจิน อีกอย่างเรายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกัน” ฉันรู้สึกได้ว่าหัวใจมันเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัว“โอ๊ย ทุกวันนี้มันก็คือแฟนแล้วไหม ไม่ใช่ก็ใกล้
ตอนที่ 24 ไม่อยากห่างไกลฉันกลับมาทำงานให้แม่ของพี่ฟิวส์อีกครั้งหลังจากที่ใช้อารมณ์ ขอยกเลิกไปตอนนั้น ดีเท่าไหร่ที่ท่านยังเอ็นดูฉันมากขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงโกรธกันไปแล้วในตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะทำงานช่วงหลังเลิกเรียน แต่พี่ฟิวส์แนะนำว่าช่วยยายทำขนมขายหน้าโรงงานคงดีกว่าเพราะจะได้ไม่หนักที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย เรื่องเรียนที่ว่าจะดรอปก็ถูกพับเอาไว้หลังจากที่ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นบวกกับได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้เรียนจบแล้ว“ยัยค้าง!” ระรินเดินมาจากหลังตึก มาหาพวกเราที่รออยู่ใต้ตึกเรียนวิชาแรกของเราวันนี้เริ่มตอนเก้าโมงแต่เพราะวันนี้มีงานที่ต้องส่งอาจารย์หลายคนถึงได้มารอกันก่อนเพราะบางคนต้องมาปรึกษาเพื่อน หนึ่งในนั้นก็มีพวกเรา“รีบอะไรขนาดนั้นยัยระริน เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง”“ไม่ได้รีบเพราะเรื่องนั้น”“มีเรื่องอะไรอีก” ยัยจินขมวดคิ้วถาม เพราะที่ผ่านมามันก็มีแต่เรื่องวุ่นวายของฉันทั้งนั้น“เรื่องนังเมย์” ยัยระรินพูดแล้วยิ้มเหมือนสะใจอะไรบางอย่างก่อนที่มันจะเล่าก่อนหน้านี้พี่เมย์โดนจับจริงและเป็นไปตามที่พวกพี่ฟิวส์ต้องการ ช่วงแรก ๆ พ่อและแม่ของพวกหล่อนมาคุยกับพี่ฟิวส์ให้เจ
ยอมรับว่าฉันเคยโกรธยายจนไม่อยากคุยไม่อยากเห็นหน้า ที่ยายช่วยน้าอิฐจนทำให้พวกเราลำบากกันหมด แต่สุดท้ายก็มีแต่ยายกับน้ำหนาวที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดช่วงชีวิตของฉันตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ลองคิดว่าวันหนึ่งที่ไม่มียายฉันก็แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิตอีกแล้ว“ยายดูก็รู้ว่าเขามีเงิน แต่เรารู้จักเขาดีไหม เขาดีกับเราหรือเปล่าลูก ยายไม่ได้หมายถึงเรื่องเงินเขาแต่ความใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเขาแสดงออกกับเรามันทำให้เรารู้สึกดีหรือแย่”“ค่ะ พี่ฟิวส์เขาดีกับค้างหลายเรื่อง” เรื่องที่เคยคิดไม่ดีก็คงไม่บอกยาย เพราะไม่อยากให้ยายมองไม่ดี “แต่ค้างก็กำลังศึกษาอยู่”ต่อไปนี้ก็คงต้องก้าวเดินอย่างระวัง ไม่ไว้ใจและให้ใจใครง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา ต่อให้เราจะรู้สึกดีกับใครมากแค่ไหน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่รู้เลยว่าอีกคนเขาจะรู้สึกกับเรายังไง เรื่องที่ผ่านมามันกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปล่อยมันไว้แค่ข้างหลัง“ถ้าเขาเป็นคนดียายก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่อย่ารีบ ค่อย ๆ ดูกันไป”“ค่ะ” ฉันตอบรับแล้วยิ้มส่งให้ยายไม่นานนักพี่ฟิวส์กับน้ำหนาวก็กลับมา ยายทำกับข้าวสองสามอย่างเลี้ยงพี่ฟิวส์ที่ช่วยมาซ่อมห้องให้ สายตาที่ยายมองพี่ฟิวส์
ตอนที่ 23 หัวใจดวงเดียวที่มีพี่ฟิวส์พาฉันไปทำแผลที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่ในโรงยิมของมหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากคณะเรามากนัก รอยแผลมีบนหน้าที่มีรอยเล็บทั้งจิกทั้งข่วน ตามแขนและขาที่เป็นรอยถลอกและมีเลือดออก“ตรงนั้นมีกล้องใช่ไหมไอ้ไมน์” พี่ฟิวส์ก้มหน้าทำแผลให้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ฉายแววความโกรธอย่างที่เคยเห็นเมื่อวันนั้น แต่เขานิ่งจนน่ากลัวกว่านั้นเสียอีก“มี กูบอกให้ยามจัดการแล้ว”“ขอลุงมึงช่วยหน่อย เดี๋ยวพวกกูจะไปโรงพัก ข้อหาทำร้ายร่างกายกูจะไม่ยอมความ ไม่ไกล่เกลี่ย”“อืม เดี๋ยวกูจัดการให้”ฉันได้แต่เงียบฟังที่พวกพี่เขาพูดกัน ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของกฎหมายแต่เท่าที่ฟังพี่คือถ้าเป็นเหตุแบบนี้ตำรวจจะทำแค่เป็นข้อหาทะเลาะวิวาทเพื่อให้เรื่องมันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเราที่ถูกไม่ยอมความก็สามารถส่งเรื่องฟ้องศาลได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่โดนทำร้ายก็จะไม่ทำเพราะต้องเสียเงินอีกมากมายแต่พี่ฟิวส์บอกจะทำให้เรื่องถึงศาล เพื่อให้พวกนั้นมันเสียประวัติและให้ลุงของพี่ไมเนอร์ช่วย เพราะเราจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับสำนวนที่ตำรวจเป็นคนเขียนขึ้นตอนที่เราไปแจ้งความสังคมมันอยู่ยากเพราะแบบนี้สินะ ถ้าไม่มีเส้นสายก็เท่ากับผิดทั้ง
ฉันนั่งทานข้าวท่ามกลางคำแซวและสายตาหลายคู่ที่มองมา เล่นเอาทำตัวไม่ถูกกินข้าวแทบไม่ลง แต่พี่ฟิวส์ซื้อข้าวมาทีหลังทานเกลี้ยงหมดจานไปแล้ว เจริญอาหารจนอยากจะเอาเล็บข่วนหน้าด้วยความหมั่นไส้“เลิกเรียนกี่โมงกัน” เขาที่ทานข้าวเสร็จกอดอกถามพวกเรา ที่ใช้คำว่าพวกเราเพราะเขาไม่ได้เอ่ยชื่อแล้วกวาดสายตามองจนครบ เหมือนจะรู้ตัวนะว่าถามฉันก็ไม่บอกหรอก“บ่ายสามค่ะพี่ฟิวส์” ยัยจินตอบ อยากจะหยิกแขนแรง ๆ ตอนทะเลาะกับพี่ฟิวส์ล่ะไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้ เห็นความหล่อไม่ได้เลยพวกเพื่อนทรยศ“โอเค เดี๋ยวมารับนะ” ประโยคแรกพูดกับเพื่อนประโยคหลังหันมาบอกฉัน“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับค่ะ”“ตุ๊กตาตัวนั้นไม่ทำให้เราใจอ่อนเลยเหรอ” คำถามนี้พี่ไมเนอร์เป็นคนถามแทนเพราะพี่ฟิวส์นั่งเงียบเหมือนคนกำลังน้อยใจฉันอย่างหนัก“ค้างจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับเพราะไม่อยากทิ้งรถไว้มหาลัยค่ะ เมื่อคืนพี่ฟิวส์ก็ไปส่งแล้ว จอดทิ้งไว้ส่งสารมัน”“สงสารรถแต่ไม่สงสารกูเลย” พี่ฟิวส์กันไปคุยกับเพื่อนตัวเองอย่างกับพวกขี้ฟ้อง“ถ้าอยากไปรับไปส่งก็ตั้งแต่พรุ่งนี้แล้วกัน อย่ามาบ่นทีหลังให้ได้ยิน” ฉันพูดออกไปแล้วทุกคนก็พากันยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ราวกับจะสื่อว่า
ตอนที่ 22 รุมทำร้ายวันนี้เป็นวันแห่งความรัก ถ้าเป็นตอนมัธยมคงได้เห็นคนถือดอกกุหลาบหรือตุ๊กตาตัวโตเดินกันว่อนโรงเรียน แต่พอขึ้นมหาลัยภาพเหล่านั้นก็ไม่มีให้เห็นมากนัก คนที่ถือช่อดอกกุหลาบก็มีอยู่บ้างกลายเป็นที่สนใจของคนที่เดินผ่านไปมาด้วย“อิจฉาคนมีความรักหวะ” ยัยจินแกล้งแซวระรินที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือตอนนี้เรากำลังจะไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะฯ ยัยระรินเพิ่งได้ช่อดอกนี้จากพี่ไมเนอร์เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เอง เลยกลายเป็นที่จดจ้องของใครหลายคนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่เพราะกิตติศัพท์ของพี่ไมเนอร์ไม่ใช่เรื่องที่ดี คนเลยแอบซุบซิบนินทากันใหญ่มีแต่คนพูดว่ายัยระรินจะโดนหลอก เดี๋ยวก็โดนทิ้งบ้างล่ะ“น้ำค้าง!” เสียงเข้มของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เราทั้งสามคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงพอเห็นว่าเป็นพี่พีถือดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาเราถึงกับหันมามองหน้ากันหมด“มีอะไรเหรอคะ”“มีคนฝากมาให้” พี่พียื่นดอกกุหลาบมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม“ใครคะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับเอาไว้“มันไม่ให้บอก แต่ฝากบอกว่าแอบชอบอยู่” หนุ่มรุ่นพี่ยิ้มกวน ๆ “จะไปไหนกัน”“ไปกิ
พี่ฟิวส์!เขาอยู่ในชุดเสื้อช็อปที่เห็นประจำ แต่งตัวเหมือนไปเรียนแต่เดินหน้าตึงมาอยู่หน้าโรงงานที่ฉันกำลังยืนขายขนม“พี่ฟิวส์บอกให้มาส่ง”ไปรู้จักชื่อตอนไหน!?ฉันมองหน้าน้องชายตัวเองแล้วเบือนหน้าไปมองพี่ฟิวส์ที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ข้างน้ำหนาว ก่อนจะยกมือไหว้ยายที่กำลังมองอย่างสงสัย“ใครล่ะค้าง”“คนรู้จักค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย” ฉันตอบแล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขยับมายืนอยู่ใกล้ ๆ“ขายดีจังครับ” เขาแกล้งคุยกับยายมองผ่านความบึ้งตึงของฉันไป “ที่เหลือขอเหมาได้ไหม ผมยังไม่ได้ทานข้าวมาเลย”“จะมาทำไมก็ไม่รู้” ฉันบ่นแล้วถลึงตาใส่พี่ฟิวส์แต่เขาไม่แม้แต่จะสำนึกผิด“เดี๋ยวกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่าลูก” ยายพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหยิบขนมสามชิ้นที่เหลือใส่ถุงให้ลูกค้าคนสุดท้าย จนไม่เหลือเลยสักชิ้นสมน้ำหน้าพี่ฟิวส์มองตาละห้อย“น้ำค้างทำแกงจืดไว้เมื่อเช้าเยอะแยะ พาพี่เขาไปกินข้าวไป”ยายคงเดาออกว่าพี่ฟิวส์ไม่ใช่แค่รุ่นพี่อย่างที่บอก แต่ยายมองไม่ออกเลยเหรอว่าฉันเกลียดขี้หน้าพี่ฟิวส์อยู่ ทำไมต้องทำการต้อนรับเขาขนาดนั้น“ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปส่งน้องไปโรงเรียนก่อนแล้วผมกลับมาอาศัยข้าวเช้าสักมื้อนะค