LOGINภัทรมัยกลับถึงคอนโดมิเนียมในสภาพเหม่อลอย ขณะกำลังจะแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ประตูของห้องที่อยู่ติดกันพลันเปิดออกพอดี
“อ้าวแก้ม ไหนว่าไปเดตกับแฟน”
ผู้ที่เอ่ยทักเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวจัด ในมือมีถุงขยะสีดำที่มัดปากถุงเอาไว้เรียบร้อยเพื่อนำไปทิ้งที่จุดทิ้งขยะของคอนโดฯ
“เลิกกันแล้ว ตอนนี้โสด” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ
“หา! เกิดอะไรขึ้น ก็ไหนว่ากำลังสวีต” วริศเดินเข้ามาหาพลางมองหน้าเธอด้วยความเป็นห่วง
“มันบอกว่ายังลืมแฟนเก่าไม่ได้ ชั่วไหมล่ะ ในห้องมีเบียร์ไหมกาย คืนนี้ฉันนั่งดื่มกับนายดีกว่า”
วริศถอนหายใจแผ่ว “มีแค่สองกระป๋องเอง เอางี้ละกัน เดี๋ยวผมไปทิ้งขยะแล้วจะซื้อในเซเว่นติดมือมาด้วย แก้มไปนั่งรอในห้องผมก่อนก็ได้”
ภัทรมัยพยักหน้าแล้วเดินไปยังห้องของชายหนุ่มแทน เธอเข้าไปนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกอย่างคุ้นเคย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้ามานั่งเล่นในห้องของวริศ
ระหว่างรอ ภัทรมัยนั่งคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนกับชยาวุธตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เธอชอบเขาก่อนก็จริง แต่เพราะรู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้วจึงไม่คิดอยากสานสัมพันธ์ด้วย และแบ่งเขตความสนิทสนมให้เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้น เธอกับเขาต้องทำงานร่วมกันบ่อยเพราะเธอเป็นเออี ส่วนเขาเป็นครีเอทีฟมือดีในบริษัทโฆษณา
แต่แล้ววันหนึ่งภัทรมัยก็รู้ข่าวว่าชยาวุธเลิกกับแฟนแล้ว หญิงสาวได้แต่แอบดีใจอยู่เงียบ ๆ แต่กระนั้นก็ไม่คิดเข้าหาเขาก่อน เพราะไม่รู้ว่าระหว่างเขากับแฟนเก่าจากกันด้วยดีหรือไม่ เธอยังคงทำทุกอย่างเป็นปกติ แม้ว่าในใจจะลิงโลดเสียจนอยากกรี๊ดออกมาดัง ๆ
หลังจากที่ชยาวุธประกาศตัวว่าโสดวันนั้น ชายหนุ่มเริ่มมองเธอด้วยสายตาที่แปลกไป เวลาไปคุยงานกับลูกค้าแล้วเธอต้องไปกับเขา ขากลับชยาวุธมักจะหาเรื่องพาเธอไปกินข้าว หรือนั่งดื่มกาแฟร้านนั้นร้านนี้เสมอตามแต่เขาจะสรรหาพาไป
จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอต้องออกไปคุยงานกับลูกค้าพร้อมเขา ชยาวุธบอกกับเธอว่า
“พี่ได้ตั๋วหนังรอบสื่อมวลชนมาจากเพื่อนสองใบ วันเสาร์นี้แก้มไปดูกับพี่ไหม”
“หืม...พี่ชวนแก้มเนี่ยนะ” เธอชี้ตัวเองอย่างไม่เชื่อหู แม้จะเริ่มรู้แล้วว่าชยาวุธกำลังจีบตนอยู่เพราะเพื่อนและคนในออฟฟิศแซวกันตลอด
“อ้าว แล้วชื่อแก้มรึเปล่าล่ะเราน่ะ ดูถามเข้า พี่ชวนป้าน้อมมั้ง”
เขาหมายถึงป้าแม่บ้านที่ทำความสะอาดในออฟฟิศ เธออดค้อนให้เขาไม่ได้
“แล้วนึกยังไงมาชวนแก้มเนี่ย” เธอลองถามหยั่งเชิงดู พยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
“ชวนคนอื่นแล้วไม่มีใครยอมไป เหลือแต่แก้มนี่แหละจะไปกับพี่รึเปล่า มีให้เลือกสองชอยซ์นะ ข้อแรก วันเสาร์นี้ให้พี่ไปรับแก้มที่บ้าน ข้อสอง ถ้าเสาร์ไม่ว่างก็ให้พี่ไปรับวันอาทิตย์แทน โอเค้”
เธอได้ยินอย่างนั้นก็อดหมั่นไส้เขาไม่ได้ จึงยกมือขึ้นจะตีแขนเขาสักทีสองที โทษฐานที่ให้เธอเป็นตัวเลือกสุดท้าย และยังมัดมือชกให้เธอไปกับเขาให้ได้ แต่ชยาวุธกลับคว้ามือของเธอจับไว้ไม่ยอมปล่อย
“นะแก้ม ไปดูหนังกับพี่เถอะ”
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทุกคนในบริษัทต่างรับรู้กันว่าเธอกำลังคบหากับชยาวุธอยู่ เพราะชายหนุ่มก็ไม่ได้ปิดบังใคร เขาแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำ หากใครถามเขาก็บอกไปตามตรงว่าเธอเป็นแฟนเขา
แล้วคราวนี้เล่า เธอจะบอกคนอื่นว่าอย่างไรดี
เสียงปลดล็อกประตูทำให้ภัทรมัยตื่นจากภวังค์ หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มเจ้าของห้องที่กำลังเดินเข้ามาหาแล้ววางเบียร์ไว้ให้ตรงหน้าสองกระป๋อง ส่วนที่เหลือเขาเอาไปแช่ไว้ในตู้เย็น จากนั้นจึงเดินมานั่งตรงข้ามกับเธอ
วริศเป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดี เวลาเธอเดินคู่กับเขามักมีแต่คนมองด้วยความสนใจ เพราะรัศมีความหล่อของชายหนุ่มเปล่งประกายเจิดจ้าจนแสบตาไปหมด นอกจากความหล่อแล้วเขายังอบอุ่น พึ่งพาได้ ใจเย็น และอ่อนโยน เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลายคน เสียอย่างเดียว เธอไม่ได้ชอบเขาในเชิงชู้สาวเลยแม้แต่น้อย
เธอรู้จักกับเขาตั้งแต่มาอยู่คอนโดมิเนียมแห่งนี้ใหม่ ๆ ตอนนั้นโซนที่เธอกับเขาอาศัยอยู่ยังไม่ค่อยมีคนเข้ามาพักอาศัย ด้วยความที่เป็นเพื่อนบ้าน และเขาเป็นคนสุภาพมาก จากที่แค่ยิ้มทักทายตอนเจอหน้ากัน ก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น ยิ่งได้นั่งดื่มด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน วริศจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทต่างเพศคนหนึ่งที่เธอให้ความไว้ใจมากที่สุด
“สะดวกเล่าไหม เล่าให้ผมฟังได้นะ” เขายิ้มจนตาหยี เธอดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่งจึงเริ่มเปิดปากเล่า
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก วันนี้พี่เวฟเขานัดฉันออกไปกินข้าวฟังเพลงกันตามปกตินั่นแหละ เขาทำทุกอย่างเหมือนเดิมเลยนะกาย แต่นั่งคุยไปคุยมาเขาก็บอกว่าอยากให้ห่างกันสักพัก พอฉันถามเหตุผล เขาก็บอกว่าเขายังลืมแฟนเก่าไม่ได้ เขาขอเวลา ฉันก็เลยให้เวลาเต็มที่ไปเลย จะกี่เดือนกี่ปีก็เชิญเขาใช้เวลาให้เต็มที่ เพราะฉันจะไม่มีวันรอเขาหรอก”
วริศขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด “แปลกแฮะ แก้มเคยเล่าให้ผมฟังว่า เขาเป็นคนขอคบกับแก้มก่อนไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ เขาจีบฉันก่อนนะ ฉันไม่ได้จีบหรือให้ท่าเขาสักหน่อย” เธอยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง
“หรือเขาจะจีบแก้มเพราะอยากลืมแฟนเก่า ก็เลยมองหาคนดามใจ แต่พอคบแล้วมันไม่ใช่ เขาก็เลยบอกเลิกทางอ้อมด้วยการ...เอ่อ...” วริศไม่กล้าพูดต่อ ภัทรมัยจึงพูดขึ้นเสียเอง
“บอกว่าขอห่างกันสักพักใช่ไหม เฮอะ! โคตรทุเรศเลย ในเมื่อยังลืมไม่ได้แล้วจะมาให้ความหวังฉันทำไมวะ มาขอคบกับฉันทำไม มาทำให้ฉันรักทำไม...ทำไมเขาทำกับฉันแบบนี้วะกาย” ยิ่งพูดเสียงของหญิงสาวก็ยิ่งสั่น และสุดท้ายน้ำตาที่สู้อุตส่าห์เก็บเอาไว้ก็เริ่มไหลอาบลงแก้ม
วริศลุกมานั่งข้างเธอพร้อมกับหยิบกระดาษทิชชูยื่นส่งให้
“ร้องไห้ให้เต็มที่ไปเลยแก้ม วันจันทร์ไปทำงานจะได้ไม่มีน้ำตาอีก อย่าลืมว่าแก้มยังต้องทำงานกับเขาอีกนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันกลัวใจตัวเองมากเลยกาย กลัวว่าเห็นหน้าพี่เขาแล้วจะทำใจไม่ได้ร้องไห้ออกมา”
“ผิดแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นแก้มอดใจไม่ไหว วิ่งเข้าไปตบเขามากกว่า” วริศพูดยิ้ม ๆ
ภัทรมัยหัวเราะทั้งน้ำตา “นายจะรู้จักฉันดีเกินไปแล้วนะ”
“ผมรู้ว่าการอกหักมันทำใจยาก แต่เราก็ต้องทำ เพราะไม่ว่ายังไงเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ และผมก็เชื่อว่าแก้มจะฟื้นตัวได้เร็ว เพราะฉะนั้นก็สู้ ๆ นะ”
ภัทรมัยเอนศีรษะซบบ่าเขา “ขอบคุณนะกาย ฉันจะพยายาม”
เสียงสั่นครืดคราดของโทรศัพท์มือถือดังมาจากกระเป๋าสะพาย หญิงสาวจึงหยิบขึ้นมาดูชื่อคน โทร.เข้า เมื่อเห็นว่าเป็นชยาวุธเธอจึงกดสายทิ้งแล้วบล็อกเบอร์เขาทันที เพราะนาทีนี้เธอไม่อยากฟังเสียงของเขา
แต่ดูเหมือนปลายสายจะไม่ยอมแพ้ เพราะเมื่อถูกบล็อกเบอร์โทรศัพท์ เขาก็ โทร.เข้ามาทางไลน์ แต่ภัทรมัยก็จัดการบล็อกไลน์เขาอีก
เธอตัดการติดต่อจากเขาทุกทางเพราะยังไม่พร้อมจะคุยอะไรทั้งนั้น ขอเวลาทำใจพรุ่งนี้อีกวัน และวันจันทร์เธอจะกลับไปเชิดหน้าใส่เขา จะทำให้เขาเห็นว่าการตัดความสัมพันธ์กันนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเธอเลยแม้แต่น้อย
ภัทรมัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อตั้งหลักก่อนผลักประตูกระจกของออฟฟิศเข้าไป หญิงสาวโปรยยิ้มทักทายเพื่อนร่วมงานตรงแผนกประชาสัมพันธ์ก่อนเป็นอย่างแรก
“แหม คู่นี้ใจตรงกันจริง ๆ น่าอิจฉา มาเช้ากันทั้งคู่เลย” ยุพาพรรณเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
“ใครหรือ” ภัทรมัยแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงอะไร
“ถามได้ ก็พี่เวฟไง มาถึงออฟฟิศก่อนเธออีกนะ” ยุพาพรรณบุ้ยหน้าไปทางด้านในของออฟฟิศ
“แล้วน้องเขารู้รึยังว่ามึงชอบเขา” ทิวากรถามยิ้ม ๆ“จะรู้ได้ไง ก็กูไม่ได้บอก”ทิวากรกลอกตาพลางเอ่ยว่า “เหรอออ ไอ้คุณเวฟครับ กูว่าน้องเขาน่าจะรู้แล้วละครับ เพราะมึงน่ะมองเขาตาเชื่อมขนาดนั้น แหม...ไม่แสดงออกเลยสักนิด แค่คนเขารู้เขาเห็นกันทั้งบริษัทแค่นั้นเอง”“เฮ้ยถามจริง น้องเขารู้หรือวะ” คนอื่นเขาไม่สนใจ ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป แต่ภัทรมัยนั้นเขาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโสด ถ้าเขาเผลอมองเธอตาเชื่อมจริง เธอจะต้องคิดแน่ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ“ไม่ได้การแล้วไอ้ทิว มึงรีบไปป่าวประกาศให้กูด่วนเลยว่ากูโสดแล้ว”และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะเริ่มจีบภัทรมัยอย่างจริงจังสักทีชยาวุธกับทีมงานคนอื่น ๆ นั่งฟังบรีฟงานจากภัทรมัยในห้องประชุมเล็ก ตลอดเวลาที่นั่งประชุม ชายหนุ่มแทบไม่ละสายตาไปจากเออีคนสวยเลย และเขาไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว แต่ยังยิ้มนิด ๆ ตลอดเวลาด้วยภัทรมัยรู้ตัวว่าถูกชยาวุธจ้องเอา ๆ ก็อดประหม่าไม่ได้ หญิงสาวต้องตั้งสติและใช้สมาธิอย่างมา
“เฮ้อ...” ภัทรมัยถอนหายใจอีกครั้งทั้งยังเผลอมองเขาไม่วางตา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น หัวคิ้วของหญิงสาวพลันขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีตาคนนี้ปล่อยให้คนอื่นเขาแซงคิวอีกแล้ว...นังแก้มจะไม่ทน!หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาชยาวุธด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่ไม่ได้พูดกับเขา เธอพูดกับผู้หญิงคนนั้น“ขอโทษนะคะ ท้ายแถวอยู่ตรงนั้นค่ะ กรุณาไปต่อคิวด้วย”“อะไรกัน ก็คุณคนนี้...” ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ ภัทรมัยก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก“ถึงพี่ฉันจะยอมให้คุณแซงคิว แต่ฉันไม่ให้ และฉันจะเข้าคิวแทนพี่เขาเอง เพราะฉะนั้นกรุณาไปต่อท้ายแถวค่ะ” หญิงสาวชี้ไปทางท้ายแถว จากนั้นหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า“พี่เวฟไปนั่งรอก่อนเลย แก้มจะแลกการ์ดเอง” พูดจบก็หันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นต่อ เจ้าหล่อนเห็นคนเริ่มมองมาหลายคน อีกทั้งคนที่ต่อแถวบางคนก็ทำหน้าไม่พอใจ จึงเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากแถวทันทีเมื่อแลกการ์ดเรียบร้อยแล้ว ภัทรมัยจึงเดินไปหาชยาวุธที่นั่งรออยู่ จากนั้นก็ยื่นการ์ดให้เขา&
เออีน้องใหม่ภัทรมัยเดินออกจากลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ วันนี้เธอเริ่มงานวันแรกกับบริษัทโฆษณาที่จัดว่าเป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เธอใฝ่ฝันอยากทำบริษัทนี้มานานแล้ว เคยมาสัมภาษณ์สองครั้ง แต่ไม่ถูกเรียกให้เข้าทำงาน หญิงสาวจึงต้องไปสมัครบริษัทอื่น ทำอยู่หลายปีจนกระทั่งทราบข่าวว่าบริษัทนี้เปิดรับ Account Executive เธอจึงลองยื่นใบสมัครดูอีกครั้ง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้านไปรอฟังผล ผ่านไปสองวันจึงได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลว่าเธอได้รับการพิจารณาให้เป็นพนักงานของบริษัทแล้วภัทรมัยจำได้ว่าวันนั้นตนกรี๊ดลั่นห้องจนเพื่อนชายที่อยู่ห้องติดกันรีบมาเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนึกว่าเธอเกิดอันตรายขณะที่หญิงสาวกำลังจะผลักประตูเข้าไป เสียงทุ้มจากด้านหลังพลันดังขึ้นจนทำให้เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาติดต่อธุระอะไรรึเปล่าครับ”ภัทรมัยลดมือลงจากที่จับประตูแล้วหันไปมองคนถาม ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้หน้าตาใช้ได้ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปลายถึงสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ ดูท่าทางเป
โลกใบแรกที่เป็นทนายปราบต์ได้ตายไปแล้ว แต่ยังเหลือโลกใบที่สองคือนวัช เจ้าของบ่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่เขาเหลือชีวิตเดียวแล้ว คงต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ให้สมกับที่มารดาของเขายอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เขาเติบโต...เมี้ยว...เสียงร้องแผ่วเบาของแมวตัวหนึ่งทำให้ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักลงทันที เขามองหาที่มาของเสียงจึงเห็นลูกแมวตัวเล็กยืนห่างเขาออกไปประมาณสามก้าว“แมวบ้านไหนเนี่ย” เขาไม่เคยได้ยินว่าคนแถวนี้เลี้ยงแมวสักคน จึงคิดจะจับตัวมันมาดูว่าสวมปลอกคอเอาไว้หรือไม่ แต่เจ้าตัวเล็กก็กระโดดหนีไปเสียก่อน และเพราะความมืดเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันมีสีอะไร แต่ในเมื่อมันไปแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจอีกทว่าพอเขาเดินเข้าบ้าน กลับเห็นลูกแมวตัวน้อยนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาราวกับเป็นบ้านของมัน“จะมาอยู่ด้วยกันรึไงเจ้าเหมียวน้อย” เขาก้มตัวลงมองมันชัด ๆ เป็นแมวไทยทั่วไปสีส้มท้องขาว มีปลอกคอสวมอยู่แสดงว่าเป็นแมวมีเจ้าของ“กลับบ้านไปได้แล้ว เจ้าของหาแย่แล้วมั้ง”มันเงยหน้ามองเขาเหมือนจะฟังรู้เรื่อง แต่พอเห็นมันเอนตัวลงนอนฟุบบนโซฟาเหมื
“น่ารักจังเลย กี่เดือนแล้วคะ” ภัทรมัยมองเด็กน้อยลูกครึ่งด้วยความเอ็นดู สีผมของทั้งคู่เป็นสีน้ำตาล นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเช่นกัน พวงแก้มแดงระเรื่อทั้งสองข้าง แขนขาจ้ำม่ำดูน่ากอดทั้งคู่“แปดเดือนแล้ว กำลังคลานเลย เวฟกับแก้มล่ะ เมื่อไรจะมีตัวเล็กบ้าง” เฟิร์นถามยิ้ม ๆ“คงอีกสักพักค่ะ” ภัทรมัยยิ้มแหย“โห นี่แปลว่าไปอยู่ที่โน่นได้ไม่นานก็แต่งงานเลยสิเนี่ย แฟนเป็นคนอเมริกันใช่ไหม แล้วรู้จักกันได้ยังไง” ชยาวุธยิ้มกว้างเช่นกัน ดีใจที่เห็นอดีตคนรักมีชีวิตที่ดี“ใช่ ตอนมาถึงที่นี่เฟิร์นก็ช่วยน้าทำงานในคลินิกสัตว์ และเพ็ทชอปน่ะ เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ เพราะพาแมวมาถ่ายพยาธิและหยอดยากันเห็บหมัดทุกเดือน มาซื้ออาหารแมว ทรายแมวบ่อย ๆ ก็เลยได้รู้จักกัน บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากคลินิกด้วย เขาจะออกมาวิ่งทุกเช้าเลยได้คุยกันทุกวัน”“ดีใจด้วยนะเฟิร์น ลูก ๆ น่ารักมาก แก้มแดงน่าหยิกมากเลย ไฮ...”ชายหนุ่มโบกมือทักทายเด็กน้อยที่มองตนตาแป๋วผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปยิ้มกับภรรยาอย่างถูกใจเมื่อเห
“ไอ้เสี่ยกวงมันอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เชื่อพี่ น่าจะตายอยู่ในคุกนั่นแหละ ไม่ได้ออกมาเห็นโลกภายนอกอีกหรอก”“แล้วคุณทนายล่ะ แก้มว่าเขาก็ทำบาปกับคนอื่นไว้ไม่น้อยเลยนะนั่น อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่”แม้จะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ภัทรมัยยังคงเชื่อว่าทนายปราบต์ยังไม่ตาย และคิดว่าเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้แน่นอน“จะไปคิดถึงมันทำไม มันทำให้พี่เกือบตายเชียวนะ” เขาตัดพ้อเสียงขุ่น ภัทรมัยจึงรีบกอดเขาไว้อย่างเอาใจ“แหม ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเขาทำยังไงถึงรอด หมายถึงว่าเขาทำยังไงถึงทำให้ตัวเองกลายเป็นคนตายไปได้ แล้วตอนนี้เขาจะใช้ชื่อว่าอะไร ยังอยู่ในประเทศไทยรึเปล่าแค่นั้นเอง”“เขาอยู่กับเสี่ยกวงมานาน ยังไงก็ต้องมีทางออกให้ตัวเองเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วละ แต่ไอ้เรื่องชุบตัวเป็นคนใหม่หรือสวมรอยเป็นคนอื่นรึเปล่าเราก็ไม่รู้กับเขาหรอก พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันน่าจะรู้กันเฉพาะกลุ่มว่ามีขบวนการทำให้ ดีไม่ดี เจ้าหน้าที่พวกนั้นอาจจัดการให้เขาเองก็ได้ ช่างมันเถอะ แค่อย่ามาให้เจอหน้าก็แล้วกัน บอกตามตรงเลยนะ พี่ไม่ถูกชะตา







