“อ๋อ...นึกว่าใคร” เธอยิ้ม ไม่คิดบอกใครว่าเลิกกับชยาวุธแล้ว จนกว่าจะมีคนถามถึงค่อยบอก
ภัทรมัยเดินเข้าไปด้านในด้วยความกระฉับกระเฉงเช่นทุกครั้ง หญิงสาวทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนวันเสาร์ ทั้งที่ความจริงแล้วตอนนี้หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบกระเด็นออกมานอกอก
มันไม่ใช่ความตื่นเต้นดีใจ แต่มันคือความหวาดหวั่นที่จะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนมากกว่า
แผนกครีเอทีฟนั่งอยู่อีกด้าน แต่ภัทรมัยไม่คิดมองไปทางนั้น เพราะเห็นจากหางตาก็รู้แล้วว่ามีใครนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ยังดีที่ในออฟฟิศเริ่มมีคนมาทำงานบ้างแล้ว มิเช่นนั้นเธอคงไม่รู้ว่าต้องวางตัวอย่างไร
หญิงสาววางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะแล้วหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ ทว่ายังไม่ทันได้กดปุ่มเปิดคอมพิวเตอร์ เสียงทุ้มอันแสนคุ้นหูของใครคนหนึ่งก็ดังอยู่เหนือศีรษะ
“แก้ม พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
ภัทรมัยเงยหน้ามองเจ้าของเสียง เห็นสายตาที่ชยาวุธใช้มองตนแล้วเธอไม่กล้าคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าอีกว่าเขามองมาด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ เธอไม่อยากเข้าข้างตัวเองอีกต่อไปว่าเขากำลังใช้สายตาอ้อนวอนมองตนอยู่
“พี่จะคุยเรื่องอะไรคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องงานแก้มขอไม่คุยนะ เสียเวลา”
เธอหลุบตาลงมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ทำทีเป็นว่าจะเปิดงานขึ้นมาทำ แต่ความจริงแล้วอยากหลบตาเขามากกว่า
“พี่อยากคุยเรื่องนั้นน่ะ” เขากดเสียงให้เบาลงเมื่อเห็นว่าในออฟฟิศเริ่มมีพนักงานทยอยเดินเข้ามาบ้างแล้ว
“ไม่เห็นมีอะไรต้องคุยอีกนี่คะ เราเลิกกันแล้วก็คือจบ จากนี้คุยกันเฉพาะเรื่องงานก็พอ แต่เรื่องส่วนตัวคงไม่ต้อง เพราะเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอีก”
“แก้ม!”
“ทำไม!” ภัทรมัยเชิดหน้าขึ้นมองเขาอย่างท้าทาย แม้ชายหนุ่มจะยืนค้ำศีรษะตนอยู่ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาเหนือกว่า
ชยาวุธหันมองไปรอบตัว เสียงตอนที่ภัทรมัยพูดเมื่อครู่ว่าเลิกกันแล้วนั้นไม่ได้เบาเลยสักนิด คนอื่นจึงได้ยินไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนที่ได้ยินต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความคาดไม่ถึงกันแทบทุกคน
“มานี่ซิ” ชยาวุธคว้าข้อมือของหญิงสาวแล้วฉุดให้ลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปนอกออฟฟิศ โดยไม่สนใจการขัดขืนของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อยนะพี่เวฟ บอกให้ปล่อยไง”
ภัทรมัยทั้งตีทั้งหยิกแขนเขา แต่ชายหนุ่มกลับไม่นำพากับความเจ็บปวดเหล่านั้น กระทั่งในที่สุดเขาก็ลากเธอออกมาคุยกันตรงบันไดหนีไฟจนได้ หนำซ้ำชยาวุธยังกดล็อกประตูเอาไว้เพื่อไม่ให้มีคนผ่านเข้าออกบริเวณนี้ด้วย
ชายหนุ่มดันเธอจนแผ่นหลังติดผนังแล้วยกแขนขึ้นมายันเอาไว้เพื่อกักหญิงสาวให้อยู่ตรงกลาง เขามองหน้าเธอด้วยแววตาขึงขัง ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาทำท่าจะจูบ แต่ภัทรมัยเบี่ยงหน้าหลบ
“อย่ามายุ่งกับแก้มนะ พี่เป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าเราเลิกกันน่ะ” เธอถามเสียงแข็ง
“พี่ไม่ได้พูดว่าเลิก พี่บอกว่าห่างกันสักพัก เพราะพี่...” เขายังพูดไม่จบ หญิงสาวก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“เพราะพี่ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ พี่ยังรักแฟนเก่าอยู่ เฮอะ! แล้วมันต่างกันตรงไหนไม่ทราบ” เสียงของเธอเริ่มสั่นพร่า แค่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาในใจของเขามีแต่ภาพของแฟนเก่าทาบทออยู่เต็มใจทั้งที่มีเธออยู่ข้างกายเขา แค่นั้นก็เจ็บจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรแล้ว
“คือ...พี่ไม่รู้จะอธิบายให้แก้มฟังยังไงแก้มถึงจะเข้าใจพี่ แก้มฟังนะ พี่ไม่ได้อยากเลิกกับแก้ม แต่พี่ขอแค่เวลาเท่านั้น พี่ขอเวลาไปจัดการกับความคิดของตัวเองก่อน...”
“แก้มก็ให้เวลาพี่แล้วไง พี่อยากใช้กี่เดือนกี่ปีก็เชิญให้เต็มที่เลย แก้มจะไม่ยุ่งอีกแล้ว”
ชยาวุธพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดพลางก้มหน้าลง แต่ไม่นานนักเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า
“ไม่เอาน่าแก้ม พี่ขอร้อง เราคุยกันดี ๆ ก่อนได้ไหม”
“แล้วนี่เราคุยกันไม่ดีตรงไหน พี่บอกแก้มว่าขอเวลา แก้มก็ให้พี่แล้วไง พี่จะเอาอะไรอีก” เสียงเธอสั่นพร่า กระบอกตาร้อนผ่าวจนปวดหนึบ และในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมาจนได้
“พี่บอกว่าพี่ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ทั้งที่พี่คบกับแก้มมาครึ่งปีแล้ว แก้มอยากรู้ว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามันคืออะไร พี่คิดถึงใจแก้มบ้างไหมตอนที่แก้มรู้ว่าเวลาที่เราอยู่ด้วยกันนั่นน่ะ ความจริงแล้วพี่ยังรักแฟนเก่าอยู่ พี่ไม่ได้รักแก้ม เป็นแก้มที่บ้าคิดไปเองคนเดียว มีความสุขลั้นลาอยู่คนเดียวโดยที่พี่ไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย พี่ใจร้ายมาก”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะแก้ม พี่เองก็แฮปปีมากเวลาอยู่กับแก้ม ไม่อย่างนั้นพี่จะจีบแก้มทำไม จะขอคบกับแก้มทำไม”
“แต่พี่ก็ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ พี่ยังรักเขาอยู่ใช่ไหม” เธอมองหน้าเขา แต่เขาหลบตาแล้วถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง
“อย่างที่พี่บอกนั่นแหละว่าพี่เองก็อธิบายไม่ถูก พี่ถึงได้อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักหน่อย” เขาเอามือข้างหนึ่งมาแนบแก้มของเธอ พร้อมกับดันตัวเข้ามาใกล้จนใบหน้าเกือบชิดกัน
“แก้มรอพี่ก่อนได้ไหม นะแก้ม” เขายื่นหน้าเข้ามาจูบ เรียวลิ้นรุกล้ำแทรกเข้ามาดูดดึงลิ้นของเธออย่างเร่าร้อนเช่นเคย แขนข้างที่ใช้ยันผนังเพื่อกักตัวหญิงสาวเอาไว้ก่อนหน้าลดลงมาโอบรัดร่างอรชรไว้ในอ้อมแขน
รสจูบของเขาเร่งเร้าเอาแต่ใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนออดอ้อนเว้าวอนอยู่ในที
...พี่ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้...
แต่แล้วประโยคนี้ก็พุ่งเข้ามาในหัวของภัทรมัย อารมณ์หวามไหวที่อีกฝ่ายจงใจพาเตลิดไปนั้นพลันกลับมาเป็นปกติ หญิงสาวใช้มือยันอกของเขาให้ถอยห่างพร้อมกับเบี่ยงหน้าหนีจุมพิตแสนเอาแต่ใจนั้น
เมื่อจูบไม่ได้ ชายหนุ่มจึงซุกหน้าพรมจูบลงกับซอกคอของเธอแทน จนภัทรมัยต้องผลักเขาให้ออกห่างจากตัว
“พี่เวฟ หยุด!” แม้จะรู้อยู่ว่าชยาวุธเป็นผู้ชายที่จุดติดง่ายไม่ต่างจากเชื้อเพลิงชั้นดี แต่ที่นี่เป็นออฟฟิศ เขาจะมานัวเนียกับเธอที่นี่ได้อย่างไรกัน
“คืนนี้ไปค้างห้องพี่นะแก้ม” เขามองเธอด้วยสายตาราวกับผู้ล่าที่กำลังหลอกล่อเหยื่อ
“ไม่ค่ะ” แต่เธอจะไม่ใช่เหยื่อของเขาอีกต่อไป
“แก้มมม” เขาเรียกเธอเสียงอ่อน หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงยอมตามเขาไปแต่โดยดี ทว่าตอนนี้เธอจะไม่หลงกลเขาอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ยังบอกให้ห่างกันสักพักอยู่เลย ตอนนี้มาชวนเธอไปค้างด้วยเสียอย่างนั้น
“ทำไมแก้มต้องไป ในเมื่อเราเลิกกันแล้ว”
“ไม่เลิกสิ พี่ไม่ได้อยากเลิกกับแก้มสักหน่อย เถอะนะแก้ม ไปค้างกับพี่นะครับ” เขายื่นหน้ามาหอมแก้มเธอ จะเบี่ยงหลบก็ไม่ทันแล้ว
“ถ้างั้นแก้มขอถามอะไรพี่สักข้อ” เธออยากรู้ว่าตกลงแล้วในใจของเขามีเธออยู่บ้างไหม
“ถามมาสิ ต่อให้ถามสิบข้อพี่ก็จะตอบทุกข้อเลย” เขาคลายอ้อมกอด เธอจึงฉวยโอกาสนี้ผลักตัวเขาให้ห่างออกไปอีกก้าว ไม่ให้เข้ามาแตะเนื้อต้องตัวเธออีก
“พี่เวฟ...รักแก้มบ้างไหม”
ชยาวุธอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน แค่คำถามแรกเขาก็จอดสนิทแล้ว เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องถามเรื่องอื่นอีก
“เอ่อ...คือ” เขาอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด เพียงแค่นี้เธอก็รู้คำตอบของเขาแล้วว่าคืออะไร
น่าขำชะมัด มาบอกเธอให้ห่างกันสักพัก จากนั้นก็มาง้อและชวนเธอไปค้างที่ห้องเพื่อมีเซ็กซ์ด้วย แต่พอถามคำถามง่าย ๆ เขากลับตอบไม่ได้
ครึ่งปีที่ผ่านมาเขากอดเธอ นอนกับเธอ ยิ้มแย้มกับเธอ ทั้งยังเคยบอกรักเธอ แม้จะเป็นตอนที่กำลังนัวเนียด้วยกันบนเตียงก็ตาม ทั้งหมดนั่นคือเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ
เพียะ!
ภัทรมัยฟาดฝ่ามือไปบนหน้าของเขาอย่างไม่ออมแรง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกมาอีกครั้ง
“ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พี่อย่ามายุ่งกับแก้มอีก ติดต่อกันแค่เรื่องงานอย่างเดียวก็พอ”
ชยาวุธมองสบสายตาคู่นั้นอย่างหลงใหลขณะค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือแยกขาเรียวสวยออกกว้าง ข้างหนึ่งพาดไว้กับบ่าตน อีกข้างวางไว้กับพื้นเสียงครวญครางดังระงมเมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้าปัดป่ายจุดอ่อนไหวอย่างเร่งเร้าสลับเชื่องช้า สะโพกกลมกลึงบิดส่ายรับการปรนเปรออันแสนร้อนเร่า ปากครางเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาจึงยิ่งเร่งระรัวเพื่อส่งเธอถึงปลายทางโดยไว เพราะเขาเองก็ปวดหนึบจนแทบระเบิดแล้วเมื่อร่างเย้ายวนเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิม อันเป็นภาษากายบ่งบอกว่าหญิงสาวถึงปลายทางแล้ว หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงก้มหน้าปรนเปรอไม่หยุด สองมือคลึงเคล้นทรวงสล้าง ปลายนิ้วสะกิดยอดอกอย่างหยอกเย้า ขณะที่ร่างอรชรได้แต่นอนหอบหายใจถี่จากความสุขสมที่ถาโถมเมื่อครู่ชายหนุ่มบรรจงจูบต้นขาด้านในทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว เขายิ้มมุมปาก แววตารุ่มร้อนจนคนมองใจสั่นระรัว“ตรงนี้หรือในห้อง” เขาถามเสียงพร่า ขณะที่ท่อนล่างเริ่มบดเบียดสอดแทรกเข้าสู่ช่องทางฉ่ำชื้น“เอาเข้ามาแล้วยังจะถามอีกทำไม” เธอตอ
เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้นชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่นหญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไ
“Chaya Wave งั้นหรือ อะไรกัน อีพี่เวฟมีกี่ไอดีกันเนี่ย มีหลายไอดีไว้จีบสาวรึไง อีตาบ้า!” หญิงสาวกดไอคอน “โกรธ” ให้กับคอมเมนต์นั้น แต่เขากลับกด “หัวใจ” ให้กับสเตตัสของเธอชยาวุธร่างสตอรีบอร์ดเสร็จไปหนึ่งแบบจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นสาย เขามองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าหนึ่งทุ่มแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนเพื่อดูว่ามีใคร โทร.มาหรือไม่ แต่ปรากฏว่าแบตหมดจึงเสียบสายชาร์จแล้ววางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดมิเนียมชายหนุ่มขึ้นห้องอีกครั้งตอนสองทุ่มกว่า เขารีบอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล เสร็จเรียบร้อยจึงมานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเฟซบุ๊กที่เขาสมัครไว้อีกชื่อหนึ่งเขายิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าภัทรมัยยังไม่บล็อกบัญชีชื่อนี้ของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงลองทักเธอทางกล่องข้อความChaya Wave : ทำไรอยู่แก้มเขาทักไปแล้วก็รอว่าเธอจะอ่านเลยหรือไม่ รอประมาณห้านาทีหญิงสาวก็ตอบกลับมาGam Phattramai : ถามทำไมChaya Wave : ก็อยากรู้Chaya Wave : เค้ก
มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย“ครับ คุณแม่”“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรี
“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น” เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านน