LOGIN“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น”
เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง
“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย
“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”
“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”
“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”
เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”
“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม่ถามหน่อยเถอะว่า ถ้าแกพลาดจากตาเวฟไป แกจะหาผู้ชายดี ๆ อย่างนี้ได้ที่ไหนอีก หา! ไม่รู้ละ แม่ชอบตาเวฟ ถ้าแกคิดจะแต่งงานก็ต้องเป็นตาเวฟนี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านก็รู้จักกันดี แม่กับคุณชม แม่ของตาเวฟก็สนิทสนมกัน แกยังมาบอกแม่อีกหรือว่าเลิกกันแล้ว”
“ก็เลิกกันแล้วจริง ๆ นี่ เลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วเลยด้วย เฟิร์นจะโกหกแม่ไปทำไม”
“ถ้าเลิกกันจริงแล้วทำไมตาเวฟยังมาเยี่ยมแม่เกือบทุกวันล่ะ นั่นก็เพราะเขาอยากเห็นหน้าแก เขายังรักแกอยู่”
เฟิร์นได้แต่กลอกตามองเพดาน “โอ๊ย...พอเถอะแม่ ถ้าแม่ไม่ โทร.ตามให้เวฟมาหา แม่คิดว่าเขาจะมาไหม แม่เลิกมโนได้แล้ว เรื่องเฟิร์นกับเวฟมันเป็นไปไม่ได้แล้วแม่”
“แต่แกก็ยังรักเขาอยู่ใช่ไหม แม่รู้นะ แกเป็นลูกสาวแม่มากี่ปี ทำไมแม่จะมองไม่ออก”
“แม่ฟังเฟิร์นนะ เราไม่ได้คบกันแบบแฟนอีกแล้ว ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น แม่จำได้ไหมตอนที่แม่จับมือเวฟให้วางลงบนมือเฟิร์นวันก่อน เวฟเกร็งมือแทบแย่ เกร็งจนดูไม่เป็นธรรมชาติขนาดนั้นนั่นก็เพราะเขาไม่อยากแตะตัวเฟิร์น เวฟเป็นคนโกหกไม่เก่ง เขารู้สึกยังไงก็แสดงออกมาทางสีหน้าท่าทางหมดนั่นแหละ เราสองคนไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันอีกแล้วแม่ และที่เวฟมาเยี่ยมแม่ก็เพราะเวฟเคารพแม่เหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งแค่นั้นเอง”
“ยายเฟิร์น...แกไม่เสียดายเวลาหรือไง แกสองคนคบกันมานานขนาดนั้น ไม่เหลือเยื่อใยให้กันบ้างเลยหรือ”
เฟิร์นถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในฐานะแฟนคงไม่เหลือแล้วแม่ แต่ถ้าในฐานะเพื่อนน่ะยังมีอยู่”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้ากระเป๋ามาสะพาย
“แม่จะเอาอะไรไหม เฟิร์นจะลงไปซื้อของที่เซเว่น”
เมื่อเห็นมารดาส่ายหน้าให้แทนคำตอบ เธอจึงเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย
เฟิร์นเดินมาที่ม้านั่งใกล้กับลิฟต์ หญิงสาวทรุดตัวนั่งพลางทอดสายตามองวิวด้านนอกตึกผู้ป่วยใน สมองครุ่นคิดถึงคำพูดที่มารดาพร่ำกรอกหูตนเมื่อครู่แล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
คบกันมาสิบกว่าปีแล้วอย่างไร ถ้าความรักมันจืดจางลงก็ต้องแยกย้ายต่างคนต่างไปอยู่ดี ชยาวุธหมดรักเธอไปนานแล้วตั้งแต่ย่างเข้าปีที่แปด เธอเองก็เช่นกัน อาจเพราะความห่าง และต่างคนต่างต้องทำงานของตนจึงทำให้ช่องว่างระหว่างกันยิ่งมากขึ้น ทั้งที่อยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่กลับเจอกันแค่เดือนละครั้ง แต่ละครั้งแทบไม่มีเรื่องคุยกันมากนัก เรื่องเซ็กซ์ยิ่งแล้วใหญ่ เธอกับเขาไม่มีอะไรกันมาเกือบสี่ปีได้แล้วกระมัง
แต่เพราะความเกรงใจในกันและกัน เรื่องจึงคาราคาซังไม่ยอมจบ จนกระทั่งปีที่แล้วหลังจากที่ไม่ได้โทรศัพท์คุยกันมาเกือบเดือน จู่ ๆ ชยาวุธก็นัดเธอออกไปคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในที่สุดก็ตกลงยุติความสัมพันธ์แบบคนรัก และกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง
‘เราแอบชอบรุ่นน้องในที่ทำงานน่ะ ก็เลยมาคุยกับเฟิร์นให้เคลียร์ก่อน’
‘งั้นหรือ ก็ดีสิ เฟิร์นก็ว่าจะคุยเรื่องนี้กับเวฟหลายครั้งแล้ว แต่ไม่กล้าสักที เวฟมาพูดก่อนอย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย’
เป็นการบอกเลิกที่ง่ายดายที่สุด แต่ก็โล่งใจที่สุดเช่นกัน ทั้งยังเป็นการบอกเลิกที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งต้องเจ็บปวดอีกด้วย
ทว่าวันที่มารดาของเธอล้มลงเพราะอาการโรคหัวใจกำเริบ เธอแทบทำอะไรไม่ถูก ขณะนั่งรอมารดาอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สิ่งแรกที่นึกถึงคือโทรศัพท์หาชยาวุธ และร้องไห้กับเขา เมื่อชายหนุ่มมาถึงโรงพยาบาล เธอโผเข้ากอดเขาทันทีราวกับต้องการหาที่พึ่ง นับเป็นกอดแรกในรอบสี่ปีกว่านี้เลยก็ว่าได้
เธออยู่กับมารดาแค่สองคนไม่มีพี่น้อง ญาติสนิทส่วนใหญ่ก็อยู่ไกล ดังนั้นชยาวุธจึงนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอหน้าห้องฉุกเฉินทั้งคืน และคอยช่วยเป็นธุระเรื่องโรงพยาบาลให้ เพราะเธอเป็นห่วงมารดาจนไม่มีสมาธิจะทำอะไรเลย
ยอมรับว่าตลอดหลายวันมานี้เธออดคิดถึงอดีตที่มีร่วมกันไม่ได้ ยิ่งเขาทำดีกับเธอ เธอก็ยิ่งคิดถึงวันเก่า ๆ แต่พอเห็นสายตา และการกระทำบางอย่างที่ฝืนใจของเขา ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเรื่องระหว่างเราเป็นอดีตไปแล้วจริง ๆ
ช่วงนี้คงต้องห้ามชยาวุธไม่ให้มาเยี่ยมมารดาของเธอแล้วกระมัง เพราะเขามาทีไร ท่านมักจะหาเรื่องเป่าถ่านไฟเก่าให้ลุกโชนขึ้นมาทุกที เธอสงสารเขา จะปฏิเสธไปตามตรงก็ไม่ได้เพราะเป็นห่วงอาการของท่าน ได้แต่ทำหน้าจืดเจื่อนกับรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเต็มทน
“เฮ้อ...เวฟเอ๊ย โดนแม่เราเล่นงานซะแล้ว”
เฟิร์นลุกขึ้นยืนรอลิฟต์เพื่อลงไปซื้อของข้างล่าง โดยไม่รู้เลยว่ามารดาของตนกำลังใช้โทรศัพท์ โทร.ออกไปหาชยาวุธ เพราะต้องการให้ชายหนุ่มมาเยี่ยมตนที่โรงพยาบาล
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ชยาวุธจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือกับกุญแจรถมาใส่กระเป๋ากางเกงแล้วออกจากห้องพัก เขาอยาก โทร.ไปหาภัทรมัย แต่เพราะหญิงสาวบล็อกเบอร์และไอดีไลน์ของเขาไว้เพื่อตัดขาดการติดต่อทุกทาง ดังนั้นเขาจึงต้องไปหาเธอถึงคอนโดมิเนียมเสียเอง
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มขณะเข้ามานั่งในรถ คิดในใจว่าจะซื้ออะไรไปง้อเธอดี ทว่ายังไม่ทันที่จะเคลื่อนรถออกจากซอง โทรศัพท์ของเขาก็แผดเสียงดังขึ้น ครั้นพอหยิบมาดูชื่อคน โทร.ก็เห็นว่าเป็นมารดาของเฟิร์น เขาทำท่าจะกดรับ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่รับสาย และปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งปลายสายถอดใจวางหูไปเอง
...หรือเราจะกลับมาคบกันเหมือนเดิมดี...
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวที่เฟิร์นพูดออกมา ทำให้เขาได้รู้ว่าเยื่อใยหนึ่งเดียวที่เขามีให้เธอนั้นเป็นไปในลักษณะเพื่อนสนิท หรือญาติใกล้ชิดมากกว่าการเป็นคนรัก แม้เขาจะไม่รู้สึกอะไรตอนที่ได้ยิน แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้ตัวเองดีว่าใจเขากำลังปฏิเสธคำชวนทีเล่นทีจริงนี้อยู่
และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้ใจตัวเอง คือตอนที่มารดาของเฟิร์นจับมือของเขาไปวางบนมือของเฟิร์น แล้วบอกให้รักและดูแลกันดี ๆ ตอนนั้นร่างกายของเขาปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ เขาไม่กล้า และไม่ปรารถนาจะสัมผัสอดีตคนรัก เพราะรู้สึกว่าเธอคือคนอื่นไปแล้ว ผิดกับภัทรมัยที่เขาอยากกอด และอยากนัวเนียกับเธอตลอดเวลา
เขาคงต้องห่างออกมาจากเฟิร์นและมารดาของเธอ ในเมื่อเรื่องของเขากับเธอกลายเป็นอดีต ก็ไม่ควรกลับไปใกล้ชิดกันอีก เฟิร์นเองก็คงคิดเหมือนเขา แต่มารดาของเธอกลับพยายามโน้มน้าวให้เขากับบุตรสาวของตนกลับไปเป็นเหมือนเดิมทั้งคำพูดและการกระทำ
ส่วนภัทรมัย เขาคงต้องตามง้อตามจีบเธอใหม่ เขาจะง้อจนกว่าเธอจะยอมให้อภัย และกลับมาคบกับเขาอีกครั้ง
“แล้วน้องเขารู้รึยังว่ามึงชอบเขา” ทิวากรถามยิ้ม ๆ“จะรู้ได้ไง ก็กูไม่ได้บอก”ทิวากรกลอกตาพลางเอ่ยว่า “เหรอออ ไอ้คุณเวฟครับ กูว่าน้องเขาน่าจะรู้แล้วละครับ เพราะมึงน่ะมองเขาตาเชื่อมขนาดนั้น แหม...ไม่แสดงออกเลยสักนิด แค่คนเขารู้เขาเห็นกันทั้งบริษัทแค่นั้นเอง”“เฮ้ยถามจริง น้องเขารู้หรือวะ” คนอื่นเขาไม่สนใจ ใครจะคิดอย่างไรก็คิดไป แต่ภัทรมัยนั้นเขาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาโสด ถ้าเขาเผลอมองเธอตาเชื่อมจริง เธอจะต้องคิดแน่ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ“ไม่ได้การแล้วไอ้ทิว มึงรีบไปป่าวประกาศให้กูด่วนเลยว่ากูโสดแล้ว”และตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะเริ่มจีบภัทรมัยอย่างจริงจังสักทีชยาวุธกับทีมงานคนอื่น ๆ นั่งฟังบรีฟงานจากภัทรมัยในห้องประชุมเล็ก ตลอดเวลาที่นั่งประชุม ชายหนุ่มแทบไม่ละสายตาไปจากเออีคนสวยเลย และเขาไม่ใช่แค่มองอย่างเดียว แต่ยังยิ้มนิด ๆ ตลอดเวลาด้วยภัทรมัยรู้ตัวว่าถูกชยาวุธจ้องเอา ๆ ก็อดประหม่าไม่ได้ หญิงสาวต้องตั้งสติและใช้สมาธิอย่างมา
“เฮ้อ...” ภัทรมัยถอนหายใจอีกครั้งทั้งยังเผลอมองเขาไม่วางตา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น หัวคิ้วของหญิงสาวพลันขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทันทีตาคนนี้ปล่อยให้คนอื่นเขาแซงคิวอีกแล้ว...นังแก้มจะไม่ทน!หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาชยาวุธด้วยสีหน้าเอาเรื่อง แต่ไม่ได้พูดกับเขา เธอพูดกับผู้หญิงคนนั้น“ขอโทษนะคะ ท้ายแถวอยู่ตรงนั้นค่ะ กรุณาไปต่อคิวด้วย”“อะไรกัน ก็คุณคนนี้...” ผู้หญิงคนนั้นยังพูดไม่จบ ภัทรมัยก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก“ถึงพี่ฉันจะยอมให้คุณแซงคิว แต่ฉันไม่ให้ และฉันจะเข้าคิวแทนพี่เขาเอง เพราะฉะนั้นกรุณาไปต่อท้ายแถวค่ะ” หญิงสาวชี้ไปทางท้ายแถว จากนั้นหันไปพูดกับชายหนุ่มว่า“พี่เวฟไปนั่งรอก่อนเลย แก้มจะแลกการ์ดเอง” พูดจบก็หันไปมองหน้าผู้หญิงคนนั้นต่อ เจ้าหล่อนเห็นคนเริ่มมองมาหลายคน อีกทั้งคนที่ต่อแถวบางคนก็ทำหน้าไม่พอใจ จึงเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากแถวทันทีเมื่อแลกการ์ดเรียบร้อยแล้ว ภัทรมัยจึงเดินไปหาชยาวุธที่นั่งรออยู่ จากนั้นก็ยื่นการ์ดให้เขา&
เออีน้องใหม่ภัทรมัยเดินออกจากลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ วันนี้เธอเริ่มงานวันแรกกับบริษัทโฆษณาที่จัดว่าเป็นบริษัทอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เธอใฝ่ฝันอยากทำบริษัทนี้มานานแล้ว เคยมาสัมภาษณ์สองครั้ง แต่ไม่ถูกเรียกให้เข้าทำงาน หญิงสาวจึงต้องไปสมัครบริษัทอื่น ทำอยู่หลายปีจนกระทั่งทราบข่าวว่าบริษัทนี้เปิดรับ Account Executive เธอจึงลองยื่นใบสมัครดูอีกครั้ง หลังจากสัมภาษณ์เสร็จก็กลับบ้านไปรอฟังผล ผ่านไปสองวันจึงได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายบุคคลว่าเธอได้รับการพิจารณาให้เป็นพนักงานของบริษัทแล้วภัทรมัยจำได้ว่าวันนั้นตนกรี๊ดลั่นห้องจนเพื่อนชายที่อยู่ห้องติดกันรีบมาเคาะประตูถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนึกว่าเธอเกิดอันตรายขณะที่หญิงสาวกำลังจะผลักประตูเข้าไป เสียงทุ้มจากด้านหลังพลันดังขึ้นจนทำให้เธอสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามาติดต่อธุระอะไรรึเปล่าครับ”ภัทรมัยลดมือลงจากที่จับประตูแล้วหันไปมองคนถาม ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งคนนี้หน้าตาใช้ได้ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปลายถึงสามสิบปี สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบ ดูท่าทางเป
โลกใบแรกที่เป็นทนายปราบต์ได้ตายไปแล้ว แต่ยังเหลือโลกใบที่สองคือนวัช เจ้าของบ่อปลาน้ำจืดขนาดใหญ่เขาเหลือชีวิตเดียวแล้ว คงต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ให้สมกับที่มารดาของเขายอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เขาเติบโต...เมี้ยว...เสียงร้องแผ่วเบาของแมวตัวหนึ่งทำให้ความคิดของชายหนุ่มหยุดชะงักลงทันที เขามองหาที่มาของเสียงจึงเห็นลูกแมวตัวเล็กยืนห่างเขาออกไปประมาณสามก้าว“แมวบ้านไหนเนี่ย” เขาไม่เคยได้ยินว่าคนแถวนี้เลี้ยงแมวสักคน จึงคิดจะจับตัวมันมาดูว่าสวมปลอกคอเอาไว้หรือไม่ แต่เจ้าตัวเล็กก็กระโดดหนีไปเสียก่อน และเพราะความมืดเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันมีสีอะไร แต่ในเมื่อมันไปแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจอีกทว่าพอเขาเดินเข้าบ้าน กลับเห็นลูกแมวตัวน้อยนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาราวกับเป็นบ้านของมัน“จะมาอยู่ด้วยกันรึไงเจ้าเหมียวน้อย” เขาก้มตัวลงมองมันชัด ๆ เป็นแมวไทยทั่วไปสีส้มท้องขาว มีปลอกคอสวมอยู่แสดงว่าเป็นแมวมีเจ้าของ“กลับบ้านไปได้แล้ว เจ้าของหาแย่แล้วมั้ง”มันเงยหน้ามองเขาเหมือนจะฟังรู้เรื่อง แต่พอเห็นมันเอนตัวลงนอนฟุบบนโซฟาเหมื
“น่ารักจังเลย กี่เดือนแล้วคะ” ภัทรมัยมองเด็กน้อยลูกครึ่งด้วยความเอ็นดู สีผมของทั้งคู่เป็นสีน้ำตาล นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเช่นกัน พวงแก้มแดงระเรื่อทั้งสองข้าง แขนขาจ้ำม่ำดูน่ากอดทั้งคู่“แปดเดือนแล้ว กำลังคลานเลย เวฟกับแก้มล่ะ เมื่อไรจะมีตัวเล็กบ้าง” เฟิร์นถามยิ้ม ๆ“คงอีกสักพักค่ะ” ภัทรมัยยิ้มแหย“โห นี่แปลว่าไปอยู่ที่โน่นได้ไม่นานก็แต่งงานเลยสิเนี่ย แฟนเป็นคนอเมริกันใช่ไหม แล้วรู้จักกันได้ยังไง” ชยาวุธยิ้มกว้างเช่นกัน ดีใจที่เห็นอดีตคนรักมีชีวิตที่ดี“ใช่ ตอนมาถึงที่นี่เฟิร์นก็ช่วยน้าทำงานในคลินิกสัตว์ และเพ็ทชอปน่ะ เขาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ เพราะพาแมวมาถ่ายพยาธิและหยอดยากันเห็บหมัดทุกเดือน มาซื้ออาหารแมว ทรายแมวบ่อย ๆ ก็เลยได้รู้จักกัน บ้านเขาอยู่ไม่ไกลจากคลินิกด้วย เขาจะออกมาวิ่งทุกเช้าเลยได้คุยกันทุกวัน”“ดีใจด้วยนะเฟิร์น ลูก ๆ น่ารักมาก แก้มแดงน่าหยิกมากเลย ไฮ...”ชายหนุ่มโบกมือทักทายเด็กน้อยที่มองตนตาแป๋วผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปยิ้มกับภรรยาอย่างถูกใจเมื่อเห
“ไอ้เสี่ยกวงมันอยู่ได้อีกไม่นานหรอก เชื่อพี่ น่าจะตายอยู่ในคุกนั่นแหละ ไม่ได้ออกมาเห็นโลกภายนอกอีกหรอก”“แล้วคุณทนายล่ะ แก้มว่าเขาก็ทำบาปกับคนอื่นไว้ไม่น้อยเลยนะนั่น อยากรู้จริงว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่”แม้จะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ภัทรมัยยังคงเชื่อว่าทนายปราบต์ยังไม่ตาย และคิดว่าเขาคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้แน่นอน“จะไปคิดถึงมันทำไม มันทำให้พี่เกือบตายเชียวนะ” เขาตัดพ้อเสียงขุ่น ภัทรมัยจึงรีบกอดเขาไว้อย่างเอาใจ“แหม ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเขาทำยังไงถึงรอด หมายถึงว่าเขาทำยังไงถึงทำให้ตัวเองกลายเป็นคนตายไปได้ แล้วตอนนี้เขาจะใช้ชื่อว่าอะไร ยังอยู่ในประเทศไทยรึเปล่าแค่นั้นเอง”“เขาอยู่กับเสี่ยกวงมานาน ยังไงก็ต้องมีทางออกให้ตัวเองเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วละ แต่ไอ้เรื่องชุบตัวเป็นคนใหม่หรือสวมรอยเป็นคนอื่นรึเปล่าเราก็ไม่รู้กับเขาหรอก พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันน่าจะรู้กันเฉพาะกลุ่มว่ามีขบวนการทำให้ ดีไม่ดี เจ้าหน้าที่พวกนั้นอาจจัดการให้เขาเองก็ได้ ช่างมันเถอะ แค่อย่ามาให้เจอหน้าก็แล้วกัน บอกตามตรงเลยนะ พี่ไม่ถูกชะตา




![เจ้าสาวจัดดอก [PWP] + [NC30+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


