มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย
“ครับ คุณแม่”
“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”
“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย
“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”
ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว
“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”
ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”
“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรียบร้อยแล้วครับคุณแม่ เราเลิกกันด้วยดีไม่ได้มีปัญหากันอะไรหรอกครับ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ผม...” เขายังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นเสียก่อน
“เธอจะทิ้งยายเฟิร์นหรือตาเวฟ แม่ไม่ยอมหรอกนะ!”
ชยาวุธพยายามระงับอารมณ์ของตนที่ตอนนี้เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ แม้เขาจะเป็นคนที่มีความอดทนสูง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทนได้ทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่มีเหตุผล
“ผมไม่ได้ทิ้งเฟิร์นครับ มันเป็นการตกลงกันด้วยดีทั้งสองฝ่าย และเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของผมกับเฟิร์น เราคุยจบไปตั้งแต่ปีที่แล้ว และทุกวันนี้ผมก็มีแฟนใหม่มาได้เกินครึ่งปีแล้วด้วย เฟิร์นเขาก็รับรู้เรื่องนี้มาตลอด เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“อะไรนะ! เธอมีแฟนใหม่ทั้งที่ลูกสาวฉันไม่มีใครเนี่ยนะ จะทำกันเกินไปแล้วนะตาเวฟ ยายเฟิร์นน่ะมันยังรักแกอยู่แท้ ๆ ฉันเป็นแม่มันทำไมฉันจะไม่รู้ แกทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าแกจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ อุตส่าห์หลงชื่นชมว่าแกเป็นคนดี ถึงได้อยากให้ยายเฟิร์นลงเอยกับแก...”
ชยาวุธไม่อยากฟังให้ตัวเองยิ่งหงุดหงิดอารมณ์เสีย จึงเอาบลูทูธออกจากหูแล้วขับรถไปยังคอนโดมิเนียมของภัทรมัย ครั้นพอรถติดสัญญาณไฟแดงเขาจึงลองดูหน้าจอ เห็นว่ามารดาของเฟิร์นวางสายไปแล้วจึงเสียบบลูทูธไว้ที่หูตามเดิม
“แม่กูแท้ ๆ ยังไม่บ่นเท่านี้เลย เฮ้อ...”
ถ้าเขาไป อีกฝ่ายก็คงเป่าหู และขุดคุ้ยเรื่องในอดีตสมัยที่เขายังคบหากับเฟิร์นเอามาพูดไม่หยุดแน่ เขาเคยไขว้เขวโลเลจากภัทรมัยเพราะดันไปคิดตามท่าน แต่พอรู้ตัวว่าไม่ใช่เขาจึงไม่อยากทำพลาดอีก
ชายหนุ่มแวะร้านเบเกอรีร้านโปรดของภัทรมัยเพื่อซื้อเค้กกับขนมที่หญิงสาวชอบมาถุงใหญ่ เธอชอบกินรสชาติไหนบ้างเขาจำได้ทั้งหมด เพราะภัทรมัยเป็นคนที่ชอบกินอะไรมักจะสั่งแต่อย่างนั้น ไม่ค่อยยอมเปลี่ยนไปกินอย่างอื่น นิสัยนี้ของเธอเหมือนกันกับเขาไม่ผิดเพี้ยน
ไม่นานนักชยาวุธก็มาถึงคอนโดมิเนียมของภัทรมัย เขาลงจากรถเอสยูวีพร้อมขนมถุงใหญ่พลางเดินฮัมเพลงไปยืนรอลิฟต์อย่างอารมณ์ดี เมื่อเขาเข้าไปในลิฟต์ และประตูลิฟต์ปิดลง ลิฟต์อีกตัวที่อยู่ข้างกันพลันเปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งของวริศเดินออกมาในชุดทำงาน เพราะได้เวลาที่อีกฝ่ายต้องไปทำงานที่คลินิกจิตเวช
ชยาวุธยืนอยู่หน้าห้องของหญิงสาว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นถุงอาหารห้อยอยู่ที่ลูกบิดประตู เขากดออดเรียกหลายครั้งแต่ไม่มีคนมาเปิดจึงลองเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงด้านใน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ในห้อง สุดท้ายเขาจึงห้อยถุงขนมไว้ที่ลูกบิดบ้าง เพราะไม่รู้ว่าภัทรมัยจะกลับเข้ามากี่โมง
“ไปไหนนะแก้ม โทรศัพท์ก็ โทร.ไม่ได้อีก” ถ้าเธอยังบล็อกเบอร์ของเขาไว้ต่อไป เห็นทีคงต้องเปิดเบอร์ใหม่เอาไว้ โทร.ง้อเธอเสียแล้ว
สุดท้ายชยาวุธต้องเดินคอตกกลับห้องพักของตนเองไป ได้แต่หวังว่าเมื่อภัทรมัยกลับมาถึงแล้วเห็นถุงขนมที่เขาซื้อมาให้ เธอจะจำได้ และรู้ว่าเขามาหาเธอที่นี่
เมื่อกลับถึงห้องของตนเอง ชายหนุ่มจัดการปิดเสียงโทรศัพท์มือถือแล้ววางเอาไว้ในห้องนอนเพื่อทำงาน เพราะทุกครั้งที่เขานั่งร่างสตอรีบอร์ด จะต้องใช้ความเงียบและสมาธิอย่างมาก
เขาจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าจนแทบลืมเวลา จึงไม่รู้ว่าโทรศัพท์ของเขามีสายเรียกเข้าจากอดีตคนรักเก่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบสายแล้ว!
ภัทรมัยกลับถึงคอนโดมิเนียมในช่วงเย็นเพื่อมาเปลี่ยนชุด และเตรียมชุดสำหรับนอนเฝ้ามารดาที่โรงพยาบาลคืนนี้ หญิงสาวเห็นถุงขนมและของกินห้อยไว้หน้าประตูก็ไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก เพราะคิดว่าวริศเป็นคนนำมาห้อยไว้ ทว่าพอเห็นโลโก้บนถุง และชนิดของขนม เธอก็ต้องเบิกตากว้างพร้อมกับหัวใจเต้นรัวขึ้นมาทันที เพราะขนมร้านนี้มีแต่ชยาวุธเท่านั้นที่รู้ว่าเธอชอบกินอะไร
“พี่เวฟมาที่นี่หรือ”
เธอห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้มไม่ได้จึงทำทีเป็นกระแอมเบา ๆ แล้วเปิดประตูเข้าห้องไปโดยหยิบทั้งสองถุงนั้นเข้ามาด้วย ส่วนก๋วยเตี๋ยวหลอดนั้นคงเป็นของวริศที่ซื้อมาฝากเป็นแน่
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวหลอดหมด ภัทรมัยก็นำขนมเค้กเรดเวลเวตที่ชยาวุธซื้อให้ออกจากตู้เย็นมากิน เธอกินไปก็นึกหน้าคนให้ไป ป่านนี้ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาติดต่อเธอไม่ได้เพราะเธอบล็อกไว้หมดทุกทาง อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำอย่างไร
ทันใดนั้นภัทรมัยก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอถ่ายรูปเค้กที่ยังไม่ได้กินแล้วอัปขึ้นโซเชียลโดยใส่แค็ปชันว่า
...ฉลองที่เป็นโสดมาครบ 1 อาทิตย์แล้ว...
หลังจากนั้นก็มีคอมเมนต์ทักมาถามกันมากมายว่าทำไมถึงโสด เลิกกับแฟนแล้วหรือ และสารพัดคำถามที่แต่ละคนอยากรู้ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนในออฟฟิศ เธอจึงตอบไปสั้น ๆ แค่ว่า
“เลิกแล้วจ้า ตอนนี้โสดแบบสวย ๆ”
ขณะที่เธอกำลังไถหน้าฟีดเฟซบุ๊กอยู่นั้น ระบบก็มีการแจ้งเตือนว่ามีคนเข้ามาคอมเมนต์สเตตัสเมื่อครู่ เธอจึงลองเข้าไปอ่านดู จึงเห็นว่าเป็นทนายหนุ่มที่ชื่อปราบต์ ผู้ซึ่งมารดาบอกว่าเขามาถามหาเธอบ่อย ๆ
“ผมจีบได้ไหม ช่วยรับผมไว้พิจารณาสักคนได้รึเปล่าครับ”
ภัทรมัยได้แต่ยิ้มแห้งเพราะไม่รู้จะตอบเขาไปอย่างไรดี ผู้ชายคนนี้จะว่าไปแล้วก็นับว่ามีดีไม่น้อย หากแต่รูปร่างหน้าตา และบุคลิกของเขาคล้ายวริศมากเกินไป แม้ปราบต์จะไม่หล่อเหลาเท่าวริศก็ตาม ดังนั้นเธอจึงมองเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งมาตลอด ไม่เคยคิดเกินเลยกับเขาเหมือนที่เธอคิดกับวริศ
ครั้นพอได้อ่านคอมเมนต์ถัดไป ภัทรมัยก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะคนคนนั้นคอมเมนต์ไว้ว่า
“กินเค้กให้อร่อยนะ ใส่ยาเสน่ห์เอาไว้ และบอกแล้วไงว่าไม่เลิก เดี๋ยวจะเริ่มจีบใหม่ เตรียมตัวตั้งรับไว้ให้ดีเถอะ”
ชยาวุธมองสบสายตาคู่นั้นอย่างหลงใหลขณะค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือแยกขาเรียวสวยออกกว้าง ข้างหนึ่งพาดไว้กับบ่าตน อีกข้างวางไว้กับพื้นเสียงครวญครางดังระงมเมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้าปัดป่ายจุดอ่อนไหวอย่างเร่งเร้าสลับเชื่องช้า สะโพกกลมกลึงบิดส่ายรับการปรนเปรออันแสนร้อนเร่า ปากครางเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาจึงยิ่งเร่งระรัวเพื่อส่งเธอถึงปลายทางโดยไว เพราะเขาเองก็ปวดหนึบจนแทบระเบิดแล้วเมื่อร่างเย้ายวนเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิม อันเป็นภาษากายบ่งบอกว่าหญิงสาวถึงปลายทางแล้ว หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงก้มหน้าปรนเปรอไม่หยุด สองมือคลึงเคล้นทรวงสล้าง ปลายนิ้วสะกิดยอดอกอย่างหยอกเย้า ขณะที่ร่างอรชรได้แต่นอนหอบหายใจถี่จากความสุขสมที่ถาโถมเมื่อครู่ชายหนุ่มบรรจงจูบต้นขาด้านในทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว เขายิ้มมุมปาก แววตารุ่มร้อนจนคนมองใจสั่นระรัว“ตรงนี้หรือในห้อง” เขาถามเสียงพร่า ขณะที่ท่อนล่างเริ่มบดเบียดสอดแทรกเข้าสู่ช่องทางฉ่ำชื้น“เอาเข้ามาแล้วยังจะถามอีกทำไม” เธอตอ
เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้นชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่นหญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไ
“Chaya Wave งั้นหรือ อะไรกัน อีพี่เวฟมีกี่ไอดีกันเนี่ย มีหลายไอดีไว้จีบสาวรึไง อีตาบ้า!” หญิงสาวกดไอคอน “โกรธ” ให้กับคอมเมนต์นั้น แต่เขากลับกด “หัวใจ” ให้กับสเตตัสของเธอชยาวุธร่างสตอรีบอร์ดเสร็จไปหนึ่งแบบจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นสาย เขามองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าหนึ่งทุ่มแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนเพื่อดูว่ามีใคร โทร.มาหรือไม่ แต่ปรากฏว่าแบตหมดจึงเสียบสายชาร์จแล้ววางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดมิเนียมชายหนุ่มขึ้นห้องอีกครั้งตอนสองทุ่มกว่า เขารีบอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล เสร็จเรียบร้อยจึงมานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเฟซบุ๊กที่เขาสมัครไว้อีกชื่อหนึ่งเขายิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าภัทรมัยยังไม่บล็อกบัญชีชื่อนี้ของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงลองทักเธอทางกล่องข้อความChaya Wave : ทำไรอยู่แก้มเขาทักไปแล้วก็รอว่าเธอจะอ่านเลยหรือไม่ รอประมาณห้านาทีหญิงสาวก็ตอบกลับมาGam Phattramai : ถามทำไมChaya Wave : ก็อยากรู้Chaya Wave : เค้ก
มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย“ครับ คุณแม่”“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรี
“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น” เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านน