ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า
“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”
“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา
“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”
“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที
“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”
“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”
“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านนั่งเอนหลัง
“จริงสิ แกก็ไม่ได้ไปที่ร้านมาสองอาทิตย์แล้ว คุณปราบต์เขาถามหาแกหลายครั้งเลย ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่า สงสัยว่าจะแอบชอบแกละมั้งยายแก้ม” มารดาพูดยิ้ม ๆ แต่ภัทรมัยเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับรู้อยู่แล้ว
ปราบต์เป็นชายหนุ่มหน้าตี๋วัยสามสิบ เขาเป็นเจ้าของสำนักงานทนายความที่เปิดอยู่ใกล้กับร้านเด็กเส้น จะว่าไปแล้วบุคลิกของชายหนุ่มมีส่วนคล้ายกับวริศไม่น้อย เพราะเขาสุภาพอ่อนโยน ยิ้มง่าย และดูเป็นมิตร เขาจีบเธอหรือเปล่าเธอก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ที่แน่ ๆ คือทุกครั้งที่เธอไปช่วยมารดาขายขนมจีนที่ร้าน เขามักแวะมานั่งคุยด้วยเป็นนานสองนานเสมอ
“ไม่หรอกมั้งแม่ เขาก็ถามหาไปตามมารยาทนั่นแหละ หน้าตาดีออกขนาดนั้นคงมีแฟนแล้วละมั้งแก้มว่า”
“แล้วแฟนแกล่ะ ที่เคยพามาที่ร้านนั่นน่ะ เป็นยังไงบ้าง” ได้ยินมารดาถามถึงชยาวุธ ภัทรมัยจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน
“เลิกกันแล้ว แม่ไม่ต้องถามนะว่าทำไมถึงเลิก เอาเป็นว่าไปด้วยกันไม่ได้ก็เลิก แค่นั้นเอง”
“อ้าว พวกแกทำงานที่เดียวกันไม่ใช่หรือ” ท่านถามอย่างเป็นห่วง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“ก็ไม่เป็นไรนี่แม่ งานก็ส่วนงานไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว อีกหน่อยแก้มก็จะลาออกอยู่แล้วด้วย”
สองแม่ลูกไม่ได้คุยเรื่องนี้กันต่อเพราะพยาบาลเข้ามาเช็กน้ำเกลือให้คนป่วยพอดี ภัทรมัยจึงลงไปหามื้อกลางวันกินที่ร้านอาหารในโรงพยาบาล
เวลาเดียวกัน ชยาวุธกำลังทำความสะอาดห้องพักของตนด้วยความเบื่อหน่าย ปกติชายหนุ่มจะทำสัปดาห์ละหนึ่งครั้งเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาจะมีภัทรมัยคอยช่วยทุกครั้ง วันนี้ต้องทำคนเดียวจึงทุลักทุเลไปบ้าง
ขณะที่เขากำลังบิดผ้าถูพื้นอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะของชุดรับแขกพลันดังขึ้น เขาวางไม้ถูพื้นลงแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ เพราะเดาได้ไม่ยากว่าผู้ที่ โทร.เข้ามาคือใคร
“อืม ว่าไง”
“เวฟ ถ้าแม่ โทร.ไปบอกให้เวฟมาเยี่ยม เวฟไม่ต้องมานะ” เสียงของเฟิร์น แฟนเก่าของเขาฟังดูแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก
“ทำไมล่ะ ทะเลาะกับแม่อีกหรือ” เขาพูดเสียงอ่อน เพราะเข้าใจดีทั้งแม่และลูก
มารดาของเฟิร์นไม่ต้องการให้เขาเลิกรากับบุตรสาว จึงพยายามพูดรำลึกความหลังอยู่หลายครั้ง ท่านเองก็รักและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากบุตรชายแท้ ๆ คนหนึ่ง ท่านจึงอยากให้บุตรสาวคนเดียวได้ลงเอยกับเขา เพราะไหน ๆ ก็คบหากันมานานร่วมสิบกว่าปีแล้ว
แต่เฟิร์นกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะตั้งแต่เปิดอกคุยกันเมื่อปีก่อนว่าอยากกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เฟิร์นเองก็เห็นด้วย จึงได้ลดสถานะลงจากคนรักเหลือแค่เพื่อนสนิท ทว่าพอมารดาของเธอรู้เข้าถึงกับโวยวายไม่ยอมท่าเดียว ท่านพยายามโน้มน้าวให้เขากับเฟิร์นกลับมาคบกันอีกครั้ง โดยอาศัยอาการป่วยของตนมาเป็นตัวฉุดรั้ง
“ก็เรื่องเดิม ๆ อะ น่าเบื่อจะตาย เดี๋ยวแม่ก็บังคับให้เวฟสัญญานั่นนี่อีก เฟิร์นไม่อยากให้เป็นแบบนี้ เฟิร์นรู้ว่าเวฟลำบากใจถึงได้พยายามพูดกับแม่ แต่ก็นั่นแหละ คุยกันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที”
“คนแก่ก็เงี้ยแหละ ท่านเห็นเราอยู่กับเฟิร์นมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง เป็นธรรมดาที่ท่านจะทำใจไม่ทัน” อย่าว่าแต่มารดาของเฟิร์นเลย ทางบ้านของเขาก็ตกใจเช่นกันที่จู่ ๆ เขาบอกว่าเลิกกับเฟิร์นแล้ว
“หรือเราจะกลับมาคบกันเหมือนเดิมดี”
ครั้นพอได้ยินแฟนเก่าพูดมาอย่างนี้ เขากลับรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก ไม่ได้ดีใจ แต่ก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่นอะไรนัก เขาเฉย ๆ มากกว่า ขณะเดียวกันใบหน้าและรอยยิ้มของภัทรมัยกลับผุดขึ้นมาในหัว
“พูดจริงพูดเล่นเนี่ยเฟิร์น”
“ถ้าพูดจริงล่ะ เวฟจะกลับมาคบกับเฟิร์นรึเปล่า”
เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร รู้แต่ว่าหากปฏิเสธออกไปเฟิร์นจะเสียใจหรือเปล่า แต่ถ้าเขาตอบรับอีกฝ่าย แล้วภัทรมัยเล่าเขาจะทำอย่างไร เพราะเขาเองก็ชอบเธออยู่มาก ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอไปได้ดี และเขาเองก็มีความสุขไม่น้อย ราวกับทุกอย่างในโลกเป็นสีชมพูตามประสาคนมีความรัก เขาไม่อยากเลิกกับแฟนคนปัจจุบันเลย
เขาคงเป็นผู้ชายโลเลอย่างที่น้องสาวว่าไว้ไม่ผิด
“เราไม่รู้จะตอบยังไงว่ะเฟิร์น ให้กลับไปคบกันอีกครั้ง มันจะเป็นไปได้หรือ” เขาพูดออกไปตามตรง ยอมรับว่าหากคุยกันโดยไม่เห็นหน้าแบบนี้เขากล้าพูดไปตามที่คิด แต่ถ้าอยู่ต่อหน้ามารดาของเฟิร์น เขากลับไม่กล้าปฏิเสธ เพราะกลัวว่าอาการโรคหัวใจของอีกฝ่ายจะกำเริบ
ท่านขู่ว่าจะไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ หากเขากับเฟิร์นไม่ยอมรับปากว่าจะแต่งงานกัน!
และทุกครั้งที่อาการกำเริบจนต้องพาส่งโรงพยาบาล เฟิร์นจะร้องไห้ราวกับจะขาดใจเพราะเหลือกันแค่สองคนแม่ลูก เขาเองก็ทนไม่ได้ที่เห็นอดีตคนรักต้องทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไรกันแน่ มันเป็นความรัก หรือเป็นแค่ความห่วงใยตามประสาคนที่ผูกพันกันมานาน
ในเมื่อเขาเริ่มสับสนกับความรู้สึกของตนเอง เขาจึงไม่กล้าพูดจาส่งเดชต่อหน้าภัทรมัยว่าเขารักเธอ
เขาเครียดกับเรื่องนี้มากจนนอนไม่หลับ ถึงกับต้องไปพบจิตแพทย์จนได้ยาที่ช่วยให้หลับดีขึ้นมากิน มิเช่นนั้นเขาคงไม่สามารถคิด หรือสร้างสรรค์ผลงานออกมาส่งให้บริษัทได้
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ เฟิร์นว่าถ้าเรากลับมาคบกันอีกครั้งมันก็สามารถทำได้ แต่เฟิร์นก็เชื่ออีกนั่นแหละว่าถ้าเรากลับมาคบกันจริง ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรอกเดี๋ยวก็เลิกกัน เพราะเราสองคนมันเลยจุดที่เรียกว่าแฟนมาแล้ว จนไม่สามารถย้อนกลับไปใช้คำนั้นได้อีก”
“เราก็ว่างั้น” เขาเห็นด้วย เฟิร์นไม่ใช่ทั้งเพื่อน และไม่ใช่คนรัก แต่เป็นคนสำคัญคนหนึ่งในชีวิตของเขารองจากบิดามารดา และน้องสาว
“เอาเป็นว่าถ้าแม่ โทร.ไป เวฟก็หาข้ออ้างอะไรก็ได้ว่าไม่ว่างไปเยี่ยม บอกว่าติดงานหรือไปต่างจังหวัดก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่จะพูดเลย ไม่งั้นพอเวฟมาเดี๋ยวแม่เฟิร์นก็เยอะกับเวฟอีก เฟิร์นเห็นแล้วอดฉอดไม่ได้”
“อืม ได้” เขาตอบกลั้วหัวเราะก่อนจะกดวางสาย
วันนี้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไปหาภัทรมัยที่คอนโดฯ ของเธอ เมื่อคืนหญิงสาวเล่นเขาไว้แสบสันไม่น้อย คงต้องเอาเงินทอนไปคืนให้เสียหน่อยแล้ว
ชยาวุธมองสบสายตาคู่นั้นอย่างหลงใหลขณะค่อย ๆ เคลื่อนริมฝีปากพรมจูบต่ำลงไปเรื่อย ๆ สองมือแยกขาเรียวสวยออกกว้าง ข้างหนึ่งพาดไว้กับบ่าตน อีกข้างวางไว้กับพื้นเสียงครวญครางดังระงมเมื่อปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้าปัดป่ายจุดอ่อนไหวอย่างเร่งเร้าสลับเชื่องช้า สะโพกกลมกลึงบิดส่ายรับการปรนเปรออันแสนร้อนเร่า ปากครางเรียกชื่อเขาไม่หยุด เขาจึงยิ่งเร่งระรัวเพื่อส่งเธอถึงปลายทางโดยไว เพราะเขาเองก็ปวดหนึบจนแทบระเบิดแล้วเมื่อร่างเย้ายวนเกร็งกระตุกพร้อมเสียงครางดังขึ้นกว่าเดิม อันเป็นภาษากายบ่งบอกว่าหญิงสาวถึงปลายทางแล้ว หากแต่ชายหนุ่มกลับยังคงก้มหน้าปรนเปรอไม่หยุด สองมือคลึงเคล้นทรวงสล้าง ปลายนิ้วสะกิดยอดอกอย่างหยอกเย้า ขณะที่ร่างอรชรได้แต่นอนหอบหายใจถี่จากความสุขสมที่ถาโถมเมื่อครู่ชายหนุ่มบรรจงจูบต้นขาด้านในทั้งสองข้างก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนตัวขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับหญิงสาว เขายิ้มมุมปาก แววตารุ่มร้อนจนคนมองใจสั่นระรัว“ตรงนี้หรือในห้อง” เขาถามเสียงพร่า ขณะที่ท่อนล่างเริ่มบดเบียดสอดแทรกเข้าสู่ช่องทางฉ่ำชื้น“เอาเข้ามาแล้วยังจะถามอีกทำไม” เธอตอ
เฟิร์นต้องโทษเขาแน่ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุให้มารดาของตนเองต้องตาย เขาควรยอมรับความผิดกับเธอตามตรงว่า ที่มารดาของเธออาการทรุดลงเป็นเพราะเขาทำให้มันเกิดขึ้นชยาวุธลืมตาขึ้นพลางกด โทร.ออกไปหาอดีตคนรัก รอสายอยู่นานกว่าปลายสายจะกดรับ ยิ่งได้ยินเสียงเจือสะอื้นของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดจนท่วมท้นไปทั้งใจ“ฮัลโหล เฟิร์น...เราขอโทษ”ภัทรมัยอดมองไปทางโต๊ะทำงานของชยาวุธไม่ได้ เขาลางานไปสองวันแล้วโดยแจ้งกับฝ่ายบุคคลว่าลากิจ ต้องไปงานศพญาติ นอกนั้นเธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว เพราะไม่กล้าเปิดปากถามคนอื่นหญิงสาวเข้าเฟซบุ๊กแล้วเปิดกล่องข้อความที่เพิ่งแชตคุยกับเขาเมื่อคืนวันเสาร์ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็ไม่ได้แชตมาหาเธออีกราวกับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไรอย่างนั้น...และจู่ ๆ นิ้วมือของเธอก็พิมพ์ข้อความลงไปโดยไม่รู้ตัว...พี่เวฟเป็นไงบ้าง...ภัทรมัยเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าตนทำอะไรลงไปจึงรีบลบข้อความนั้นออกไปทันที เพราะกลัวว่านิ้วมือจะกดส่งไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็นั่งถอนหายใจอย่างโล่งอก“เฮ้อ...ดีนะที่ยังไม่ได้กดส่งไ
“Chaya Wave งั้นหรือ อะไรกัน อีพี่เวฟมีกี่ไอดีกันเนี่ย มีหลายไอดีไว้จีบสาวรึไง อีตาบ้า!” หญิงสาวกดไอคอน “โกรธ” ให้กับคอมเมนต์นั้น แต่เขากลับกด “หัวใจ” ให้กับสเตตัสของเธอชยาวุธร่างสตอรีบอร์ดเสร็จไปหนึ่งแบบจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นสาย เขามองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าหนึ่งทุ่มแล้วจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนเพื่อดูว่ามีใคร โทร.มาหรือไม่ แต่ปรากฏว่าแบตหมดจึงเสียบสายชาร์จแล้ววางไว้ที่เดิม จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดเพื่อลงไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสของคอนโดมิเนียมชายหนุ่มขึ้นห้องอีกครั้งตอนสองทุ่มกว่า เขารีบอาบน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล เสร็จเรียบร้อยจึงมานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าเฟซบุ๊กที่เขาสมัครไว้อีกชื่อหนึ่งเขายิ้มทันทีเมื่อเห็นว่าภัทรมัยยังไม่บล็อกบัญชีชื่อนี้ของเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงลองทักเธอทางกล่องข้อความChaya Wave : ทำไรอยู่แก้มเขาทักไปแล้วก็รอว่าเธอจะอ่านเลยหรือไม่ รอประมาณห้านาทีหญิงสาวก็ตอบกลับมาGam Phattramai : ถามทำไมChaya Wave : ก็อยากรู้Chaya Wave : เค้ก
มารดาของเฟิร์นยังคงโทรศัพท์หาชยาวุธอย่างไม่ลดละความพยายาม ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดรำคาญด้วยการรับสาย“ครับ คุณแม่”“ตาเวฟ วันนี้ไม่มาหรือลูก”“ผมติดธุระสำคัญครับ ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง” ธุระสำคัญที่เขาพูดถึงคือการตามง้อภัทรมัย“แหม ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะแวะมาหาแม่บ้าง หรือไม่ก็แวะมากินข้าวกับยายเฟิร์นสักมื้อก็ยังดี เป็นแฟนกันมันต้องใส่ใจกันนะลูกนะ ไปทำตัวห่างเหินกันเหมือนตอนนั้นมันไม่ดีหรอก แม่นี่ใจไม่ดีเลย”ชยาวุธลอบถอนหายใจ เขาคิดว่าเรื่องนี้อดีตคนรักน่าจะคุยกับมารดาของตนบ้างแล้ว แต่ท่านคงไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเขาคงต้องเอ่ยปากออกไปด้วยตนเองเสียแล้ว“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้คบกับเฟิร์นแล้ว ความจริงเราเลิกกันตั้งแต่ปีที่แล้วครับคุณแม่”ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจจนเขาคิดว่าสายหลุดไปแล้ว กำลังคิดจะเรียกอีกฝ่าย แต่ทางนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน“อะไรกันพวกเธอนี่ หมายความว่ายังไงที่ว่าเลิกกัน แล้วยายเฟิร์นลูกสาวแม่ล่ะจะทำยังไง”“ผมคุยและตกลงกับเฟิร์นเรี
“เมื่อกี้แก โทร.ไปหาตาเวฟหรือยายเฟิร์น” เสียงของมารดาถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง“เปล่าสักหน่อย เฟิร์นคุยกับเพื่อนที่ทำงาน” เธอเดินไปนั่งบนโซฟายาวสำหรับให้แขกนอนเฝ้าคนป่วย“วันนี้ตาเวฟจะมาเยี่ยมแม่รึเปล่า”“ไม่มามั้ง เห็นบอกว่าติดงานนี่นา ทำไมแม่ต้องให้เวฟมาทุกวันด้วยเนี่ย ไม่เกรงใจเขาหรือไง วันหยุดทั้งทีเขาก็อยากพักผ่อนอยู่ห้องบ้าง”“อีกหน่อยก็ต้องมาเป็นลูกเขยแม่อยู่แล้ว เขาก็ต้องมาคอยดูแลแม่สิ”เฟิร์นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ต้องให้เฟิร์นพูดอีกกี่ครั้งแม่ถึงจะเข้าใจเนี่ย เราเลิกกันแล้ว เฟิร์นไม่ได้เป็นแฟนกับเวฟแล้ว ทุกวันนี้คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม่หยุดทำให้เขาลำบากใจได้ไหม แม่ไม่เห็นหน้าเวฟเวลาแม่พูดเรื่องเก่า ๆ บ้างหรือ ทุกอย่างมันจบไปแล้วแม่ และเวฟก็มีแฟนใหม่ไปแล้วด้วย”“แล้วแกจะยอมหรือยายเฟิร์น ตาเวฟน่ะดีจะตาย คบกับแกมาตั้งสิบกว่าปีไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงมาให้กวนใจแกสักครั้ง แกจะยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน แม
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าภัทรมัยชอบแต่งตัวสวย ๆ ชอบการพบปะผู้คนตามประสาหญิงสาวที่ชอบเข้าสังคมและมีเพื่อนเยอะ จึงบอกกับอีกฝ่ายว่า“ไม่ต้องรีบหรอก แกก็ทำงานของแกไปให้เต็มที่นั่นแหละ อยากลาออกเมื่อไรก็ค่อยว่ากัน แม่ไม่ได้บังคับว่าแกต้องลาออกมาช่วยแม่ทันทีสักหน่อย งานที่ร้านแม่ก็ยังทำไหว”“แม่ก็ไหวตลอด แต่เข้าโรงพยาบาลกี่รอบแล้วแก้มก็ขี้เกียจนับ” ภัทรมัยทำหน้ามุ่ยใส่มารดา“แค่หน้ามืดไปนิดเดียว ทำเป็นเรื่องใหญ่โตกันไปได้ แล้วนี่แม่จะออกจากโรงพยาบาลได้รึยัง”“หมอให้นอนดูอาการก่อนนะแม่ พรุ่งนี้ค่อยออก” เธอรีบบอกท่าน และเป็นตามคาด ท่านแย้งขึ้นทันที“พรุ่งนี้! ได้ยังไงกัน แล้วที่ร้านใครจะดู”“น้าแววไง ให้น้าแววดูให้ก่อน ยังไงพรุ่งนี้เราก็ปิดร้านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แก้มว่าแม่น่าจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่ไปเลยนะ เปิดร้านแล้วค่อยลุยใหม่...เถอะนะแม่ พักผ่อนเถอะ”“ปรับเตียงขึ้นมาให้แม่หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น ภัทรมัยจึงกดปุ่มปรับเตียงเพื่อให้ท่านน