จวนตระกูลจ้าว
จ้าวซือเค่อกำลังยืนกอดอกหน้าบึ้งอยู่นอกประตูจวน เมื่อน้องห้าคนงามขออนุญาตออกไปซื้อข้าวของเครื่องใช้กับเฉียนจินเอ๋อในย่านร้านค้าของเมืองหลวง เพื่อเลือกซื้อผ้าและเส้นไหมนำมาตัดเย็บเป็นชุดของเด็กและผ้าอ้อม
เนื่องจากเฉียนจินเอ๋อกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่ห้าแล้วนั่นเอง และอีกไม่นานก็จะไม่สามารถออกจากจวนสกุลสวี่มาหาอิงอิงเพื่อนสนิทของนางดั่งเช่นทุกวันได้อีกต่อไป เพราะครรภ์จะเริ่มใหญ่ขึ้นไม่สะดวกที่จะเดินทางไปไหนหรือออกจากจวน ในเวลานี้มี่อิงได้ย้ายมาพำนักอยู่ในจวนตระกูลจ้าว ซึ่งเป็นความประสงค์ของนาง ด้วยอยากใกล้ชิดบิดาผู้ให้กำเนิดอย่างแท้จริงและพี่ชายทั้งสี่ รวมไปถึงพี่สะใภ้และหลานสาวหลานชายรวมแล้วนับสิบคนเลยทีเดียว ซึ่งการกลับคืนสู่ฐานะทางสังคมอันมีตัวตนที่เป็นชาติกำเนิดอันแท้จริงของนาง จึงทำให้มี่อิงไม่ได้อยู่ร่วมกับจางเย่วฉินแม่ทัพรูปงามแห่งต้าถังอีกต่อไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอมและขุ่นเคืองใจเป็นที่สุดเมื่อต้องอยู่ห่างนางมารน้อยซึ่งเป็นคนรักของเขา แต่ด้วยเคยลั่นวาจาออกไปแล้ว ว่าเมื่อใดที่มี่อิงฟื้นจากการหลับใหลจะให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ ว่าจะอภายในห้องรับรอง“เป็นความจริงหรือนี่!”พระสุระเสียงรับสั่งออกมาทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดออกจากปากขุนพลคู่บัลลังก์ เฮ้อ! เสียงทอดถอนหทัยดังออกมาอย่างแรง “ข้าล่วงรู้ดีว่าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเสด็จพ่อที่ตั้งพระทัยจะทรงมอบราชบัลลังก์นี้ให้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ครองราชย์มาห้าปี ทั้งสงครามกับชนเผ่านอกด่านและกองกำลังต่อต้านล้มล้างต้าถังเพื่อกอบกู้ต้าสุยก็ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ครั้งนี้มุ่งหมายปลิดชีวิตของข้า! แสดงว่าพรรคมารโลหิตแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านต้าถังกอบกู้แผ่นดินต้าสุย อาศัยชื่อเสียงในยุทธภพบังหน้าไม่ให้ล่วงรู้ตัวตนอันแท้จริง”ถังเกาจงฮ่องเต้รับสั่งออกมา ถ้อยรับสั่งขององค์จักรพรรดิที่เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดต่อพรรคมารโลหิตทั้งหมด ทำให้หลัวอี้หลางซึ่งเป็นสายเลือดของพรรคมารโลหิตโดยแท้จริงไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป “ขอฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตกระหม่อมได้มีโอกาสกราบทูลบางอย่างให้ทรงทราบในเรื่องที่พระองค์กำลังเข้าพระทัยเกี่ยวกับพรรคมารโลหิตนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”หลัวอี้หลางตัดสินใจกราบทูลกลับไป และนั่นทำให้ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงท
ครั้นจางเย่วฉินเดินนำหน้าจนมาถึงบริเวณอันสถานที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์จักรพรรดิซึ่งทางวัดจัดรับรองให้แก่ถังเกาจงและผู้ติดตามเสด็จได้พักผ่อนเป็นการชั่วคราว ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพทั้งสองหยุดลงพร้อมเสียงของจางเย่วฉินบอกอีกฝ่ายออกมาเบาๆ ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น “เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดอย่างยิ่งยวด เพราะฉะนั้นจะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด” ทันทีที่หลัวอี้หลางได้ยินเช่นนั้นก็ล่วงรู้โดยพลันว่าจะต้องทำเช่นไรต่อไป แม่ทัพแห่งซุยโจวเอียงหูของเขา พร้อมฟังเรื่องราวทุกอย่างเริ่มพรั่งพรูออกจากปากของจางเย่วฉินซึ่งได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ จากกัวเหยียนไฉที่นำความมาบอกและจบลงพร้อมคำถามจากแม่ทัพซุยโจว “แล้วท่านแม่ทัพคิดเห็นอย่างไรหากธิดาของเสนาบดีจ้าวแท้จริงแล้วคือมารโลหิต! และยังเป็นนางมารร้ายในตำนานโบราณเลยเชียวนะ”หลัวอี้หลางตั้งใจถามประโยคดังกล่าวออกไปเพื่อทดสอบจางเย่วฉิน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ว่าคนรักของเขาจะเป็นอย่างไร ล้วนรับได้จนหมดสิ้นและจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาทางช่วยนางให้หลุดพ้นและปลอดภัยจากทุกสิ่ง “ถามข้าเช่นนี้ทำไมอี้หลาง แล้วจะได้ประโยชน์อะไรจากคำตอบของ
ในเวลาต่อมาร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะของผู้บัญชาการทัพแห่งต้าถัง ซึ่งทำหน้าที่ถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่ขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ผู้ติดตามอีกนับหลายสิบชีวิต ควบม้าห้อตะบึงออกจากวัดกานเย่ไปเพียงลำพัง โดยอาศัยเส้นทางการเดินทางจากหลังวัดซึ่งเป็นชายป่ามุ่งหน้ากลับเมืองหลวงไปอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ขบวนเสด็จเพิ่งเคลื่อนออกจากวัดกานเย่ไปยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ปล่อยให้ผู้อื่นทำหน้าที่ถวายอารักขาแทนโดยปราศจากจางเย่วฉินร่วมขบวนในครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของสองแม่ทัพที่รู้เท่าทันแผนลวงดังกล่าว ทันทีที่ร่างใหญ่ในชุดเกราะของผู้บัญชาการทัพควบม้ากลับเมืองหลวงโดยอาศัยเส้นทางหลังวัด ผ่านสายตาของกลุ่มคนที่แอบปลอมตนจากบุรุษให้อยู่ในคราบของนางชี คอยสอดส่องหาข่าวเพื่อส่งสัญญาณเริ่มลงมือปลงพระชนม์ถังเกาจงฮ่องเต้ทันที ตามแผนที่ได้วางเอาไว้เมื่อไม่มีจางเย่วฉินคอยปกป้องและคุ้มครอง ทว่าพวกมันช่างขลาดเขลายิ่งนักไม่ล่วงรู้เลยว่าร่างใหญ่ที่ควบม้าห้อตะบึงโดยใช้เส้นทางหลังวัดเพื่อเดินทางกลับฉางอานแท้จริงแล้วคือหลัวอี้หลางปลอมตนสวมชุดเกราะเป็นจางเย่วฉินแทนแม่ทัพผู้กล้า
บริเวณลานกว้างหน้าวัดกานเย่กองทหารราชองครักษ์กว่าหนึ่งพันชีวิต ภายใต้การนำของจางเย่วฉิน ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ตั้งกองทหารถวายอารักขารายล้อมอยู่ด้านหน้าของวัดดังกล่าว โดยมีหน่วยพยัคฆ์ขาวซึ่งหลัวอี้หลางเป็นผู้บัญชาการหน่วยควบคุมอยู่ ทั้งสองแม่ทัพผู้กล้า ต่างจัดกองกำลังทหารที่อยู่ในสังกัดเฝ้าถวายอารักขาองค์จักรพรรดิ โดยในวันนี้ฝ่ายในต่างตามเสด็จมากันอย่างพร้อมเพรียง ตลอดรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ระดับสูงอีกหลายพระองค์ และขุนนางระดับอัครเสนาบดีและเสนาบดีใหญ่ๆ ตามเสด็จในพิธีบวงสรวงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน และพิธีดังกล่าวในช่วงเช้าผ่านพ้นไปได้ด้วยดีและกำลังอยู่ในระหว่างเตรียมความพร้อมเดินทางเสด็จกลับพระราชวังต้าหมิง ในขณะที่แม่ทัพทั้งสองต่างนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยกันทั้งคู่ สายตาเห็นผู้ที่อยู่บนหลังม้าก็จดจำได้เป็นอย่างดีว่าคือกัวเหยียนไฉกำลังควบม้าห้อตะบึงตรงมาหาอย่างรีบเร่งเป้าหมายคือแม่ทัพของตนเพื่อแจ้งข่าวสำคัญอย่างสุดฝีเท้าม้า “นั่นคือกัวเหยียนไฉคนสนิทของท่านไม่ใช่เหรอแม่ทัพจาง ควบม้าเร็วห้อตะบึงมาอย่างรีบเร่งเช่นนั้นดูท่าจะต้องมีเรื่องเร่งด่วนเสียแล้วกระมัง”หล
จวนตระกูลจ้าวในขณะเดียวกันในยามนี้จวนตระกูลจ้าวตรงบริเวณลานกว้างเต็มไปด้วยของหมั้นพระราชทานที่ถังเกาจงฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้เป็นของหมั้นหมายแก่จางเย่วฉินเพื่อมอบให้กับคู่สมรสที่จะเข้าพิธีในอีกสิบวันข้างหน้า ข้าวของเลอค่ามีจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังมีของหมั้นจากแม่ทัพผู้กล้าซึ่งเลือกหาและเตรียมมอบให้เจ้าสาวของเขาด้วยตัวเองนำมาส่งให้ที่จวนตระกูลจ้าวเช่นเดียวกัน จนของหมั้นดังกล่าวมากมายละลานตายังไม่รวมที่กำลังทยอยขนลงจากรถม้าซึ่งต่อแถวยาวเหยียดอยู่ในขณะนี้ จ้าวซือเค่อซึ่งยืนออกมาต้อนรับแทนบิดา จ้าวฟ่านกั๋วเป็นหนึ่งในขุนนางชั้นสูงตามเสด็จถังเกาจงฮ่องเต้รวมไปถึงฝ่ายในและเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงอีกหลายพระองค์ เดินทางไปยังวัดกานเย่เพื่อทำพิธีบวงสรวงอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาในแผ่นดินก่อน เพื่อแสดงความกตัญญูของพระองค์ที่มีต่อพระบิดาและพระมารดา เจ้ากรมอาญายืนมองของหมั้นพระราชทานและจากจางเย่วฉินที่มากมายจนละลานตาไปหมด ครั้นยังเห็นข้าวของต่างๆ ทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสายและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จ้าวซือเค่ออดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ยังไม่หมดอีกเหรอ”เสียงดังกล่าวถามกลับ
3 เดือนผ่านไปนครฉางอานในเวลานี้อากาศอบอุ่นเริ่มแผ่เข้าปกคลุมโดยรอบ ความเย็นยะเยือกผ่านพ้นไปด้วยฤดูหนาวได้สิ้นสุดลงแล้ว ท้องฟ้าสีครามแจ่มชัด ฤดูใบไม้ผลิก้าวเข้ามาแทนที่ เทือกเขาสูงเต็มไปด้วยสีเขียวขจีไร้สิ้นหิมะขาวโพลนบดบัง ดอกไม้ในฤดูกาลนี้เริ่มออกดอกแข่งกันเบ่งบานไปทั่ว นำความงดงามและมีชีวิตชีวามาสู่นครฉางอานกันอย่างถ้วนหน้า ในขณะเดียวกันจวนดอกเหมยอันเป็นสถานที่พำนักของพระธิดาคนงามแห่งไต้อ๋อง นางยังคงอยู่ในจวนนี้อย่างไม่มีกำหนด แม้ว่าไต้อ๋องจะเสด็จมาประทับที่จวนดอกเหมยอยู่หลายคราเพื่อเยี่ยมพระธิดาคนงามหวังให้นางกลับไปพำนักอยู่ที่จวนของพระองค์เช่นเดียวกัน แต่จนแล้วจนรอดนางก็ยังคงยืนกรานที่จะพำนักอยู่ที่นี่ อ้างว่าไม่อยากเห็นงานสมรสพระราชทานของจางเย่วฉินและธิดาตระกูลจ้าวที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้า ข้ออ้างของนางฟังขึ้นและไต้อ๋องทรงไม่ทัดทานแต่ประการใด จึงปล่อยให้พระธิดาคนงามพำนักอยู่ที่จวนดอกเหมยต่อไปจนกว่านางจะสบายใจและพร้อมกลับเข้าไปอยู่ในนครฉางอานตามเดิม โดยหารู้ไม่ว่าเสี้ยนจูคนงามมีแผนชั่วร้ายอยู่ภายในจิตใจ สิ่งใดเล่าดลใจทำให้นางคิดแต่เ