เฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ตรงหน้าแผนที่นั้นเอ่ยวาจาฉะฉาน เซียวอวี้ที่อยู่ด้านข้างก็ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ พลางพยักหน้าบ่อยครั้ง ท้ายสุด เขากล่าวสรุป “เราเสียเวลาหารือกับขุนนางเหล่านั้นโดยเปล่าประโยชน์อยู่นาน คราวหน้าจะหารือกับเจ้าโดยตรงดีกว่า” เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่กล้ายึดเอาความดีความชอบ จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “การได้ร่วมพลังก็ได้ร่วมความคิดเพคะ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา หม่อมฉันก็คิดเรื่องนี้ไม่ออกเช่นกัน” สายตาของเซียวอวี้พลันจริงจัง และถามนางอีกครั้ง “เดินทางไปกับเราไม่ได้จริงหรือ” สัญญาระบุเวลาเพียงหนึ่งปี การเดินทางไปชายแดนใต้ของเขาครานี้ ต้องใช้เวลาเจรจาอย่างน้อยสองหรือสามเดือน เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือออกมา “หม่อมฉันต้องอยู่ เพื่อทำหน้าที่ของฮองเฮาเพคะ” “จนถึงยามนี้ เจ้ายังแสร้งทำเป็นไม่รู้อีกหรือ ความตั้งใจเดิมที่เราเขียนสัญญาฉบับนั้น คือการใช้เวลาอยู่กับเจ้าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ” เซียวอวี้เริ่มกดดัน เฟิ่งจิ่วเหยียน : ก็เป็นเพราะว่ารู้ จึงไม่อยากเดินทางไปสนามรบกับท่าน สีหน้าของนางยังอ่อนน้อม “ฝ่าบาทเพคะ เรื่องสำคัญต้องมาก่อน หม่อมฉันยั
ในความฝันของเหลียนซวง มีเสียงกรีดร้องเต็มโสต และภาพที่เห็นตรงหน้า ล้วนเป็นเหตุการณ์โหดร้ายทารุณ คนมากมายเสียชีวิตต่อหน้าของนาง นางหวาดกลัวยิ่งนัก... ฉับพลันนั้น ดูเหมือนนางจะไขว่คว้าความหวังสุดท้ายไว้ได้อย่างแน่นหนา นางพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างเจ็บปวดด้วยเสียงเรียก “เหลียงซวง” ที่เด็ดขาดอย่างต่อเนื่อง เสมือนคนจมน้ำที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด นางโผเข้าไปหลบในอ้อมแขนที่ปลอดภัยโดยสัญชาตญาณ “เลือด! เลือดเยอะมาก...” เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ยอมให้เหลียนซวงกอดเอวของตนเอง พลางวางมือไว้บนแผ่นหลังของเหลียนซวง และตบเบา ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่เป็นไรแล้ว” เหลียนซวงตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่นี้ราวกับว่านางตกไปอยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้น ทำให้หัวใจนางตื่นตระหนก หมอชราที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้น ก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ “แม่นางคนนี้ถูกกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อย ในการทำให้จดจำทุกอย่างได้ในคราวเดียว” เฟิ่งจิ่วเหยียนคุกเข่าลง และมองเหลียนซวงในระดับสายตาเดียวกัน “ฟังข้า หากเจ้ากลัว พวกเราก็กลับไปก่อน เจ้าไม่จำเป็น
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บันทึกคดีของตระกูลเฉินนั้นระบุไว้ว่า ราชครูเฉินกินยาพิษฆ่าตัวตาย เพื่อหนีความผิด “ทว่าตามความทรงจำของเหลียนซวง ราชครูเฉินถูกคนสังหารเพคะ” หว่างคิ้วของเซียวอวี้สะท้อนความมืดครึ้ม “เป็นเรื่องจริงหรือ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “ไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าพูดว่า ตระกูลเฉินนั้นบริสุทธิ์หรือไม่ ทว่าจะต้องมีมือลึกลับคอยบงการอยู่เป็นแน่เพคะ” ดวงตาของเซียวอวี้พลันมืดครึ้ม “เจ้าเอ่ยได้มีเหตุผล ทว่าคดีนี้พัวพันในวงกว้าง และยังผ่านไปหลายปีมากแล้ว หากต้องการสืบหาคนร้ายตัวจริงนั้น ก็ยากพอ ๆ กับการปีนขึ้นสวรรค์” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “การสอบสวนเป็นเรื่องของทางการ สิ่งที่หม่อมฉันต้องการจะทำ คือตามหาเจ้าของแหวนน้าววงนี้เพคะ” หากนางต้องทำเองทุกอย่าง แล้วคนอื่นจะมีอันใดต้องทำ เซียวอวี้ตระหนักได้ดี “เราเข้าใจแล้ว” หากสามารถทำได้ ขั้นแรกต้องสืบหาฆาตกรตัวจริงที่สังหารเฉินเป่าซาน หลังจากนั้นจึงจะสามารถชี้แจงความจริง คืนความเป็นธรรม และตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิดได้
เซียวอวี้กรีธาทัพเป็นเวลายี่สิบวัน ก็ไปถึงชายแดนใต้ เหล่าทหารประจำชายแดนใต้จัดขบวนแถว เพื่อรับเสด็จ เซียวอวี้ไม่ได้หยุดพักสักอึดใจเดียว ยังคงนำทัพมุ่งหน้าไปยังชายแดนระหว่างสองแคว้น เพื่อประเมินสภาพการรบ จนกระทั่งอาทิตย์ลับฟ้า เขาเพิ่งกลับมาถึงกระโจม ยามนี้เขาเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ยิ่งได้เห็นถุงหอมที่ห้อยเอวของเฉินจี๋ จิตใจพลันหม่นหมองยิ่งขึ้น ทว่าเมื่อไตร่ตรองแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไม่พอใจ ฮองเฮาไม่มีเขาอยู่ในใจ ย่อมมิได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของเขา และยิ่งไม่มีทางลงมือเย็บปักถุงหอมให้เขาด้วยตนเอง “ฝ่าบาท มีคนมาขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวอวี้ขมวดคิ้ว มืดค่ำเช่นนี้แล้ว จะเป็นใครได้อีก? ชั่ววูบหนึ่งนั้น เขาคิดแม้กระทั่งว่า ฮองเฮาได้ลอบติดตามมาด้วย ทันใดนั้นเขาทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ และยังนึกดูแคลนตนเองอีกด้วย ยามสงครามอย่าได้คิดฟุ้งซ่าน และเสียสมาธิ ย้อนกลับไปในปีนั้นเขาได้นำทัพด้วยตนเอง เขาไม่เคยคิดฟุ้งซ่าน จนสั่นคลอนจิตวิญญาณนักรบดังเช่นตอนนี้ จำเป็นต้องรีบระงับความคิดที่ทำให้ว้าวุ่นใจเหล่านั้นเสีย
หลังจากวันนั้น ตำหนักหย่งเหอมักจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน บรรดานางสนมมารวมตัวกันที่นี่ เพื่อเย็บปักพื้นหลังของรองเท้า และเริ่มทำเสื้อนวมสำหรับฤดูหนาวให้เหล่าทหารชายแดน “ฮองเฮาเพคะ พวกเราทำเช่นนี้ จักถือเป็นการสร้างผลงานด้วยหรือไม่เพคะ?” นางสนมเจียเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เฟิ่งจิ่วเหยียนกดคางลงเล็กน้อย “แน่นอน” บางคนถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เล็ก การให้พวกนางเย็บพื้นหลังของรองเท้าที่ใช้งานได้จริงเหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก ทว่าพวกนางเต็มใจเรียนรู้ และไม่เกี่ยงงานเลย มู่หรงฉานก็อยู่ในหมู่ผู้คนเช่นกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนเป็นความจริง ที่ออกมาจากใจจริง ทันใดนั้นนางพลันตระหนักได้ ในอดีต นางคิดว่าสามารถดึงเหล่าสนมมาเป็นพวกได้ด้วยผลประโยชน์ทุกชนิด ความจริงแล้ว รอยยิ้มที่พวกนางมอบให้ตนเองในยามนั้น มิได้จริงใจเฉกเช่นในวันนี้เลย นางไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่นฉันใด อีกฝ่ายก็ไม่จริงใจด้วยฉันนั้น เช่นเดียวกับไทฮองไทเฮา นางเคยคิดว่า ไทฮองไทเฮารักหลานสาวเช่นนางด้วยใจจริง เสมือนกับที่รักญาติผู้พี่หญิงเมื่อในอดีต ทว่
เซียวอวี้วางถ้วยชาลง ดูเหมือนมีจิตใจสบายดังก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ แต่ก็แฝงไปด้วยความคิดอันล้ำลึก มีความมั่นใจเต็มอก “มิใช่เรา แต่เป็นท่าน “อ๋องแห่งหนานเจียงมีความคิดล้ำเลิศ ถึงแม้จะเป็นชนเผ่าเล็ก ๆ ทว่ามีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับเป่ยเยี่ยน ด้วยวิธีที่ท่านหลอกให้กองทัพใหญ่เป่ยเยี่ยนช่วยท่านโจมตีหนานฉีก่อน แท้จริงแล้วกำลังแอบแสดงไมตรีต่อหนานฉีของเรา ดังนั้นหนานฉีจะมอบปืนหอกไฟหนึ่งร้อยกระบอก เพื่อช่วยเหลือหนานเจียงของท่าน ในการทำลายล้างกองทัพเยี่ยนทั้งห้าหมื่นนาย “จากนี้ไป หนานเจียงจะมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า ถึงอย่างไร ยังไม่มีผู้ใดกล้าเล่นงานเป่ยเยี่ยนอยู่หมัดได้ อ๋องแห่งหนานเจียง ท่านเป็นผู้กล้าคนแรกของใต้หล้านี้” ถ้อยคำของเขาพูดอยู่นั้น ผิดแผกกับสถานการณ์จริงโดยสิ้นเชิง ทว่า อ๋องแห่งหนานเจียงฟังออก นี่คือการแสดงที่อีกฝ่ายจัดเตรียมให้เขา การแสดงนี้อาจทำให้หนานเจียงเอาชนะเป่ยเยี่ยนได้อย่างงดงาม และทำให้ทั่วหล้ามองมาอย่างประทับใจ! ในอนาคต แว่นแคว้นใดคิดโจมตีพวกเขา คงจะต้องชั่งน้ำหนักถึงผลได้ผลเสียให้ดีก่อน... ทว่า แผนการนี้ก็มีผลลัพธ์ที่อาจจะประเมิน
อู๋ไป๋กล่าวรายงานเบาะแสที่สืบพบ อย่างฉะฉาน “เมื่อแรกเริ่มก่อตั้งพรรคเทียนหลง ก็ได้รับหยกล้ำค่ามาหนึ่งชุด ขุนพลอาวุโสทั้งหลายของพรรคจึงใช้หยกนั้นทำเป็นแหวนน้าว และฝังด้วยอัญมณีหลากสีสัน “คนเหล่านั้นเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของพรรคเทียนหลง มิเคยเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงให้ผู้อื่นเห็น และไม่ค่อยปรากฏตัว ดังนั้น มีเพียงข่าวลือในยุทธภพ กลับไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นพวกเขาจริง ๆ “แหวนน้าวนี้ จึงใช้เวลาสืบสอบนานมาก กว่าจะได้พบเบาะแสพ่ะย่ะค่ะ” แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เป็นคนของพรรคเทียนหลง พวกเขาไม่ได้ถูกสังหารทั้งหมด ในการศึกครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนหรือ นางสงสัยว่า ที่ชายแดนเหนือปีนั้น คนที่พวกเขาต้องการสังหารคือแม่ทัพน้อยเมิ่ง หรือซูฮ่วน? ซูฮ่วนและพรรคเทียนหลงมีความบาดหมางต่อกัน ส่วนแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่มี... เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้อู๋ไป๋ส่งข้อความ แจ้งทุกคนในพันธมิตรอู่หลินคอยระแวดระวัง บางที พรรคเทียนหลงอาจกำลังลอบวางแผนฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ หลังกลับถึงพระราชวังแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนเขียนอธิบายเรื่องนี
รุ่ยอ๋องยืนอยู่ต่อหน้าขุนนางทั้งหมด และเผชิญหน้ากับพวกเขา ด้วยคำถามเดิม “มีผู้ใดอยากเป็นเจ้าหน้าที่กำกับการขนส่งเสบียงหรือไม่” โดยปกติเขามักจะอ่อนโยนสง่างามดุจหยกล้ำค่า พูดคุยเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ทว่าหลายวันนี้ เขาค่อนข้างกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทเผชิญปัญหาอยู่ที่ชายแดนใต้ กลับไม่มีผู้ใดใช้งานได้เลย หากเขาไม่ต้องคอยบริหารบ้านเมืองอยู่ที่เมืองหลวง ก็จะออกสู่สนามรบด้วยตนเองแล้ว! “ท่านอ๋อง เจ้าหน้าที่กำกับการขนส่งเสบียงเสียชีวิตหลายราย ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนที่สุด คือกำจัดพวกโจรที่ปล้นเสบียงอาหาร มิฉะนั้นพวกเราส่งไปอีกชุด ก็ถูกปล้นอีกชุด ไม่มีความหมายพ่ะย่ะค่ะ!” รุ่ยอ๋องย่อมทราบหลักการนี้โดยธรรมชาติ เขาได้ส่งกองกำลังออกไปปราบปรามแล้ว ทว่าจนถึงยามนี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวที่เชื่อถือได้เลย อย่างไรก็ตามไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว ในสงครามนั้นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตอนนี้เสบียงที่ส่งไปยังชายแดนใต้เกิดความล่าช้า และยิ่งล่าช้ามากเท่าไร ฝ่าบาทกับทหาร ก็จะเผชิญกับอันตรายมากขึ้นเท่านั้น “แม่ทัพซ่ง...” รุ่ยอ๋องเรียกชื่อด้วยตนเอง แม่ทัพซ่งก้
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้