เซียวอวี้ดูเหมือนเพิ่งตื่นจากการหลับใหล อาภรณ์ของเขาบิดเบี้ยว และหลวมโพรก ผมเผ้ากระจัดกระจายไร้ระเบียบ ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นพราวด้วยเสน่ห์ระคนอ่อนแอ ริมฝีปากได้รูปของเขาก็ซีดเซียว คล้ายว่าเจ็บป่วยร้ายแรง ยากที่จะรอดชีวิต หลิวซื่อเหลียงที่อยู่ข้าง ๆ ก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าเอ่ยโน้มน้าวแต่อย่างใด แตกต่างจากเฉินจี๋ที่สงบนิ่ง ยังคงยื่นส่งลูกธนูให้กับฝ่าบาท เซียวอวี้จ้องมองคนที่อยู่ในระยะไกลอย่างไม่เผยอารมณ์ วางลูกธนูไว้บนสายอีกครั้ง และเล็งเป้าไปที่นาง... “ฝ่าบาท อย่านะเพคะ!” นางสนมทั้งหมดรีบเข้ามาสร้างกำแพงมนุษย์ขึ้น ต้องการที่จะขวางลูกธนูนั้น หนิงเฟยกลัวตาย ครั้นไม่รอให้นางได้เลือก ก็ถูกคนสองคนที่อยู่ข้างซ้ายและขวาจับเอาไว้ นางรู้สึกโมโหเล็กน้อย ทว่านางรู้สึกโกรธฝ่าบาทยิ่งกว่า “ฝ่าบาทพคะ! ท่านมิอาจทำร้ายเฟิ่งเวยเฉียงได้!” หนิงเฟยตะโกน ด้วยกลัวว่าฝ่าบาทจะยิงพวกนางตายเช่นกัน มู่หรงฉานไม่พูดจาอย่างนุ่มนวลเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางตะโกนอย่างเปี่ยมความชอบธรรม “วิญญูชนรับปากหนึ่งครั้งมีค่าดุจทองพันตําลึง! ฝ่าบาทได้มีพระราชโอง
ฮูหยินเฟิ่งทั้งประหลาดใจและไร้หนทาง ราวกับเด็กคนหนึ่งที่กระทำความผิด “เจ้า...เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? จะไม่กลับบ้านหรือ? แล้วเจ้าจะไปที่ใด?” นายท่านเฟิ่งเกิดอาการโทสะปะทุฉับพลัน จนกระโดดตัวโยน “ยังจะไปที่ใดได้อีกเล่า! นางอยากกลับไปที่...” เมื่อตระหนักได้ว่ามีคนอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงกลืนคำว่า “ตระกูลเมิ่ง” ลงคอ ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งสงบ “ฟ้าดินกว้างใหญ่ มีบ้านอยู่ทุกหัวระแหง พวกท่านแค่คิดว่าไม่มีข้าเป็นลูกสาว เฉกเช่นเมื่อในอดีตก็พอ” หลังเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางก็เดินจากไปทันที ฝีเท้าเรียบเรื่อย และเด็ดขาด เบื้องหลังคือเสียงดุด่ากราดเกรี้ยวของนายท่านเฟิ่ง และเสียงร้องไห้ของฮูหยินเฟิ่ง “ลูกเนรคุณ! เจ้ามันลูกเนรคุณ! ดี! เจ้าอยากตายในทุ่งหญ้ารกร้างก็เชิญ!” “นายท่าน หยุดพูดได้แล้ว!” “ข้าจะต้องพูด! ละทิ้งแว่นแคว้นไว้เบื้องหลังได้อย่างไร นาง...นางคิดแต่จะท่องไปทั่วยุทธภพ! ข้าควรจับนางกดน้ำให้ตายเสียตั้งแต่แรก! ข้า...” นายท่านเฟิ่งโรคหัวใจกำเริบอีกแล้ว “นายท่าน! นายท่าน!” ฮูหยินเฟิ่งหยิบยาออกมาทันที และป้อนใส่ปากของเขา
เซียวอวี้ยืนอยู่หน้าประตูไม้การบูร มิได้ก้าวเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ราวกับว่า ตราบใดที่ไม่ผลักเปิดประตูนั้น เขาก็ยังสามารถหลอกตัวเองได้——ฮองเฮายังอยู่ข้างใน ครั้นได้ยินเหลียนซวงทำความเคารพ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นางก็ทิ้งเจ้าไว้เช่นกันรึ” เหลียนซวงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา ซึ่งดูเหมือนอ่อนแอยิ่งนัก ด่านของความรักช่างผ่านไปยากจริง ๆ เซียวอวี้อยู่ในตำหนักหย่งเหอตลอดทั้งวัน หนังสือฎีกาก็กองพะเนินอยู่ในห้องทรงพระอักษรแบบนั้น เมื่อหรงเฟยได้ทราบเรื่อง ก็มาเกลี้ยกล่อมถึงตำหนักหย่งเหอด้วยตนเอง ครั้นเห็น ฮ่องเต้เพียงยืนอยู่ริมหน้าต่าง และมองดูต้นไม้ในลานกว้าง ผ่านหน้าต่างบานนั้น โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ ได้ทราบจากปากข้าหลวงว่า เขายืนอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งวันแล้ว ในเวลานี้ตะวันคล้อยลับฟ้า ถึงเวลาสำรับเย็นแล้ว เขากลับไม่ยอมให้ผู้ใดมารบกวน ณ ประตูตำหนัก เหลียนซวงเห็นหรงเฟยเดินเข้ามา ก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก มาพอดีเวลา ได้โปรดรีบพาฝ่าบาทเสด็จออกไปเร็ว ๆ เถิด นี่มันน่าหวาดผวาเกินไปแล้ว หรงเฟยเดินไปหยุดอยู่ข้าง
สิบวันให้หลัง ณ ชายแดนแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับไปมองด้วยความเหงาครู่หนึ่ง ซึ่งตกอยู่ในสายตาของอู๋ไป๋ เขาจึงอดพูดไม่ได้ “แม่ทัพน้อย ถ้าหันกลับไปตอนนี้ ก็ยังไม่สายเกินนะขอรับ” เขารู้ชัดเจน แม่ทัพน้อยมิใช่คนเย็นชาไร้น้ำใจ ตรงกันข้ามคือให้ความสำคัญกับมิตรภาพเป็นพิเศษ หากมีบ้านให้กลับไป เหตุใดจะต้องแยกย้ายไปสุดฟ้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความลำบากใจของแม่ทัพน้อย เหมือนกับที่เขารู้ ในมุมหนึ่ง จากคำพูดของคนชุดคลุมดำ บัดนี้แม่ทัพน้อยตกเป็นเป้าหมายของสมาชิกพรรคเทียนหลง ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นรู้จักโฉมหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากของแม่ทัพน้อย ตั้งแต่เมื่อใด และยังรู้ด้วยว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันเคยเป็น “เมิ่งสิงโจว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเบาะแสที่สืบได้ล่าสุด พรรคเทียนหลงแอบฟื้นคืนความรุ่งโรจน์มานานแล้ว อีกทั้งประมุขพรรคของพวกเขา จะออกจากที่ซ่อนในเร็ววันนี้ ในอีกด้านหนึ่ง “เมิ่งสิงโจว” กลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขา กอปรกับตัวตนของซูฮ่วน——เป็นหนึ่งในผู้นำที่กวาดล้างพรรคเทียนหลงในปีนั้น เกรงว่าพรรคเทียนหลงจะรู้ความจริงในไม่ช้าก็เร็ว และชำระแค้นเก่าแค้นใหม่
มังกรพสุธาที่อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า ราวกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงค่อย ๆ ว่ายมาทางเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมกับดวงตาที่เปล่งแสงสีเขียวเข้ม บ้างก็กระโดดขึ้นไป เกาะติดอยู่บนกำแพงหิน แล้วคลานเข้าไปหานาง พวกมันไม่ใช่มังกรพสุธาธรรมดาอีกแล้ว จากผิวหนังที่นูนและบวมนั้น มองแวบแรกก็รู้ว่ามีพิษ เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกินยาเม็ดต้านพิษ และค่อย ๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก... สองชั่วยามต่อมา นอกถ้ำ อู๋ไป๋รอคอยอย่างกระวนกระวายใจ และกังวล เขากลัวว่าแม่ทัพน้อยจะตกอยู่ในอันตราย จึงอยากจะเข้าไปตรวจสอบ ในขณะที่เขาลังเลไม่กล้าตัดสินใจ พลันมีคนเดินออกมาแล้ว เขารีบเข้าไปต้อนรับทันที “แม่ทัพน้อย...” ครั้นเพิ่งจะเปิดปากพูด ก็ได้เห็นเลือดเต็มใบหน้าของแม่ทัพน้อย ซึ่งน่าหวาดผวายิ่งนัก อู๋ไป๋พลันตื่นตัวขึ้นมาทันที รีบไปอารักขาจากด้านหลัง เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ไม่มีคนอยู่ข้างใน” อู๋ไป๋ยังสงสัย “แล้วเลือดบนร่างกายของท่าน…” เมื่อเอ่ยเช่นนี้ เขาพลันตอบสนองขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หรือเป็นมังกรพสุธาขอรับ? แม
คนชุดคลุมดำล้มลงกับพื้น จนกระทั่งตายก็ยังคิดไม่ตก ว่าเพราะเหตุใด... อย่าว่าแต่คนชุดคลุมดำแล้ว แม้แต่ผู้คนรอบข้าง รวมทั้งหร่วนฝูอวี้ ก็ล้วนตะลึงงัน พวกเขาหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก สังหารคนทั้งอย่างนี้เลยหรือ? ไม่ต้องสอบปากคำเลยหรือไร? อู๋ไป๋ก็งุนงงมาก พวกเขาใช้เวลาสืบหานานนัก แม่ทัพน้อยกลับสังหารอีกฝ่ายในพริบตา นางไม่อยากจะรู้แล้วหรือว่า เบื้องหลังการตายของต้วนไหวซวี่คืออะไร? หร่วนฝูอวี้กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยกนิ้วหัวแม่มือให้ และยิ้มแห้ง ๆ “การแทงของสามีนี้ ช่างสะใจยิ่งนัก!” ซูฮ่วนผู้นี้ บางครั้งก็ชั่วร้ายเสียยิ่งกว่านาง เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้หางตามองร่างในชุดคลุมดำอย่างเย็นชา นางเดินทางมาไกลนับพันลี้ ก็เพียงเพื่อที่จะฆ่าเขา ไยจะต้องปล่อยให้เขาจูงจมูกได้อีกเล่า? การแก้แค้นนั้น สังหารศัตรูต้องมาก่อน ความจริงเป็นเรื่องรอง โดยเฉพาะกับคนที่ปากแข็ง และคนที่ไม่มีจุดอ่อนเลย เป็นที่แน่ชัดว่าเค้นเอาคำตอบไม่ได้ กับโจรประเภทนี้ เพียงแค่สังหารโดยตรง และไม่ต้องเอ่ยไร้สาระ จากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปเอ่ยกับหร่วนฝูอวี้ “ควักอวัยวะภายใน
เมื่อมาถึงชายแดนแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนกับอู๋ไป๋หาโรงเตี๊ยมพักผ่อนระหว่างทางก่อนทั้งสองคนสวมหน้ากาก นั่งอยู่ที่ตำแหน่งใกล้ถนนคนงานโรงเตี๊ยมไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องแปลก บริการอาหารเสร็จ ก็ไปดูแลรับแขกคนอื่นวันนี้โรงเตี๊ยมนี้คึกคักมาก มีกลุ่มคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ พูดคุยกันขึ้นมา“เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อปีก่อน พวกเจ้าได้ยินกันแล้วหรือยัง?”“เรื่องอันใด?”“เจ้าไม่รู้หรือ? ปีที่แล้ว ฝ่าบาทกับฮองเฮาหย่าร้างกันแล้ว!”“อ้อ อ้อ จำได้แล้ว ตอนนั้นถือเป็นเรื่องร้อนแรงช่วงเวลาหนึ่ง!”“ข้าว่า ฮองเฮาไม่มีเหตุผล หาเรื่องไม่เป็นเรื่อง! สตรีทั่วไปล้วนยึดหลักสามคล้อยสี่คุณธรรม ในฐานะที่นางเป็นราชินีแห่งแผ่นดิน กลับตำหนิฝ่าบาทต่อหน้าสาธารณะ ‘หลิ้วเก้า’ อะไรนั่น ตัวนางเองกระทำได้ไม่ดี ฝ่าบาทลงโทษนางแล้วยังไง?”“ใช่ ๆ ข้าว่า สตรีเช่นนี้ ไม่เอาก็ช่างเถอะ! ฝ่าบาทควรที่จะปลดฮองเฮา!”“ใช่ ๆ สตรีของตระกูลเฟิ่ง ต่อไปไม่ต้องคิดที่จะได้แต่งงานอีก ก่อให้เกิดเรื่องแบบนี้ คนที่เสียเปรียบไม่ใช่ตัวนางเองหรือ หากข้ามีลูกสาวแบบนี้ คงทุบตีนางตายแน่ จะได้ไม่ทำให้ข้าอับอายขายหน้า! ”ชายอ้วนหัวโตใ
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น ทานข้าวเสร็จแล้ว นางก็เดินทางต่อ มุ่งหน้าไปทางเหนือหลายวันผ่านไป นางกับอู๋ไป๋เดินทางผ่านใกล้ที่ว่าการปกครอง เพราะมีคนมากมาย จึงต้องลงจากม้าแล้วจูงเดินเอาหลังจากเดินเข้าไปใกล้แล้วค่อยรู้ว่า เป็นพวกคนที่มาหย่าร้าง เบียดแน่นอยู่บนถนนหน้าที่ว่าการปกครองรอบด้านยังมีพ่อค้าขายของริมถนนมามุงดู ต่อว่าตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์เหล่าสตรีที่มารอหย่าร้าง“เพ้ย! ช่างหน้าไม่อาย! กล้าก่อเรื่องหย่าร้างที่ว่าการปกครอง!”“ใช่ ๆ ! น่าอับอายขายหน้า! ข้าเป็นผู้หญิงยังอับอายแทนพวกนาง ผู้ชายเลี้ยงดูครอบครัวก็ลำบากมากพอแล้ว ยังจะมาก่อเรื่องพวกนี้!”“ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นอะไร ที่มีพระราชโองการประกาศออกมาเช่นนี้ สตรีผู้ใดที่ไปทำการหย่าร้างในที่ว่าการปกครอง ทางการล้วนต้องรับเรื่อง”“ยิ่งกว่านั้น พวกเจ้าหน้าที่แต่ละแห่ง เพื่อเสร็จสิ้นการสอบสวน ล้วนทำงานอย่างหนัก! ที่ว่าการอำเภอตรงข้าม แค่เมื่อวานก็หย่าร้างไปแล้วแปดคน!”ชายขายผักคนหนึ่งพูดขึ้นมา“ล้วนเป็นเพราะฮองเฮา นำมาซึ่งการปฏิบัติตนที่ไม่ดี! สตรีขอหย่าร้าง อำนาจสามีอยู่ที่ใด!”สตรีที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้