ทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับถูกฟ้าผ่าไปในทันทีนางกำลังทำอันใดกัน!ทั่วร่างของเซียวอวี้พลันแข็งทื่อ คิ้วที่ขมวดเป็นปมเมื่อครู่นั้น พลันผ่อนคลายลงราวกับภูเขาหิมะที่ถูกความอบอุ่นของแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาในทันทีเสมือนกับแผ่นดินที่แห้งแล้งได้มาพบเจอกับความชุ่มฉ่ำของน้ำฝน ราวกับขอนไม้ที่แห้งตายได้ฟื้นคืนชีพกลับมายามวสันตฤดูจิตใจของเขาที่แห้งเหือดมาเนิ่นนาน ราวกับมีบุปผาผลิดอกออกบานขึ้นมาในชั่วพริบตา ยามที่ดอกไม้สั่นไหวเบา ๆ นั้น ความรู้สึกหอมหวานปมซาบซ่านพลันแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอก จนหลอมรวมมาเป็นเปลวเพลิงอันร้อนแรงในครานี้ เป็นนางที่ยอมถอดหน้ากากของตนเองออกมานางยอมออกมาเพื่อเผชิญหน้ากับเขาแล้วงั้นหรือ!เซียวอวี้คว้าด้านหลังคอของนางเอาไว้ ก่อนจะพรมจูบตอบกลับไปเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ผลักเขาออกไป ยิ่งทำให้เซียวอวี้ได้ใจมากกว่าเดิมหัวใจที่ราวกับมีเพลิงไฟร้อนรุ่มอยู่ในนั้น เซียวอวี้พลันใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของนางเอาไว้ ก่อนจะยกตัวนางขึ้นวางบนโต๊ะทรงงานของตัวเอง อ้อมแขนอันแข็งแกร่งกักขังเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาไว้ ก่อนจะพรมจูบต่อไปมิยอมปล่อยให้นางได้หนีหายจากไปอีก สิ่งที่เซียวอวี้นึกไม่ถึงก็คือ
เซียวอวี้นั่งอยู่บนหัวเตียง ทั่วร่างเพียงสวมเสื้อคลุมเอาไว้หลวม ๆ เท่านั้น พลางเผยให้เห็นหมัดกล้ามเนื้อที่อันล่ำสัน ที่มีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อยใบหน้าที่รูปงามพลางแสดงสีหน้าความเกียจคร้านออกมาเล็กน้อย หางตายังคงเจือไปด้วยรอยเปื้อนสีแดง ผมเผ้าที่เคยเกล้าเอาไว้ ในยามนี้กับยุ่งเหยิงในยามนี้ เขาจ้องมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ข้างเตียงนางค่อย ๆ สวมใส่อาภรณ์ของตนเองลงไปทีละชิ้น ผมที่เกล้ามัดขึ้นไปใหม่ ทุกอริยาบถของนาง ในสายตาของเซียวอวี้แล้วนั้น มันเต็มไปด้วยความสบายตาสบายใจ ทั้งยังทำให้ภายในใจของเขาเกิดอาการร้อนรุ่มขึ้นมาไม่น้อยเซียวอวี้มิคิดเลยว่า ตนเองจักมีโอกาสได้โอบกอดนางอีกครั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเพียงแค่ความฝันฉากหนึ่งยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะลุกออกไปนั้น เซียวอวี้ก็สวมกอดนางจากด้านหลังในทันที“อย่าไปเลย เราจักช่วยคนให้เจ้า…”เขามิอยากเห็นนางตกตายไปได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยตัดบทเขาออกมาด้วยความใจเย็น“นี่คือเรื่องของหม่อมฉันเพคะ”เซียวอวี้มิยอมปล่อยมือ ก่อนจะกดคางของตนเองลงบนไหล่ของนาง “จิ่วหยาน เจ้ายังมีเราอยู่ในใจ อีกทั้งร่างกายของเจ้าเป็นค
กลางดึกนั้น ไทฮองไทเฮาต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคกระเพาะอาหาร พระนางได้แต่คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดหมอหลวงถูกเรียกตัวไปแล้ว ฝั่งของฝ่าบาทเองสมควรที่จะทราบสถานการณ์เช่นกันในเมื่อเป็นเรื่องเร่งด่วนเช่นนี้ หลิวซื่อเหลียงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องเข้าไปรายงานสถานการณ์ด้านในตำหนักเมื่อเห็นว่าประตูกั้นด้านในตำหนักถูกปิดสนิทนั้น ยามที่กำลังจะเอื้อมเอามือผลักเข้าไปด้านใน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ทำให้ใจตนเองเต้นรัวและใบหน้าของตนเองต้องเผลอแดงก่ำออกมาพระเจ้า!ด้านในนั้น...หลิวซื่อเหลียงก้าวถอยไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว และรีบหันกายวิ่งหนีไปทันทีสตรีที่อยู่ภายในห้องบรรทมนั้น มาจากที่ใด ? !ยามที่หลิวซื่อเหลียงวิ่งออกมานั้น เขาบังเอิญเจอเข้ากับเฉินจี๋เมื่อเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่ในมือของเฉินจี๋แล้ว หัวใจของหลิวซื่อเหลียงพลันเกิดอาการเต้นแรงขึ้นมานี่ นี่ นี่... นี่มันอาภรณ์ของบุรุษ!เมื่อครู่ หากเขาได้ยินไม่ผิดไปละก็ หรือว่า ผู้ที่คอยปรนนิบัติฝ่าบาทอยู่ด้านในนั้น หาใช่สตรีไม่ แต่เป็นบุรุษเช่นนั้นหรือ? !จบกัน!เหตุใดฝ่าบาทถึงเลอะเลือนเช่นนี้ได้กัน!เฉินจี๋ที่มิรู้ว่าหลิวซื่
เมืองอวี่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง สี่วันให้หลัง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เดินทางมาถึงเมืองอวี่ ต้วนเจิ้งติดตามนางไปตลอดทาง ด้วยสายตาที่มืดครึ้ม ในด้านหนึ่ง เขารู้สึกซาบซึ้งใจ ที่นางยอมเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อไปยังเจดีย์เก้าชั้น เนื่องจาก หร่านชิวผู้นั้นพูดอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการช่วยเหลือพี่ชายของเขา ครั้นได้ยินว่าพี่ชายถูกขังอยู่ในเจดีย์เก้าชั้น หร่านชิวกลับยอมแพ้ ทว่าในอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับไปพัวพันกับฮ่องเต้สุนัขนั้น ซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก ในที่สุด วันนี้ ยามที่ทั้งสองกินมื้อเย็นที่โรงพักแรม ต้วนเจิ้งก็อดรนทนไม่ไหวแล้ว เขาวางกระแทกตะเกียบลงอย่างแรง “สรุปว่าเจ้ามีแผนอย่างไร ยังต้องการจะอยู่ด้วยกันกับพี่ชายของข้าหรือไม่!” หากต้องการ เหตุใดถึงยังไปทำเช่นนั้นกับฮ่องเต้ด้วย หากไม่ต้องการ ไยจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือพี่ชายด้วยเล่า เฟิ่งจิ่วเหยียนคีบอาหารอย่างใจเย็น “กินเถอะ” ในสายตาของนางนั้น เห็นเขาเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่รู้จักโต ดังนั้น สำหรับบางคำพูด ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เขาฟัง ครั้งนี้การไปที่เจดีย์เก
ต้วนเจิ้งโกรธเกรี้ยวไม่หยุด แรงที่เขาใช้เคาะประตูนั้น สามารถถอดบานประตูออกมาทั้งแผงได้เลย เมื่อครู่เขาเดินออกไปแค่ประเดี๋ยว แล้วย้อนลงมาดูที่ชั้นล่าง คนที่กินข้าวอยู่ก็ได้หายไปแล้ว ครั้นได้สอบถามกับเถ้าแก่ จึงรู้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาหานาง และเดินกลับห้องไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาเพิ่งจะเคาะประตูเพียงไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นก็มีคนหลายคนปรากฏตัวขึ้น และจ้องมองเขาอย่างดุเดือด ราวกับว่าหากเขากล้าที่จะบุกเข้าไป พวกเขาก็พร้อมจะกระชากวิญญาณของเขาออกมาตรงนี้ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี! เขาสงสัยว่า บุรุษที่อยู่ข้างในนั้น ควรจะเป็นฮ่องเต้! ทันใดนั้น ประตูพลันเปิดออก สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่มองมานั้นเย็นชานัก “มีอะไร” สองหมัดของต้วนเจิ้งกำแน่น “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่!” ทันทีที่พูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยกคอเสื้อของเขาขึ้นมา และลากเขาออกไปทันที เหล่าองครักษ์ : ?? ต้วนเจิ้งถูกลากกลับไปที่ห้องของเขา จากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนเขา “อย่าสร้างปัญหาให้ข้า มิเช่นนั้นพวกเราก็ต่างคนต่างไป” ต้วนเจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะดีก
ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในความฉงน เซียวอวี้มิอาจจะอดกลั้นไหว พลันเชยคางของนางขึ้น และจูบริมฝีปากของนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออกไปทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ท่านจะทำอันใดเพคะ” เซียวอวี้แย้มยิ้ม “ความรักระหว่างชายหญิง ถึงคราวสุกงอม ก็ยากจะหักห้ามใจ” เหล่านี้ ล้วนเป็นคำพูดที่นางเคยกล่าวทั้งหมด เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าตนเองมิอาจรอดชีวิตกลับไป และไม่ได้พบกันอีก จึงได้ทำตามหัวใจตนเองและจูบเขาก่อน ตอนนี้มันช่างพูดไม่ออกจริง ๆ ... นางผุดลุกขึ้นยืน “นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องของท่านได้แล้วเพคะ” เซียวอวี้มองออกไปนอกประตู “เฉินจี๋ มีห้องว่างหรือไม่” คนข้างนอกเอ่ยตอบ “นายท่าน พวกเรามีคนมากเกินไป จึงไม่เหลือห้องว่างแล้วขอรับ” เซียวอวี้หันกลับมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนพลางเอ่ย “เกรงว่า เราจักทำได้เพียงนอนเบียดกับรองผู้นำพันธมิตรซูแล้วกระมัง” เฟิ่งจิ่วเหยียนย่อมรู้ดีว่าเขาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ “ท่านอาจจะเข้าใจหม่อมฉันผิดไป เรื่องในคืนนั้น...” ทันใดนั้นเซียวอวี้เคร่งขรึมขึ้นมา
เซียวอวี้จำต้วนเจิ้งได้ และรู้ด้วยว่าเขาเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของต้วนไหวซวี่ ดังนั้น จึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อต้วนเจิ้งไปตลอดการเดินทางนี้ หารู้ไม่ว่า ต้วนเจิ้งก็ทำเช่นเดียวกันกับเขา ในใจของต้วนเจิ้งนั้น พี่ชายของตนเองดีกว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาองค์นี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า ไม่ช้าก็เร็ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสตรีพิษคนนี้จักต้องนึกเสียใจ! สองวันต่อมา คณะเดินทางก็มาถึงเชิงภูเขาอวี้หลิง ภูเขาอวี้หลิงนั้นสูงตระหง่านโดดเด่น เหนือยอดเขามีเมฆบังหมอกปกคลุม ดุจแดนสวรรค์ ที่ซึ่ง เซียน และมารอยู่ร่วมกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงนัก เป็นตามที่คาดไว้ ทันทีที่พวกเขาลงจากรถม้า พลันมีองครักษ์ลับหลายร้อยคนปรากฏตัวขึ้น และปิดกั้นทางเข้าไว้ “ผู้มาเป็นใคร!” ต้วนเจิ้งร้อนอกร้อนใจอยากจะเปิดเผยตัวตนเต็มที “ฮ่องเต้อยู่ที่นี่ พวกเจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!” เขาเพียงคิดง่าย ๆ เจดีย์เก้าชั้นแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอำนาจของราชสำนัก ลองคิดดูแล้วหากฮ่องเต้ตรัสเพียงคำเดียว พวกเขาทั้งหมดต้องหลีกทางให้อย่างเชื่อฟัง และการให้หนานซานอ๋องเปิดประตูทางเข้าเจ
เฟิ่งจิ่วเหยียนประคองเซียวอวี้ไว้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกันเฉินจี๋ก็เข้ามาช่วยทันทีเช่นกัน ต้วนเจิ้ง : ! หนานซานอ๋อง : ? “เจ้าทำอันใดกับฝ่าบาท!” หนานซานอ๋องโพล่งถามด้วยความโกรธเกรี้ยว ครั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนมอบเซียวอวี้ให้เฉินจี๋แล้ว พลันก้าวไปข้างหน้า กำหมัดแสดงความเคารพต่อหนานซานอ๋อง “ท่านอ๋อง มิจำเป็นต้องเสียสละชีวิตของทหารผู้บริสุทธิ์เลย “ผู้น้อยซูฮ่วน ขอท้าประลอง เพื่อเข้าสู่เจดีย์เก้าชั้น” หนานซานอ๋องได้ยินเช่นนั้น มิแสดงท่าทีอนุญาตหรือปฏิเสธ และยังคงจับจ้องมองไปทางเซียวอวี้ จนกระทั่งเฉินจี๋ส่งฮ่องเต้ขึ้นไปในรถม้า และทำความเคารพเพื่อลาเขาแล้ว หนานซานอ๋องจึงรู้สึกโล่งใจได้เสียที เขาหันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน และเอ่ยถามอย่างเฉียบขาด “เจ้าอยากเข้าไปในเจดีย์เก้าชั้นจริงรึ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักศีรษะ “ขอรับ!” “ดี” หนานซานอ๋องตอบรับด้วยความเต็มใจยิ่ง ก่อนที่เฉินจี๋จะออกเดินทาง ได้โค้งคารวะให้เฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเคารพ “คุณชายซู โปรดรักษาตัวด้วย!” ในขณะนี้ เฉินจี๋ยังไม่รู้เลยว่า นางหาได้เป็นแค่ซูฮ่วนเท่านั้น ยังคงเป็นอดีตฮองเฮา
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้