วังหลวง รับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเซียวอวี้ จึงให้คนส่งอาจารย์หญิงออกจากวังไปก่อนนับจากกลับมาจนถึงตอนนี้ เซียวอวี้ยุ่งมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นตอนนี้ เขาไม่อยากคุยเรื่องจริงจังหลังจากฮูหยินเมิ่งกลับไป เขาให้ข้าหลวงออกไป จากนั้นก็ดึงเฟิ่งจิ่วเหยียนมาสู่อ้อมอก กอดนางไว้ ราวกับเช่นนี้สามารถขจัดความเหนื่อยล้าได้“เราเหนื่อยมาเลย ดูสิ สาส์นกราบทูลพวกนั้น ช่วงบ่ายเราอ่านหมดแล้ว”กองหนาบนโต๊ะ ดูแล้วก็เหนื่อยมากจริงๆเฟิ่งจิ่วเหยียนปล่อยให้เขากอดพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังคงผลักเขาอย่างใจร้าย“พูดเรื่องจริงจัง คำให้การของหยางเหลียนซั่ว ท่านดูแล้วหรือยัง?” เซียวอวี้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ“ที่นี่มีแค่เราสองคน ทำไมถึงห่างเหินเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนหลีกเลี่ยงสิ่งเล็กน้อย มุ่งเน้นปัญหาหลัก“ท่านราชครูเฉินไม่ได้กบฏ อดีตรัชทายาทก็บริสุทธิ์เช่นกัน เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของพรรคเทียนหลง ท่านควรพิสูจน์คืนความบริสุทธิ์ให้กับพวกเขา”เซียวอวี้พยักหน้าอย่างอารมณ์ดี“เจ้าพูดถูก ควรคืนความบริสุทธิ์”มู่หรงเหลียนก็ให้การเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นเขาเตรียมการไว้ตั้
เซียวอวี้ไม่เคยคิดมาก่อน ตนเองฟังคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ผิดไปเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายอย่างใจเย็น“ในเมื่อพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน ฉะนั้น ‘สื่อ’(ที่มีความหมายว่าตาย) กับ ‘ซื่อ’(ที่มีความหมายว่าสกุล) สับสนได้ง่าย”“ ‘หลิว’(ที่มีความหมายว่าเก็บไว้) เป็นพยางค์สุดท้ายที่อดีตฮ่องเต้ทรงตรัส ไม่สามารถออกเสียงชัดถ้อยเหมือนคนปกติ ด้วยการหายใจลากเสียงยาว คนอื่นได้ยิน หลิว ถูกแยกกลายเป็น ‘ลี่โฮ้ว’(ที่มีความหมายว่าตั้งเป็นฮองเฮา) ” เซียวอวี้ยังคงสงสัย“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่พูดให้กระจ่างโดยตรง? พูดว่าสังหารมู่หรง ไม่ชัดเจนยิ่งกว่าหรือ”ตาคิ้วเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น“อยู่ในชายแดนเหนือ ข้าเคยได้ยินคำสั่งเสียของคนนับไม่ถ้วน ในขณะที่คนใกล้สิ้นใจ รู้ตัวเองว่ามีเวลาคับขัน จึงคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน สำหรับอดีตฮ่องเต้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในประโยคสมบูรณ์ก็คือ มู่หรง”“หรือจะเป็นมู่หรงหลัน ตระกูลมู่หรง ทั้งเผ่าพันธุ์มู่หรง พระองค์อยากเตือนท่าน มู่หรงมีปัญหา”“ทว่าหลังจากพระองค์พูดมู่หรงสองพยางค์ ก็ยากลำบากมากแล้ว ซึ่งเห็นได้จากประโยคที่พระองค์พูดอย่างสั้น ๆ เขากังวลว่าพยางค
คำพูดที่มู่หรงหลันพูดก่อนตาย รุ่ยอ๋องเล่าให้เฟิ่งจิ่วเหยียนฟัง “น่าเสียดาย นางพูดเพียงมนุษย์โอสถ ไม่พูดอะไรต่อ” ระหว่างคิ้วรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิด“พรรคเทียนหลงเคยเลี้ยงมนุษย์โอสถ ควรที่จะสืบต่อไป ทว่าเรื่องนี้ควรให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย”เมื่อพูดเสร็จ นางทำความเคารพกล่าวลารุ่ยอ๋องหันมามองเงาร่างของนางที่เดินจากไป ยังรู้สึกประหลาดใจ...แม่ทัพน้อยเมิ่งที่กล้าหาญสง่างามมีชีวิตชีวาในตอนนั้น กลับเป็นสตรี……ความผิดที่มู่หรงเหลียนรับสารภาพ พัวพันกับคดีที่ไม่เป็นธรรมมากมายเมื่อรวมกับคำสารภาพของหยางเหลียนซั่ว ดังนั้น คดีความอยุติธรรมของอดีตรัชทายาทกับตระกูลเฉินก็กระจ่างขึ้นวันรุ่งขึ้น อาชญากรรมของพรรคเทียนหลงถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้กระทำผิดหลัก หยางเหลียนซั่ว ถูกเปลี่ยนให้เป็น “มนุษย์สุกร” ลากตัวไปในตลาด ให้ผู้คนมุงดูหยางเหลียนซั่วยังสามารถได้ยิน เขาเสียใจอย่างมาก ไม่สามารถฆ่าตัวตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์แคว้นเฉิน ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากจัณฑาลเหล่านี้หยางเหลียนซั่วในยามนี้ ในทุกวันที่มีชีวิตอยู่ ล้วนเป็นการทรมานที่เจ็บปวด
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในวังมีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด จึงนัดไว้เป็นเวลายามไฮ่สุดท้าย ก่อนยามไฮ่หนึ่งชั่วยาม เซียวอวี้ก็มาแล้วเขาแต่งตัวสวมอาภรณ์สีแดง “งดงามฉูดฉาดหรูหรา” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองข้างหลัง ยังนึกว่าเจียงหลินโผล่มาแขกรอบข้างต่างมองดูเขานางมาถึงหอสุราก่อนเวลาครึ่งชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าเขามาเร็วกว่า“หม่อมฉันจองห้องส่วนตัว อยู่ชั้นสอง” เซียวอวี้คว้าจับมือของนางไว้ทันที กลับถูกนางสะบัดทิ้งด้วยสัญชาตญาณยังไง เวลานี้นางแต่งกายเป็นบุรุษผู้ชายสองคนเดินจุงมือกัน ดูได้ที่ไหนมือเซียวอวี้ค้างอยู่กลางอากาศ น้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกหรือนางโกรธที่ตนเองไม่ได้อยู่กับนางมาหลายวัน?เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว เซียวอวี้รวบโอบกอดคนตรงหน้าทันทีข้างนอกประตู อู๋ไป๋ปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วเขาเงยศีรษะขึ้นมา เห็นเฉินจี๋ไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่ยืนตัวตรง ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ“ข้าว่า เจ้าปิดประตูไม่เป็นหรือ?”เฉินจี๋ : ?ภายในห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเซียวอวี้ ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา“เนื้อตัวหม่อมฉันสกปรก”เซียวอวี้เพิ่งค่อยสังเกตเห็น บนอาภรณ์ของนางเปื้อนไปด้วยฝุ่น ราวกับได้มุดผ่านตร
เฟิ่งจิ่วเหยียนเช่าบ้านไว้หนึ่งหลัง ขังโจรสลัดพวกนั้นไว้ข้างในพวกเขาถูกทรมานจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลอู๋ไป๋ชี้ไปยังตรงมุมที่หายใจรวยรินคนนั้น แล้วก็พูดกับเฉินจี๋“คนนั้นแหละ ก่อนหน้านี้เกือบหนีไป นายท่านไล่ตามกลับมาด้วยตนเอง”พวกโจรสลัดเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับหนูเจอแมว ตัวสั่นเทาไม่หยุดพวกเขาเคยเป็นกองโจรสลัดที่เก่งกาจ ตอนนี้กลับถูกหนุ่มคนหนึ่ง ตบตีจนแม้แต่แม่ก็จำไม่ได้แล้ว“อย่าตี... อย่าตีข้า ที่ควรพูดข้าก็ล้วนพูดหมดแล้ว...”เฉินจี๋หิ้วคนหนึ่งขึ้นมา ลากไปตรงหน้าเซียวอวี้นิ้วมือทั้งสิบของคนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ดูก็รู้ว่าถูกทรมานมาก่อนเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “มีคนให้ทองพวกเราเป็นจำนวนมาก สั่งพวกเราลงมือทำเช่นนั้น “พวกเราทำงานรับค่าจ้าง รู้เพียงว่านั่นคือเรือของตระกูลมั่งคั่ง...ไม่เช่นนั้น ต่อให้พวกเรามีความกล้าหาญคับฟ้า ก็ไม่กล้าปล้นเรือของราชวงศ์“ตอนที่เรือคว่ำ คนอื่นหนีไปหมดแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกระโดดลงจากเรือ พวกเราเป็นคนช่วยนางขึ้นมา“นางเอาป้ายหยกของนางให้พวกเรา บอกว่ามีมูลค่ามาก ขอให้พวกเราปล่อยนางไป“นางสวยงดงามมาก เดิมพวกเราคิดอยากบังคับขืนใจ เมื่
ดวงตาหร่วนฝูอวี้เต็มไปด้วยความรัก พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างยิ้มหวาน“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเข้าวังกับเจ้า”จากนั้นก็เปลี่ยนน้ำเสียง หันไปพูดกับเซียวอวี้“ฮ่องเต้ฉี ท่านแต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นสนมอะไรก็ได้ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการตำหนักใหญ่โต ได้อาศัยอยู่กับท่านพี่ของข้าก็พอ”ตาคิ้วเซียวอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ฟันกรามหลังคันยิก ๆ ยัก ๆแต่งตั้งเป็นสนม?นางช่างวางแผนได้ดีสายตาที่เซียวอวี้มองนาง ราวกับมองคนตาย“เจ้าหรือ โกศกำลังดี”“ท่าน!” สายตาหร่วนฝูอวี้ปรากฏรัศมีสังหาร กลับไม่สามารถฆ่าเขาได้จริง ๆนางหันไปควงแขนเฟิ่งจิ่วเหยียน ท่าทีราวกับไม่มีใครแยกพวกเขาออกจากกันได้ พูดขึ้นมาอย่างออดอ้อน“ท่านพี่ เจ้ายังติดค้างข้าค่ำคืนแห่งวสันต์”เซียวอวี้โมโหมาก“เจ้าอยากตายหรือ!”หร่วนฝูอวี้ฟังคำพูดของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พูดอย่างถูกต้องก็คือ ไม่สนใจกับการมีตัวตนอยู่ของเขาเลยนางพูดเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ตอนที่เจ้าอยู่ชายแดนใต้ ยืมหมอผีของข้าไปคนหนึ่ง เจ้ารับปากข้า เราสองคน...อืม?”ในระหว่างที่พูด นิ้วมือหร่วนฝูอวี้เกาะบนไหล่เฟิ่งจิ่วเหยียน แสดงออกถึงความงดงามอ่อนโ
หร่วนฝูอวี้อ้อมมาข้างหน้ารุ่ยอ๋อง สายตาเต็มไปด้วยความสนใจ“ข้าเดาว่า ตอนนี้เจ้าจะต้องแปลกใจอย่างมาก ว่าข้ารู้ได้อย่างไร“ความจริงนั้น ง่ายมาก“ผู้ชายที่ไม่ชอบข้า หากไม่ใช่มีคนรักแล้ว ก็เป็นคนที่ไม่ชอบผู้หญิง! ส่วนท่าน ก็คืออย่างหลัง”รุ่ยอ๋อง: นางช่างมั่นใจในตนเองหร่วนฝูอวี้พูดอีก“ท่านคงกำลังคิดว่า ทำไมข้าถึงได้มั่นใจในตนเองขนาดนี้“ฮ่าๆ ผู้หญิงที่งดงามอย่างข้า...”รุ่ยอ๋องแลดูอ่อนโยนราวกับหยก พูดขึ้นมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย“แม่นางหยวน เจ้าเดินไปข้างหน้า เลี้ยวขวาที่ตรงทางแยกที่สอง เจ้าจะเห็นร้านเกี๊ยวร้านหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันออก ด้านหน้าห้องที่สอง เจ้าเดินเข้าไป หมอที่นั่นจะตรวจอาการของเจ้าให้เป็นอย่างดี”หร่วนฝูอวี้: ! !เขากำลังด่าว่านางป่วย?……ในรถม้าเฟิ่งจิ่วเหยียนงีบหลับครู่หนึ่งหลายวันมานี้นางยุ่งกับการตามจับโจรสลัด อดหลับอดนอนรอเมื่อนางตื่นขึ้นมา พบว่าทิศทางไม่ถูกต้องนางรีบเปิดม่านหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก“นี่ไม่ใช่ทางไปโรงพักแรม”นางหันมามองเซียวอวี้ที่อยู่ด้านข้างเซียวอวี้เอื้อมมือโอบเอวของนางไว้ ในความมืดมิด แววตาเต็มไปด้วยความเ
ได้ยินประโยคหลังของเซียวอวี้ ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยลองเขา?เฟิ่งจิ่วเหยียนหันตัวไป ถามทั้งที่รู้“ลองอย่างไร? ”เซียวอวี้จับมือของนางไว้ ลูบจากหน้าอกของเขาเลื่อนไปถึงท้องน้อย ในเวลาเดียวกันสายตาก็จับจ้องนาง ดูการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนหายใจกระสับกระส่าย ดวงตาหรี่ลง มองเห็นอารมณ์ในสายตาของนางไม่ชัดเจนเซียวอวี้ขยับเข้ามาใกล้ข้างหูของนาง ยิ้มหัวเราะด้วยเสียงแหบเบา ๆ“ล้อเจ้าเล่น”นางมักจะสุขุมเย็นชา อยากเห็นท่าทีเอียงอายของนางนั้น ยากมากจริง ๆพูดเสร็จ เขาก็ปล่อยมือของนาง แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“เราอยากเก็บไว้ในคืนวันแต่งงาน”ก่อนวันแต่งงาน เขาต้องอดกลั้นไว้ยามที่เขากำลังถอยออก เฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวเข้ามาหา คว้าจับคอเสื้อของเขา แววตาเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ“หากข้าจะเอาล่ะ ? ”เซียวอวี้ก้าวถอยหลังหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าสับสนเล็กน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ“จิ่วเหยียน เจ้าสงบหน่อย”เขาก็อยากพลอดรักกับนาง ทว่าก็อยากได้งานแต่งงานที่ครบสมบูรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ชัดเจ
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้