จุมพิตอันลึกซึ้ง ผสานกับกลิ่นสุราอันหอมหวานเมื่อครู่เฟิ่งจิ่วเหยียนปิดตาลง และดื่มด่ำไปกับมันมิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เซียวอวี้ก็ผละออกจากนางช้า ๆ และแตะบนหน้าผากนาง พร้อมกับยิ้มอย่างสบายใจ“นี่ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกันดื่มเช่นกัน”ลำคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนแห้งผาก มือหนึ่งคว้าคอเสื้อของเขาไว้ ขนตาตกลงมาครึ่งหนึ่ง “เพคะ”ขณะอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม นางมองที่เขา และคิดจะกระโจนใส่เขาทว่านางรู้ดีว่า ตามกฏแล้ว ต่อไปเซียวอวี้จักต้องไปที่ท้องพระโรงเซียวอวี้ยามอยู่กับนาง ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายเขาจึงออกคำสั่งกับคนด้านนอกทันที“ออกไปก่อน”เหล่าหมัวมัวต่างมองหน้ากัน ก็รีบออกไปนอกตำหนักโดยเร็วหลังจากคนอื่นออกไปหมดแล้ว เขาก็ช่วยนางถอดมงกุฎหงส์ออกด้วยตนเอง เมื่อถือไว้ในมือ ถึงรู้ว่ามันหนักเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มี “พันธนาการ” นี้แล้ว พลันรู้สึกหายใจได้โล่งขึ้นเซียวอวี้โอบกอดนางไว้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“ลำบากแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเขาออก“ท่านควรจะไปที่ท้องพระโรงได้แล้ว”เซียวอวี้เงยคางนางขึ้นมา แสร้งเอ่ยอย่างไม่พอใจ“แต่งงานกันแล้ว เหตุใดยังห่างเหินเช่นนี้?”เฟิ่งจิ่วเ
ณ ท้องพระโรงเหล่าขุนนางกินดื่มอย่างอิ่มหนำแล้ว ฮ่องเต้เพิ่งจะเสด็จมาหลายคนแอบซุบซิบขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากการสอบภาควสันตฤดูเอ่ยว่า“ฝ่าบาทพระพักตร์แจ่มใส สมดังว่าคนเรามีเรื่องมงคลจิตใจย่อมเบิกบาน!”“หากเจ้าได้แต่งภรรยา สีหน้าก็จะดูแจ่มใสเช่นนี้”ขุนนางผู้นั้นนึกถึงเรื่องบางอย่าง ใบหน้าพลันแดงก่ำในทันทีหรือว่าฮ่องเต้ทรงมาช้า เป็นเพราะ...เป็นไปไม่ได้!จะเหลวไหลเช่นนั้นได้อย่างไร!แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้มิใช่คนมัวเมาลุ่มหลงในอิสตรี!บนบัลลังก์มังกร จักรพรรดิหนุ่มดูมีชีวิตชีวา ทว่าคนอยู่ แต่ใจไม่อยู่เขามาที่ท้องพระโรงนี้ เพราะถูกเฟิ่งจิ่วเหยียนรบเร้าในขณะกำลังคิดว่า จะดื่มกับเหล่าขุนนางไม่กี่จอกก็จะกลับไปตำหนักจื้อเฉิน ในเวลานี้ หนานซานอ๋องก็ลุกขึ้นยืน พร้อมชี้แนะอย่างมีเหตุมีผล“ฝ่าบาท ไม่ว่าเรื่องใดมิควรปล่อยตามใจตนเอง“ในฐานะที่ท่านเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ควรเป็นแบบอย่างให้กับบุรุษใต้หล้า“จริงอยู่ว่างานอภิเษกสมรสควรค่าแก่การยินดี ทว่าหากเกินขอบเขตที่เหมาะสม...”คำพูดเหล่านี้เหล่าขุนนางได้ยินถึงกับตะลึงงันหนานซานอ๋องช่างกล้าเอ่ยจริง ๆว
รุ่ยอ๋องรู้อยู่แล้วว่าหร่วนฝูอวี้ชอบเฟิ่งจิ่วเหยียน บัดนี้คนผู้นี้ก็อาศัยอยู่ที่จวนของเขามิยอมไป เขาจึงจงใจเอ่ยยั่วยุ“ท่านพี่ของเจ้าเป็นอย่างไร ข้าไม่รู้“แต่ข้ารู้เพียงว่า ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงมีความรักที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างมาก กลัวแต่ว่าราตรีนี้อาจจะไม่ยาวนานพอ”หร่วนฝูอวี้มิได้โกรธเคืองเหมือนดั่งที่เขาคิดไว้ แต่กลับยิ้มด้วยความโล่งใจ“ท่านพี่พึงพอใจก็ดีแล้ว”ประกายวาวในดวงตารุ่ยอ๋องมลายหาย เปลี่ยนเป็นว่างเปล่า และคล้อยตามราวกับถูกผีสิงในทันที“เจ้าพูดถูก”ณ พระราชวังภายในตำหนักจื้อเฉินเซียวอวี้เคลิบเคลิ้มอยู่กับเสียงเรียกซ้ำ ๆ ว่า “ท่านพี่” และปรารถนาได้ยินอย่างไม่สิ้นสุดช่างบังเอิญตรงกับคำพูดของรุ่ยอ๋อง เขารู้สึกว่าราตรีนี้สั้นเกินไปเช้าวันต่อมาเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนตื่นขึ้นมา ก็เห็นเซียวอวี้นอนอยู่ข้างกายนาง และจ้องนางด้วยแววตาอันร้อนรุ่มนางพลิกตัวกลับ และหันหลังให้เขา “ท่านควรไปว่าราชกิจได้แล้ว”เซียวอวี้เขยิบเข้ามาใกล้ โอบเอวของนางไว้ และจูบที่หลังลำคอของนาง“วันนี้เราไม่ไปว่าราชกิจ”เฟิ่งจิ่วเหยียนปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวอย่างมาก จึงผลักเขาออกไปเบา ๆ“มิบันยะบั
ดวงตาของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาช่วงข้าวใหม่ปลามันย่อมเป็นช่วงสำคัญ แต่เขาในฐานะจักรพรรดิ ควรคำนึงถึงเรื่องแว่นแคว้นเป็นสำคัญเขามองไปทางเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยแววตารู้สึกผิดอยู่บ้าง“เจ้ากลับไปที่ตำหนักหย่งเหอก่อน เราจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างใจเย็น“เพคะ”ณ ตำหนักหย่งเหอเหล่าสนมพากันมาน้อมทักทายฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนได้พบพวกนาง ก็มิได้รู้สึกแปลกหน้าพวกนางได้พบนาง ก็เป็นเช่นเดียวกันว่ากันว่าฮองเฮาองค์ใหม่นี้เป็นพี่น้องฝาแฝดกับฮองเฮาองค์ก่อน กลับนึกไม่ถึงว่าจะคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะบุคลิกท่าทางนี้หนิงเฟยยิ่งตะลึงงันอยู่ตรงจุดนั้นนางรู้สึกเพียงว่า บุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้เหมือนกับฮองเฮาองค์ก่อนทุกประการมิน่าแปลกใจที่ฮ่องเต้ทรงยืนกรานจะอภิเษกสมรสกับคนผู้นี้ให้ได้จักต้องหลงเหลือเยื่อใยต่อฮองเฮาองค์ก่อนเป็นแน่หนิงเฟยคิดเช่นนี้ ก็รู้สึกเห็นใจฮองเฮาองค์ใหม่อย่างมาก เฟิ่งจิ่วเหยียนแค่ทำเหมือนว่าพบกับพวกนางเป็นครั้งแรก ไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะเอ่ยมากเกินกว่านี้หลังจากที่พวกนางกลับไป สาวใช้ผู้หนึ่งก็เข้ามาใก
วันนี้ฮ่องเต้มิได้เสด็จไปว่าราชกิจ เรื่องราวทุกอย่างในวังถูกส่งมอบให้กับรุ่ยอ๋องในยามนี้ รุ่ยอ๋องมองดูจดหมายฉบับนี้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของแผนชั่วร้ายหากปล่อยให้ฮ่องเต้เสด็จไปเพียงลำพัง จักต้องตกหลุมพรางเป็นแน่ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลผู้นี้ยังฉลาดมาก กลับรู้จักใช้ซูเฟยมาเป็นตัวล่อซูเฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้ ขณะที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ก็ปลิดชีพตนเองเรื่องนี้เป็นปมในใจของฮ่องเต้มาโดยตลอดหากจดหมายฉบับนี้ไปถึงมือฮ่องเต้จริง ๆ เกรงว่า...แววตาอ่อนโยนของรุ่ยอ๋องฉายแววความแน่วแน่“หลิวหวา ข้าจักไปตามนัดหมายแทนฮ่องเต้ เจ้าไปตามหาคนที่รู้วิธีการแปลงโฉม”หลิวหวารู้สึกกังวล “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มิหารือกับฝ่าบาทก่อน แล้วค่อยตัดสินใจหรือขอรับ?น้ำเสียงของรุ่ยอ๋องเรียบเฉยและทุ้มต่ำ“มิจำเป็น”ฮ่องเต้เพิ่งจะอภิเษกสมรส หาได้ยากที่จะมีช่วงเวลาปลอดโปร่งโล่งใจเช่นนี้ เขามิต้องการให้คนอื่นมารบกวนฮ่องเต้ทว่าในเมื่อเป็นเรื่องของซูเฟย เขาจักต้องไปสักครั้ง ถึงจะวางใจได้ภายในห้อง หร่วนฝูอวี้จัดแต่งอาภรณ์เรียบร้อย ยืนพิงอยู่ขอบประตูด้วยท่าทางเย้ายวน ทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“มิต้องไ
หลังจากหนิงเฟยออกจากตำหนักเสียนซิ่ง ก็ตรงไปยังตำหนักหย่งเหอสาวใช้หว่านชิวเอ่ยอย่างนอบน้อม“หนิงเฟย ฝ่าบาทกับฮองเฮากำลังหารือเรื่องสำคัญอยู่ด้านใน ไม่สะดวกจะพบท่าน”หนิงเฟย: หารือเรื่องสำคัญ?นี่ก็เพิ่งจะอภิเษกสมรส มีเรื่องใดที่ต้องหารือกัน?เหตุใดนางถึงรู้สึกว่ากำลังทำเรื่องอนาจารตอนกลางวันแสก ๆ นะ?“มิเป็นไร ข้าค่อยมาช้ากว่านี้สักหน่อย”หว่านชิวคิดจะบอกว่า หากมาช้ากว่านี้สักหน่อย คาดว่าจะมิได้พบฮองเฮาเช่นกันด้านนอกพระราชวังเนินเขาอู๋หลี่ ศาลาเฟิงอวี่รุ่ยอ๋องทำตามที่เขียนในจดหมาย แปลงโฉมเป็นฮ่องเต้และมาตามการนัดหมายเขาสั่งให้หลิวหวาซุ่มโจมตีอย่างลับ ๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันในที่ไกล ๆ มองเห็นหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ในศาลาหลังจากเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นหญิงผู้นั้นอายุราว ๆ สามสิบสี่สิบปี แต่งกายด้วยชุดขาว มองดูซูบผอมและอ่อนแอเขาหยุดอยู่นอกศาลา มิได้เดินเข้าไปเมื่อประสานสายตากัน หญิงสาวก็น้ำตาไหลพราก“ข้าคิดว่า ท่านมิเต็มใจจะพบข้าอีกแล้ว”รุ่ยอ๋องรู้สึกเกินความคาดหมายอยู่บ้างฟังจากคำพูด หญิงผู้นี้เป็นคนที่เคยรู้จักกับฮ่องเต้?เขามิเอ่ยสิ่งใด รอจังหวะไปพลาง ๆ ก่อน
ณ ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ฟังรุ่ยอ๋องเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดจบแล้ว สายตาดูเยือกเย็นและดุดันเขาเหลือบตาขึ้นมองในทันที แววตาราวกับใบมีดอันคมกริบ“นางอยู่ที่ใด หญิงผู้นั้น อยู่ที่ใด!”รุ่ยอ๋องสังเกตเห็น เมื่อฮ่องเต้ทรงเอ่ยถึงหญิงผู้นั้น ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง“อยู่ในคุกหลวง กระหม่อมสั่งให้คนพานางไปควบคุมตัวไว้ก่อน”ใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามของเซียวอวี้ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น พร้อมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ย้ายนางไปที่คุกเทียนเหลา”“พ่ะย่ะค่ะ”ณ คุกเทียนเหลานักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ที่แห่งนี้มีจำนวนมาก ในนั้นมีขุนนางที่พัวพันคดี จนกระทั่งเชื้อพระวงศ์อีกจำนวนไม่น้อยเมื่อพวกเขาเห็นฮ่องเต้เสด็จมา ก็พากันคุกเข่าร้องขออภัยโทษ“ฝ่าบาท อภัยโทษให้กระหม่อมด้วย!”“ฝ่าบาท ขอร้องให้ท่านปล่อยกระหม่อมออกไปเถิด!”“ฝ่าบาท ข้าน้อยมิกล้าทำอีกแล้ว!”เซียวอวี้เมินเฉยต่อเสียงเหล่านี้ สายตาดูเย็นชา และเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนในสมองเต็มไปด้วยภาพของมารดา---ท่าทางที่ดูทุกข์ใจ ท่าทางที่ดูเจ็บปวด ยังมีท่าทางที่ดูโศกเศร้า และท่าทางที่ตกจากที่สูงของนาง...เดิมทีเป็นเพราะเรื่อ
ใบหน้าที่เจือไปด้วยความอ่อนหวานและบอบบางของเหยาเนียงนั้น ในยามนี้พลันทะมึนตึงดำคล้ำขึ้นมานางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเซียวอวี้ ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า“คิดไม่ถึงใช่หรือไม่! พวกเจ้าคิดว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วย แม้แต่ตัวฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้ว คือข้า! เป็นข้าที่วางยาพิษฝ่าบาท!“ฝ่าบาท ข้าต้องขอบพระทัยท่านยิ่งนัก“ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกระทำการสิ่งใดมักจะระมัดระวัง หากมิใช่ในปีนั้นท่านนึกสงสารบ่าว ทั้งยังให้พระสนมซูเฟยพาตัวบ่าวมาที่ตำหนักเว่ยยาง บ่าวก็คงมิมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเช่นนี้อย่างแน่นอน… ฮ่าฮ่า!”ดวงตาของเซียวอวี้พลางเจือไปด้วยความเย็นชาที่นางพูดขึ้นมาเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการให้เซียวอวี้โมโหขึ้นมาเท่านั้นทว่า……เซียวอวี้หาได้คิดสนใจไม่ ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจักสิ้นพระชนม์อย่างไร!บุรุษที่ทอดทิ้งเสด็จแม่ของเขาไปราวกับสิ่งของไร้ค่า ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ของแว่นแคว้นเขานั้น หาได้ทำสิ่งใดผิดไปไม่ ทว่า ในฐานะบิดาและสามี เขาสมควรตกตายไปนานแล้ว!“เราอยากให้นางแม้อยู่ก็มิมีหนทางรอด อยากตายก็มิอาจตายได้
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้