ณ แคว้นซีหนี่ว์หลายวันมานี้มีหมอเทวดาท่านหนึ่งมา ด้วยการรักษาของเขา อาการป่วยของประมุขแคว้นเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นคนล้วนพูดกันว่าเรื่องน่ายินดีทำให้จิตใจเบิกบาน พอท่านประมุขแคว้นหาใต้เท้าซู่ยวนผู้เป็นน้องสาวพบ อาการป่วยก็ดีขึ้นภายในห้องโถงด้านข้างสีหน้าของหลิวอิ๋งดูดำมืดอย่างยิ่งเดิมคิดว่าประมุขแคว้นนี่ใกล้จะตายแล้วนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะอาการดีขึ้นเช่นนี้!หมอสมควรตายนี่โผล่มาจากที่ใดกัน!ยามนี้ดูไปแล้ว ประมุขแคว้นนั่นคงจะไม่ตายในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้แล้วในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อไหร่จะถึงคราวที่นางได้เป็นประมุขแคว้นล่ะ?ความทะเยอทะยานในดวงตาของหลิวอิ๋งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆไม่ได้!นางจะรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นางต้องทำอะไรซักอย่างหลิวอิ๋งลุกขึ้นยืนทันที แล้วไปขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้นภายในตำหนักบรรทมประมุขแคว้นเพิ่งจะดื่มยาเสร็จหลิวอิ๋งเดินเข้าไปด้านหน้าแท่นบรรทม แล้วโค้งกายคารวะ“ท่านพี่”ประมุขแคว้นเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาแฝงด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยน“ซู่ยวน เจ้ามาแล้วหรือ ทำไม มีเรื่องอะไรหรือ?”สาวใช้ยกเก้าอี้กลมเข้ามา หลิวอิ๋งนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาตินางเริ่มพูดอย่า
……กลางเดือนสิบอากาศหนาวเย็นบนภูเขาหวูหยาเริ่มทวีความเข้มข้น ราวกับเข้าสู่ช่วงหนาวเย็นแห่งเหมันต์บนภูเขาหวูหยาแห่งนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ห่างหายจากการฝึกวิชายุทธ์ต่อให้อากาศจะหนาวเหน็บ นางก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าทุกวันวันนี้ นางได้เจอเสวียนหลิงเฟิง ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางลมหนาว ในอาภรณ์ตัวบาง กลับไม่เห็นความอิดโรยใด ๆ ทั่วสรรค์พางกายเหมือนเซียนเฒ่าลงมาจุติโลกมนุษย์ เปล่งประกายออกมาเดิมนางอยากไปฝึกที่อื่น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสวียนหลิงเฟิงพูดคำปริศนาออกมา“มันเป็นโชคชะตา ย่อมหลีกหนีไม่พ้น” เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยโชคชะตาอะไร?หรือหมายถึง ชั่วชีวิตนี้นางจะไม่มีลูกอีก อย่าฝืนโชคชะตาอย่างนั้นหรือ?ไม่นาน เซียวอวี้ก็ตามมาเช้านี้เขาได้รับสาส์นลับจากเมืองหลวง จึงเสียเวลาไปหน่อยเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางลมหนาว ไม่ไหวติง เขาก็รีบเดินเข้าไป“เป็นอะไรไป?”เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมาหาเขา นัยน์ตาก่อเกิดความเด็ดเดี่ยว“ฝ่าบาท หลังจากกลับไปที่วังหลวง ขอให้ท่านกระจายความโปรดปรานให้เหล่านางสนมอย่างทั่วถึง”สีหน้าของเซียวอวี้อึมครึมเล็กน้อย“เจ้าพูดไร้
หยิ่นลิ่วส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเปิดอ่าน กลับเห็นเป็นลายมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ ——[มารเดาเจ้ามีบุญคุณต่อซู่ยวน เราจึงเชิญนางมาแคว้นซีหนี่ว์เพื่อพบปะกัน และในวันหน้าจะให้คนไปส่งท่านกลับอย่างปอดภัย]“เป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวอวี้ถามอย่างเป็นห่วงเฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา แววตาเยือกเย็นแน่นิ่ง“เป็นฝีมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกนางจับตัวแม่ยายไป เพื่ออะไร?”เฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ย“บางที ประมุขคงสงสัยว่าแม่ของข้าคือซูย่วน”ความเป็นไปได้ที่นางคาดเดาไว้ ประมุขแคว้นซีหนี่ว์เองก็น่าจะคาดเดาได้เหมือนกันแต่ไม่คิดเลยว่า อีกฝ่ายจะใช้วิธีที่ตรงไปตรงมา——ด้วยจับตัวไปเช่นนี้ทว่า ในเมื่อเป็นการพิสูจน์ความแน่ใจเกี่ยวกับตัวตนของซูย่วน ท่านแม่ก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรเฟิ่งจิ่วหยียนจ้องไปทางทิศตะวันออกด้วยแววตานิ่งงันเทียบกับเรื่องที่ท่านแม่ถูกพาตัวไป นางสนใจว่า ผู้ใดคือซูย่วนมากกว่านางกำชับหยิ่นลิ่ว“ไปบอกจวนพลทหาร ท่านแม่ไม่ได้เป็นอะไรมาก อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม”“รับทราบ!”เซียวอวี้เสนอ “เราจะส่งคนไปท
นายหญิงเฟิ่งสงสัยในตัวตนของหลิวอิ๋งแต่บางอย่าง นางไม่สามารถพูดออกไปในตอนนี้อาอิ๋งกับประมุขแคว้นซีหนี่ว์นับญาติกัน เพราะมีหลักฐานยืนยันยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้อาอิ๋งหน้าเหมือนท่านแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่า อาอิ๋งคือลูกแท้ ๆ ของท่านแม่บางที อาอิ๋งอาจจะเป็นน้องสาวของประมุขแคว้นซีหนี่ว์จริง ๆ…ประมุขแคว้นซีหนี่ว์จ้องนางเขม็ง สายตาลุ่มลึกคลุมเครือโอวหยางเหลียนที่นั่งอยู่ยิ้มอย่างใจดี“ฮูหยินเฟิ่ง หลายปีมานี้ ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยดูแลซู่ยวนมาโดยตลอด แน่นอนว่าที่เชิญท่านมา ไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงอยากแสดงความขอบคุณต่อท่าน ท่านอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์สักพักดีหรือไม่?“ท่านสบายใจได้ ประมุขแคว้นของเราส่งจดหมายไปบอกฮ่องเต้ฉีกับฮองเฮาแล้ว พวกนางต่างรู้ว่าท่านอยู่ที่ใด”นายหญิงเฟิ่งมีสีหน้าตกตะลึง พลันผุดตัวลุกขึ้น“อาอิ๋งอยู่ที่ใด? ข้าอยากเจอนาง”นางเสียมารยาทบ้าง ทว่า ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไม่ถือสาฝ่ายหลังเป็นผู้ใจกว้าง จึงออกคำสั่งมั่วซินหมัวมัว“พาฮูหยินเฟิ่งไปที่ตำหนักข้าง”“เพคะ ท่านประมุข”จากตรงนี้ถึงตำหนักข้าง ใช้เวลาไม่นาน นายหญิงเฟิ่งกลับรู้สึกว่า เส้นทางนี้
นายหญิงเฟิ่งยืนอึ้งอยู่กับที่เจิ้งจีพร่ำเพ้อถึงฝ่าบาท ทั้งยังคิดจะตั้งครรภ์ราชโอรส!เช่นนั้นก็ไม่แปลกใจ ที่จิ่วเหยียนจะไล่พวกนางออกไป“อาอิ๋ง เรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่?” ความรู้สึกผิดบนใบหน้าของนายหญิงเฟิ่งเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นซักถามหลิวอิ๋งไม่ปฏิเสธ“ท่านพี่ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน เด็กที่เจิ้งจีคลอดออกมา ก็คือหลานของฮองเฮา แทนที่จะเสียเปรียบให้นางสนมคนอื่น มิสู้…”“อาอิ๋ง เจ้าเลอะเลือนหรือไร!” นายหญิงเฟิ่งตำหนิอย่างเด็ดขาดไม่คิดเลยว่าอาอิ๋งจะมีความคิดเช่นนี้นายหญิงเฟิ่งตำหนิพวกนางต่อ“พวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าถึงได้คิดเยี่ยงนี้! จิ่วเหยียนลูกของข้า ไม่ชอบให้มีอะไรขัดหูขัดตา พวกเจ้าคิดจะให้ท่าฝ่าบาทต่อหน้าต่อตานางเช่นนี้ แล้วจะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร?”เจิ้งจีเลิกเสแสร้ง แสยะยิ้มออกมา“ให้ท่าอะไร? ลูกสาวของท่านไม่มีน้ำยาเอง ยังมีหน้าอยากครอบครองฝ่าบาทอีก! ต่อให้ไม่มีข้า ไม่ช้าก็เร็วฝ่าบาทก็ต้องให้ความโปรดปรานแก่สตรีคนอื่นอยู่ดี ถึงเวลานั้น พวกท่านสองแม่ลูกต้องร้องไห้แน่!”หลิวอิ๋งเองก็ห้ามปรามด้วยน้ำเสียงไพเราะ“ท่านพี่ แม้นข้าจะเป็นคนของแคว้นซีหนี่ว์ แต่พวกเราก็เป็
มั่วซินหมัวมัวเห็นนายหญิงเฟิ่งทรุดนั่งบนเก้าอี้ ท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว ก็รีบเข้าไปประคองนางขึ้นมา“ฮูหยินเฟิ่ง ท่านเป็นอะไรไป!”หลิวอิ๋งเองก็รีบลุกขึ้น “มั่วซิน รีบไปเรียกหมอหลวงมา ไม่รู้นางเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็หายใจไม่ออก”ไม่นาน หมอหลวงก็มาหลังจากฝังเข็มเสร็จ อาการของนายหญิงเฟิ่งก็ดีขึ้นเพียงแต่ แววตาของนางว่างเปล่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่เจิ้งจียืนอยู่ข้างมารดา ดวงตาเต็มไปด้วยแววคาดโทษนังแก่นี่ กล้าปากมากก็ลองดู!ทว่า ต่อให้ท่านป้าผู้เป็นประมุขแคว้นรู้แล้วอย่างไร? นางกับท่านแม่ต่างหากคือครอบครัวเดียวกัน แล้วนังแก่นี่เป็นใคร?ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน นายหญิงเฟิ่งก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมา“ข้าจะกลับแคว้นหนานฉี”มั่วซินหมัวมัวมีสีหน้าเรียบเฉย “รอบ่าวไปเรียนแจ้งประมุขแคว้นสักครู่”หลิวอิ๋งค่อนข้างสงสัยฉงนใจถึงขั้นส่งมั่วซินหมัวมัวตามมาที่ตำหนักข้างด้วยขนาดนี้ เหมือนประมุขแคว้นจะใส่ใจหลิวหนิงมากเกินไปแล้วทว่า ประมุขแคว้นยอมให้นายหญิงเฟิ่งกลับไปที่แคว้นหนานฉีทันที ทำลายล้างความสงสัยของหลิวอิ๋งนายหญิงเฟิ่งออกจากวังหลวง โดยมีหลิวอิ๋งมาส่งนางขณะกำลังจะแยกจากกัน หลิวอิ๋งก็แสร้
“ออกไปให้หมด” ประมุขแคว้นออกคำสั่งเหล่าขุนนาง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้มั่วซินหมัวมัว พาเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาสองเค่อยามต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงห้องบรรทมนางอยู่ในชุดสีเข้ม ใบหน้าสุขุมเยือกเย็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ไล่ข้าหลวงทุกคนออกไป เหลือไว้เพียงมั่วซินหมัวมัวคนเดียว“ท่านแม่ของข้าอยู่ที่ใด” เฟิ่งจิ่วเหยียนถามเข้าประเด็นทันทีประมุขแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “นั่งลงคุยกันก่อนสิ”เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับนางจ้องประมุขบนเตียงอย่างแน่นิ่งไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน อาการป่วยของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน“ท่านต้องการตามหาซู่ยวน หากไม่มีอะไรผิดพลาด ท่านแม่ของข้าคือ…”ประมุขแคว้นยิ้มมุมปากเบา ๆ“เจ้าก็รู้นี่ ว่าแม่ของเจ้าหน้าคล้ายหลายส่วน…แค่ก ๆ!”พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ นางก็เริ่มไอออกมามั่วซินหมัวมัวรีบเข้าไปช่วย ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองรับเลือดที่ประมุขแคว้นอาเจียนออกมาประมุขแคว้นค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองเฟิ่งจิ่วเหยียน“เด็กน้อย เจ้ามานี่สิ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองนาง ไม่ขยับไหวติงมั่วซินหมัวมัวเห็นเช
ภายในห้องบรรทมประมุขแคว้นถอดเสื้อคลุมมังกรออก เปลี่ยนใส่เสื้อคลุมเรียบง่ายเจิ้งจีเดินเข้ามา ถามอย่างสงสัย“ท่านป้า นี่ท่านกำลังจะไปที่ไหน?”ประมุขแคว้นมีสีหน้าราบเรียบ “ตรวจลาดตระเวนการประปา”เจิ้งจีเดินเข้าไปประคองแขนของประมุขแคว้นอย่างสนิทสนม แล้วออดอ้อนนาง“ท่านป้าช่างมุ่งมั่นเพื่อประชาชนจริง ๆ!“ฮ่องเต้ทั่วใต้หล้านี้ ไม่มีผู้ใดดีเท่าท่านแล้ว“ท่านป้า เมื่อครู่ข้าเห็นฮองเฮาแคว้นหนานฉี นางมาทำไมหรือ?”ประมุขแคว้นกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ พูดอย่างสงบนิ่งเป็นพิเศษ “นางติดตามฮ่องเต้ฉีใส่ชุดสามัญชนออกเยี่ยมแต่ละแคว้น จึงตั้งใจแวะเวียนมาที่แคว้นซีหนี่ว์ เพื่อเจรจาเรื่องพันธมิตรของทั้งสองแคว้น”“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้น…ฮ่องเต้ฉีเสด็จมาหรือไม่?” เจิ้งจีสนใจฮ่องเต้ฉี มากกว่าสนใจป้าของตัวเอง จนไม่สังเกตว่า ประมุขแคว้นที่อยู่ข้าง ๆ ริมฝีปากเริ่มซีดขาวอย่างมากมั่วซินหมัวมัวเดินเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ“ท่านประมุข รถม้าเตรียมเสร็จแล้ว”ประมุขแคว้นดึงแขนตัวเองออก ก่อนจะไปก็กำชับเจิ้งจีว่า“เจ้ากับแม่ของเจ้าอยู่ในวังกันดี ๆ พรุ่งนี้เตรียมออกปฏิบัติภารกิจราชทูตที่แคว้นหนานฉี”
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้