LOGINไปถึงลานวัดสามสาวที่ยังโสดก็ปูเสื่อนั่งดูหมอลำด้วยกัน หนุ่ม ๆ หลายคนจ้องสาวสวยกลุ่มนี้ไม่วางตา แต่เพราะรอบข้างมีพ่อแม่นั่งอยู่ด้วย หนุ่ม ๆ พวกนั้นจึงอดได้เข้าใกล้ ใครจะรู้ว่าคืนนั้นจันทร์แรมแอบพกเบียร์ไปด้วยสองขวด และเทียวรินให้จันดีกับเบญญาหมุนเวียนกันไปจนหมดพร้อมกับดูหมอลำไปด้วย เนื่องจากวันนั้นเป็นงานบุญใหญ่ขุนกับฉวีจึงปล่อยลูกให้กินดื่มอย่างอิสระ อย่างไรลูกก็อยู่ในสายตาพ่อกับแม่ตลอดเวลา
เวลาประมาณตีสองจันดีรู้สึกไม่ไหวจึงชวนพี่สาวทั้งสองกลับ จันทร์แรมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะยังอยากดูฉากที่ตัวโกงกำลังจะตบนางเอก แต่เธอก็รู้สึกเมาเหมือนกันจึงยอมกลับไปกับน้องสาวและเบญญาแต่โดยดี
กลับมาถึงบ้านจันดีรีบบอกพี่สาวว่าอยากจะอาเจียนจึงรีบวิ่งไปหลังบ้านซึ่งมีห้องน้ำอยู่ตรงนั้น พี่สาวทั้งสองที่เมามากเหมือนกันก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นต่างคนต่างนอนที่ลานบ้านชั้นล่างโดยจันทร์แรมกับเบญญาไม่ได้สนใจว่าจันดีจะเข้ามานอนหรือยัง
จันดีอาเจียนไปมาก พอจะเดินกลับเข้าไปในบ้านก็รู้สึกว่าตนเดินไม่ไหวเสียแล้ว เธอเหลือบเห็นกระท่อมที่อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ จึงคิดจะเดินไปนั่งพักตรงนั้นสักครู่ ถึงตรงนั้นจะมีต้นมะม่วงและมืดมากก็ตาม แต่ที่นี่ก็เป็นบ้านญาติ จันดีทิ้งกายโอนเอนลงนอนแผ่หลาบนกระท่อมที่ปูด้วยริ้วไม้ไผ่ ถึงแม้คืนนั้นเธอจะเมามากแต่เธอก็ยังมีเวลาฝันว่าได้ร่วมรักกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ในฝันเธอมองไม่เห็นหน้าเขา รู้เพียงว่าเธอกับเขาส่งเสียงครางกระเส่าประสานกันไม่ขาดสาย และเธอไม่ได้ฝันเพียงแค่ครั้งเดียว น่าจะสามหรือสี่กระมัง
เกือบรุ่งสางจันดีได้ยินเสียงเรียกมาจากทางหน้าบ้าน เธอสะดุ้งตื่นแล้วลุกพรวดขึ้น สายตาเหลือบมองด้านข้างก็ตกใจสุดขีด เมื่อรู้ว่าเมื่อคืนตนไม่ได้ฝันไป แต่เธอยังมีสติที่ไม่ได้กรีดร้องออกมา เพราะข้างกายมีผู้ชายตัวใหญ่นอนขดตัวหันหลังให้ เธอไม่มีโอกาสได้มองหน้าเขา เพราะเสียงแม่กำลังเดินมาทางนี้ ก้มสำรวจร่างตนเอง รีบดึงกางเกงยีนที่อยู่เกือบถึงแข้งขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย จันดีลนลานหยิบผ้าห่มที่เขาคลุมส่วนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่มาปิดก้นเขาไว้ เธอไม่มีเวลาไตร่ตรองอะไรอีก จำได้เพียงว่าก่อนวิ่งออกมาจากระท่อมเธอจำปานดำที่แก้มก้นข้างซ้ายของเขาได้อย่างขึ้นใจ
จันดีถอนหายใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ กล่าวกับตนในใจว่า ฉันจะไปตามหาผู้ชายที่มีปานดำอยู่ที่ก้นได้อย่างไร ใครจะมาเปิดก้นให้ฉันดู
“ใกล้ถึงบ้านหนองแสงแล้วครับ” จันดีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเด็กรถเดินมาบอกเธอถึงที่ จันดีจึงรีบปลุกลูกทั้งสองให้ตื่น
จันดีพาลูกนั่งรอรถสามล้อรับจ้างที่ศาลารอรถ พร้อมกับป้อนข้าวลูกกับข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อมาด้วย หมู่บ้านหนองแสงเป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่มาก มาปีนี้ถนนกลายเป็นถนนลาดยางไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าก่อนที่เธอจะมาถึงฝนเพิ่งจะหยุดตกไป เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ฝนกำลังตกชุกทีเดียว
นั่งรอแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมงยังไม่มีรถสามล้อรับจ้างมาสักคัน มีเพียงรถอีแต๊กขับผ่านเข้าหมู่บ้าน แต่ไม่มีใครกล้าจอดเพราะเธอไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา จันดีตัดสินใจพาลูกทั้งสองเดินเท้าเข้าหมู่บ้าน ป้ายด้านหน้าบอกว่าอีกสี่กิโลเมตรถึงบ้านหนองแสง ระหว่างทางเธอต้องเจอรถสักคันบ้างละ
ลูกทั้งสองเดินขนาบข้างแม่อย่างไม่ย่อท้อ ถึงจะมีเหงื่อไหลอาบแก้มแต่พวกเขาก็ไม่บ่นสักคำ ยังดีที่มีรองเท้าแตะหนีบให้สวมใส่ เดินมาได้เกือบครึ่งทางท้องฟ้าด้านหน้าก็เริ่มมืดครึ้มมาอีกแล้ว และมีฝนเริ่มลงเม็ดเล็ก ๆ จันดีและเด็กทั้งสองเหลียวกลับไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงรถไถนาวิ่งมา
อ้อ มันคือรถอีแต๊ก เธอจึงรีบโบกมือเพื่อให้ผู้ชายคนนั้นจอดทันที ดูแล้วเขาน่าจะอายุมากกว่าเธอหลายปี บนรถของเขามีไม้ไผ่พาดอยู่หลายลำ
เขาจอดรถเมื่อขับมาถึงข้างหน้าสามแม่ลูก ทั้งสามท่าทางเหนื่อยมาก เพราะพวกเขาไม่เคยเดินไกลขนาดนี้ จันดีรีบเอ่ย “ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ”
“จะพากันไปไหนเหรอครับ”
“ไปบ้านหนองแสงค่ะ”
“ไปบ้านใครเหรอครับ คนในหมู่บ้านนี้ผมรู้จักดี”
“ไปบ้านป้าเฉิดค่ะ”
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นญาติป้าเฉิดนี่เอง ขึ้นมาเลยครับเดี๋ยวผมไปส่งถึงบ้านแกเลย” ชายคนนั้นพูดอย่างอัธยาศัยดีและเต็มใจช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง
จันดีรีบขอบคุณแล้วอุ้มลูกขึ้นรถอีแต๊กด้วยท่าทางกระตือรือร้น เธอดีใจมากที่มีรถผ่านมา คิดว่าวันนี้จะต้องเดินจนขาลากเสียแล้ว
“คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
“จันดีค่ะ ส่วนนี่ฉัตรกับฉายลูกฉันเองค่ะ” จันดีพูดแล้วหันไปบอกลูกแฝดชายหญิงแล้วกล่าว “ไหว้ลุงสิลูก”
ทั้งสองพนมมือไหว้ แต่ไม่ได้กล่าวคำใด แถมยังทำท่าคล้ายกับกลัวผู้ชายคนนั้นอยู่บ้าง มือทั้งสองกอดแขนแม่คนละข้าง เพราะพวกเขาไม่เคยได้ออกไปไหนมาไหน ไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้า
ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้เด็กทั้งสอง รู้สึกถูกชะตาสามแม่ลูกนี้ยิ่งนัก “ผมอาทิตย์ครับ”
จันดียิ้มให้ด้วยความยินดีที่ได้รู้จักคนมีน้ำใจ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้แปลว่าเธอจะไว้ใจเขา ถึงผู้ชายคนนี้จะรูปร่างสูงโปร่ง และหน้าตาดีมากแค่ไหนก็ตาม
ลูกทั้งสองมองดูแนวภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากถนนด้วยแววตาตื่นเต้น แล้วหันมาส่งยิ้มให้แม่ รอยยิ้มนี้หาได้ยากนักหากเธอกับลูกยังอยู่บ้านหลังเดิม เด็กทั้งสองไม่เคยได้ออกไปเที่ยวไหนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก จันดียีผมลูกทั้งสองอย่างรักใคร่ บางครั้งการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายนัก เพราะแค่ได้เห็นรอยยิ้มของลูก ๆ เธอก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
วันต่อมาจันดีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ทั้งที่ยังถางหญ้าไม่เสร็จ แต่เธอรู้สึกเกรงใจลุงกับป้า จึงรีบย้ายออก และคิดว่าจะทำความสะอาดไปทุกวัน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์บ้านก็คงน่าอยู่มากแล้ว เฉิดฉันเตรียมเสื่อกก ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้งผืนใหม่ให้หลานสาวหลายชุด อีกทั้งยังเตรียมพริก เกลือ ปลาร้า และข้าวสารให้หลานสาวอีกด้วย ส่วนเครื่องครัวจันดีบอกป้าว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดเอง เย็นวันนั้นจันดีกำลังถางหญ้าอยู่ข้างกำแพง พลันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอย่างถึงพริกถึงขิง “เมื่อไรแกจะหาเงินไปใช้หนี้ครูถาสักที วันนี้เมียเขามาทวงหนี้ฉันอีกแล้วนะ” “ผมก็หาอยู่นี่ไง แม่ไม่เห็นเหรอ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอยู่นิ่งสักวัน วัน ๆ เอาแต่ทำงานงก ๆ แม่เคยเห็นผมพักบ้างไหม” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเหตุผล “ถ้าแกไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ แกก็ตัดสินใจแต่งงานกับยัยรินซะ” “ผมไม่แต่ง และจะไม่มีวันแต่งด้วย” จันดีจำได้ว่าเสียงที่ตวาดประโยคสุดท้ายนั้นเป็นเสียงของคนที่ชื่อแสงเพื่อนของชยุต และเขาคงทะเลาะอยู่กับแม่ของตน เธอถอนหายใจคล้ายปลงตก ไม่ว่าครอบคร
หลังมื้ออาหารเย็นฉัตรกุลกับฉายระวียอมนั่งเล่นกับคุณภัทรลูกชายของลุงอย่างว่าง่าย จันดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เล่าเหมือนกับเล่าให้เฉิดฉันและเบญญาฟัง คือเธอกับสามีเลิกกันตั้งแต่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงจะมีบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องโหว่ในเรื่องราวที่จันดีเล่า แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากคาดคั้นเธอมาก บางครั้งกว่าจันดีจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เธออาจจะบอบช้ำมามากแล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องที่จันดีซื้อบ้านหลังนั้น “แต่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมากเลยนะจันดี มีคนที่อยากซื้อบ้านหลังนั้นหลายคน แต่ก่อนถึงวันจ่ายเงินก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย” นอบเอ่ยขึ้นกับหลาน “แต่วันนี้ฉันจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนี่คะ” นอบหันมาสบตากับภรรยา เฉิดฉันจึงยืนยันอีกเสียง “ใช่จ้ะพี่ ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะอยากให้จันดีไปอยู่บ้านหลังนั้นก็ได้” “ฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ” จันดีว่าเสริมขึ้นอีก “ถ้าคิดอย่างนั้นฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร” นอบกล่าว
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ” “แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด “หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ” ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ” “แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว “ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกค
เฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง “บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ” “อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า” ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ” “ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่” คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน “แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ” “ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต” “ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น” “ค่ะ” เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย “หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น “ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” “จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้น
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก “จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ” “เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่







