LOGINไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก
“จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง
“เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ”
“เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่จันดีถือมาและเด็กสองคนที่เดินตามมาด้วย ใบหน้าเด็กผู้ชายคล้ายใครนะ เหมือนจะนึกออก แต่มันติดอยู่ที่ปาก
วันนี้เฉิดฉันอยู่บ้านเพียงคนเดียวเพราะคนอื่นไปทำงานกันหมด ชยุตลูกชายคนโตตอนนี้ออกเรือนไปแล้ว ส่วนเบญญาลูกสาวคนเล็กทำงานเป็นครูหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนบ้านหนองแสง
จันดีแนะนำลูกทั้งสองให้รู้จักกับยายเฉิดแล้วจึงให้เด็กได้มีเวลานั่งเล่นกันตามลำพัง
จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เฉิดฉันฟัง โดยไม่ได้กล่าวร้ายหรือพาดพิงถึงพ่อกับแม่และพี่สาวของเธอแต่อย่างใด จันดีบอกกับผู้เป็นป้าว่าเลิกกับสามีตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าตนเองท้อง และตั้งแต่คลอดเธอก็ไม่เคยพาลูกออกไปพบปะผู้คนเลย เหตุเพราะเธอรู้สึกอายและไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียหน้า ซึ่งจันดีคนก่อนมีนิสัยเช่นนั้นจริง ๆ อีกทั้งเธออยากให้ลูกได้เรียนหนังสือจึงเลือกที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ เพราะเธอไม่อยากให้คนในหมู่บ้านนั้นบูลลี่ลูกของเธอ เฉิดฉันก็รู้สึกสงสารและเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
เธอกอดปลอบหลานสาวก่อนเอ่ยถาม “แล้วฉวีก็ยอมให้แกมาอยู่กับป้าเหรอ” เฉิดฉันไม่ได้ถามหาสาเหตุของการเลิกรา เพราะไม่อยากตอกย้ำความรู้สึกของอีกฝ่าย เธอมองดูหลานสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาค้นคว้า เมื่อห้าปีก่อนจันดีเป็นคนค่อนข้างขี้อาย พูดน้อย แต่บัดนี้เธอดูเข้มแข็งและเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แม้กลายเป็นหญิงม่ายลูกสองตอนวัยยี่สิบสามในดวงตายังหาแววเศร้าไม่เจอ ในยามกล่าวถึงผู้ชายคนที่เป็นพ่อเด็ก น้ำเสียงของเธอก็ไม่ได้เจือความอาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด สงสัยเรื่องนี้จะเกิดจากความผิดพลาดที่ไร้ซึ่งความรักจริง ๆ และทั้งคู่คงไม่ได้ติดใจอะไรต่อกันอีก จะกล่าวหาว่าฝ่ายชายมีความผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขามีลูกกับจันดี
แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อเด็กเกิดมาแล้วก็ต้องเลี้ยงดูให้ดีที่สุด
“ฉันอยากมาเองค่ะ กะว่าจะมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่เลย” มาอยู่ที่นี่ไม่มีคนรู้ที่มาที่ไปของเธอกับลูก ถึงมีคนนินทาก็คงเป็นส่วนน้อย และเธอก็เลือกที่จะไม่สนใจ นานเข้าทุกคนก็คงลืมมันไปเอง แต่ถ้าอยู่ที่บ้านเดิมคำพูดของคนอื่นเธอยังพอทนหลับหูหลับตาข้างหนึ่งได้ แต่คำพูดของคนในครอบครัวช่างเป็นพิษกับเธอและลูกจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้จันดีไม่ได้เล่าให้เฉิดฉันฟัง
“ตากับยายไม่คิดถึงหลานแย่หรือไง หน้าตาหลานน่ารักออกปานนี้” เฉิดฉันเห็นแล้วยังอิจฉา เธอเพิ่งมีหลานชายที่เกิดจากลูกชายคนโตเพียงคนเดียว ตอนนี้อายุแปดขวบเรียนอยู่โรงเรียนในหมู่บ้าน แต่หลานก็ไม่ได้มาอยู่ด้วย เพราะลูกชายแยกบ้านไปแล้ว มีบ้างที่ลูกชายพาภรรยามาทำไร่ทำนาช่วยพ่อกับแม่ ส่วนลูกสาวคนเล็กเพิ่งท้องได้หกเดือน “ทำไมน้าขุนไม่ขับรถมาส่งแกกับลูกล่ะ ปล่อยให้นั่งรถโดยสารมาเองแบบนี้ได้ยังไง ทั้งกระเป๋าเดินทาง ทั้งลูกตั้งสองคน” ดูท่าคงลำบากไม่น้อย
“ฉันไม่อยากรบกวนพวกเขาน่ะค่ะ”
“ใช่เรื่องที่ต้องเกรงใจไหม พ่อกับแม่แท้ ๆ” เฉิดฉันเอ่ยตำหนิเล็กน้อย
“อย่าโทษพวกเขาเลยค่ะ ฉันมาเองได้จริง ๆ” จันดีไม่อยากเอ่ยถึงคนใจดำพวกนั้นอีก จากนี้ต่อไปถือว่าเธอไม่มีพ่อแม่และพี่สาวอีก ถ้าเป็นจันดีคนก่อนเธอคงเสียใจมากที่ต้องเดินทางมาเองแบบนี้ แต่จันดีคนนี้ไม่ได้มีความรู้สึกกับคนพวกนั้น เธอจึงไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับเธอ “ว่าแต่ ในหมู่บ้านนี้พอจะมีบ้านเช่าไหมคะ”
“แกจะไม่อยู่กับป้าเหรอ”
“ยังไงวันหนึ่งฉันกับลูกก็ต้องย้ายออกอยู่ดี สู้หาเช่าบ้านเองดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากรบกวนป้า” การอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ สักวันต้องมีปัญหา แม้แต่พ่อกับแม่แท้ ๆ และพี่น้องสายเลือดเดียวกันยังมีปัญหา นับประสาอะไรกับครอบครัวของป้า เธอขอแยกบ้านอยู่กับลูกสบายใจกว่า
“ถ้าแกต้องการอย่างนั้นป้าก็จะไม่ห้าม” เฉิดฉันพูดเสียงเนิบช้า “ห้องเช่ามันก็พอมีแต่มันราคาค่อนข้างแพง เพราะพวกฝรั่งเขามาเที่ยวแล้วก็มาเช่าอยู่ คนปล่อยเช่าจึงตั้งราคานักท่องเที่ยวเอาไว้” หมู่บ้านนี้ช่วงฤดูหนาวจะมีคนต่างจังหวัดหรือชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากพวกเขาจะมานั่งเรือชมบรรยากาศตามแนวริมฝั่งแม่น้ำโขงแล้ว ยังมาไหว้พระตามวัดริมฝั่งโขงด้วย
อีกทั้งยังแวะชมผ้าย้อมโคลนซึ่งเป็นสินค้าโอทอปของคนในหมู่บ้านนี้ด้วย จึงทำให้ห้องพักห้องเช่าแถวนี้มีราคาสูงอยู่สักหน่อย ถ้าค้างสักสองสามคืนก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าอาศัยอยู่เป็นเดือนเป็นปีคงไม่เหมาะเท่าไรนัก แต่สำหรับชาวต่างชาติไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้
“แล้วพอจะมีใครประกาศขายบ้านหรือที่ดินบ้างไหมคะ” แม้เป็นที่ดินเปล่า เธอยังสามารถสร้างกระท่อมชั่วคราวอยู่ได้ เพราะดินแถวนี้คงมีราคาสูงมาก เงินสองสามหมื่นไม่รู้จะซื้อได้กี่ตารางเมตร
เฉิดฉันนั่งคิด ยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงจากด้านนอกดังขึ้น
“แม่เฉิดอยู่ไหมครับ”
วันต่อมาจันดีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ทั้งที่ยังถางหญ้าไม่เสร็จ แต่เธอรู้สึกเกรงใจลุงกับป้า จึงรีบย้ายออก และคิดว่าจะทำความสะอาดไปทุกวัน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์บ้านก็คงน่าอยู่มากแล้ว เฉิดฉันเตรียมเสื่อกก ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้งผืนใหม่ให้หลานสาวหลายชุด อีกทั้งยังเตรียมพริก เกลือ ปลาร้า และข้าวสารให้หลานสาวอีกด้วย ส่วนเครื่องครัวจันดีบอกป้าว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดเอง เย็นวันนั้นจันดีกำลังถางหญ้าอยู่ข้างกำแพง พลันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอย่างถึงพริกถึงขิง “เมื่อไรแกจะหาเงินไปใช้หนี้ครูถาสักที วันนี้เมียเขามาทวงหนี้ฉันอีกแล้วนะ” “ผมก็หาอยู่นี่ไง แม่ไม่เห็นเหรอ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอยู่นิ่งสักวัน วัน ๆ เอาแต่ทำงานงก ๆ แม่เคยเห็นผมพักบ้างไหม” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเหตุผล “ถ้าแกไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ แกก็ตัดสินใจแต่งงานกับยัยรินซะ” “ผมไม่แต่ง และจะไม่มีวันแต่งด้วย” จันดีจำได้ว่าเสียงที่ตวาดประโยคสุดท้ายนั้นเป็นเสียงของคนที่ชื่อแสงเพื่อนของชยุต และเขาคงทะเลาะอยู่กับแม่ของตน เธอถอนหายใจคล้ายปลงตก ไม่ว่าครอบคร
หลังมื้ออาหารเย็นฉัตรกุลกับฉายระวียอมนั่งเล่นกับคุณภัทรลูกชายของลุงอย่างว่าง่าย จันดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เล่าเหมือนกับเล่าให้เฉิดฉันและเบญญาฟัง คือเธอกับสามีเลิกกันตั้งแต่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงจะมีบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องโหว่ในเรื่องราวที่จันดีเล่า แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากคาดคั้นเธอมาก บางครั้งกว่าจันดีจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เธออาจจะบอบช้ำมามากแล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องที่จันดีซื้อบ้านหลังนั้น “แต่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมากเลยนะจันดี มีคนที่อยากซื้อบ้านหลังนั้นหลายคน แต่ก่อนถึงวันจ่ายเงินก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย” นอบเอ่ยขึ้นกับหลาน “แต่วันนี้ฉันจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนี่คะ” นอบหันมาสบตากับภรรยา เฉิดฉันจึงยืนยันอีกเสียง “ใช่จ้ะพี่ ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะอยากให้จันดีไปอยู่บ้านหลังนั้นก็ได้” “ฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ” จันดีว่าเสริมขึ้นอีก “ถ้าคิดอย่างนั้นฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร” นอบกล่าว
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ” “แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด “หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ” ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ” “แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว “ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกค
เฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง “บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ” “อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า” ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ” “ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่” คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน “แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ” “ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต” “ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น” “ค่ะ” เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย “หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น “ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” “จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้น
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก “จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ” “เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่







