LOGINหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ จันดีกับลูกก็ช่วยกันเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง จันดีคนใหม่ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเหมือนจันดีคนเก่า เธอดีใจด้วยซ้ำที่จะได้ออกจากกรงขังแห่งนี้ ที่พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ถึงแม้จะเรียนจบชั้นมัธยมปลายเหมือนกัน แต่พ่อกับแม่ก็รักพี่สาวมากกว่า ยิ่งตอนที่พี่สาวสอบไปทำงานที่ประเทศเกาหลีได้ พ่อกับแม่ยิ่งรักพี่สาวมากขึ้น
ถึงเวลาเข้านอนจันดีก็เข้านอนในห้องพร้อมกับลูกโดยไม่พูดไม่จากับใครในบ้านให้เปลืองน้ำลาย ปล่อยให้พ่อแม่และพี่สาวยืนงงอยู่อย่างนั้น จันดีคนใหม่ไม่ได้สนใจสายตาใครอยู่แล้ว ทำเหมือนทุกคนเป็นอากาศ ก็เธอผ่านโลกมามากมายแล้วนี่ เรื่องแค่นี้ทำไมจะรับมือไม่ได้
“จันดีมันดูแปลกไปนะแม่ ตั้งแต่มันฟื้นขึ้นมาฉันยังไม่เห็นน้ำตามันสักหยด ดูเหมือนมันจะดีใจด้วยซ้ำที่มันได้ไปจากบ้านหลังนี้” จันทร์แรมพูดกับแม่โดยมีพ่อนั่งอยู่ด้วย พ่อแม่ลูกทั้งสามกำลังนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกันอยู่ชั้นล่างของบ้าน
“ฉันก็คิดอย่างนั้น มันเป็นคนบอกเองว่าจะไปอยู่กับป้าเฉิด ไม่รู้ว่ามันกล้าตัดสินใจได้ยังไง” เดิมทีจันดีเป็นคนขี้กลัว ไม่กล้านั่งรถไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ตอนนี้เธอกล้าตัดสินใจไปไกลถึงต่างจังหวัด
ขุนจึงพูดขึ้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ปล่อยมันไปเถอะน่า มันไม่อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว คนจะได้เลิกนินทาครอบครัวเราสักที” แค่เรื่องที่จันดีก่อไว้เมื่อเช้า คนก็เอาไปพูดกันสนุกปากแล้ว ถ้าจันดียังอยู่ที่นี่ ย่อมมีเรื่องให้ชาวบ้านนินทาไม่จบไม่สิ้น
“ใช่แล้วค่ะแม่ ปล่อยมันไปเถอะ ถ้ามันยังอยู่ที่นี่ ฉันคงขายไม่ออกแน่”
“ต้องขายออกอยู่แล้วแหละ ลูกแม่สวยขนาดนี้” น่าเสียดายที่เธอมีลูกสาวสวยถึงสองคน แต่จันดีกลับทำตัวไร้ค่า แม้แต่ค่าสินสอดบาทเดียวก็ไม่ได้ ซ้ำยังต้องเลี้ยงเด็กสองคนนั้นอีก
จันทร์แรมยิ้มกว้างทำท่าประจบแม่พร้อมพูดต่อว่า “ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีกยิ่งดี”
“พ่อกับแม่ไม่ให้มันกลับมาอีกหรอก” ผู้เป็นแม่ย้ำอีกครั้ง
เช้าวันต่อมาจันดีกับลูกนั่งรถโดยสารประจำทางออกจากหมู่บ้านโคกเล้าเข้าตลาด เพื่อนั่งรถบัสต่อไปที่จังหวัดบึงกาฬอีกทอดหนึ่ง ทั้งพ่อแม่และพี่สาวไม่มีใครคิดจะมาส่งเธอกับลูกแม้แต่คนเดียว พวกเขาคงรู้สึกอายชาวบ้านจนไม่กล้าสู้หน้าใคร ที่จู่ ๆ ลูกสาวคนเล็กที่เป็นคนเรียบร้อย ว่านอนสอนง่ายบวกกับหน้าตาดี จะกลายเป็นแม่ม่ายลูกสองแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก โดยที่คนในหมู่บ้านไม่เคยระแคะระคายมาก่อน กระทั่งวันที่เธอคิดฆ่าตัวตาย คนในหมู่บ้านถึงได้รู้เรื่องโดยทั่วกัน และพูดให้จันดีเสียหายไปต่าง ๆ นานา แต่จันดีคนนี้หาได้สนใจคำนินทาพวกนั้นไม่ แม้อยู่บนรถโดยสารโดนคนนินทาระยะเผาขน แต่จันดีก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด
แต่เธอจำคำที่คนในครอบครัวบอกเธอกับลูกก่อนเดินออกจากบ้านได้ขึ้นใจ พวกเขาบอกว่า ‘ต่อไปนี้ไม่ต้องคิดว่าพวกเขาเป็นญาติอีก’
แน่นอนเมื่อก้าวขาออกมาแล้ว เธอไม่มีทางกลับไปที่นั่นอีกเป็นอันขาด
มาถึงตลาดจันดีพาลูกแวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งและน้ำดื่มอีกสองขวด บนบ่าสะพายกระเป๋าเดินทางทรงสี่เหลี่ยมใบใหญ่ มือสองข้างจับจูงลูกทั้งสองตลอดเวลา จากนั้นเดินไปที่ป้ายรถประจำทาง รถบัสที่จะไปจังหวัดบึงกาฬต้องผ่านทางนี้
พอรถมาถึงจันดีให้ลูกขึ้นรถไปก่อน เธอเดินตามหลังจากนั้นก็มองหาที่นั่ง เธอพาลูกเดินไปนั่งเบาะหลังสุดที่ยังว่างอยู่ และเป็นเบาะที่นั่งได้หลายคน นั่งรถมาเกือบสามสิบนาทีลูกทั้งสองก็ผล็อยหลับไป ลมจากหน้าต่างบานกระจกทำให้ปอยผมที่หลุดออกมาจากการรวบมัดปลิวไสว
จันดีก้มมองลูกด้วยความเวทนา เด็กตัวแค่นี้จะเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่ได้อย่างไร พวกเขาก็เหมือนผ้าขาว นอกจากไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครแล้วยังไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้แม่แท้ ๆ ของพวกเขาก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว จันดีถอนหายใจยาวคราหนึ่ง อย่างไรเธอก็ต้องเลี้ยงเด็กสองคนนี้ให้ดีที่สุด แต่ถึงเธอจะบอกว่าในโลกนี้เธอไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แต่ก็ยังนึกหวั่นใจอยู่ว่าเฉิดฉันผู้เป็นป้าจะต้อนรับเธอกับลูกหรือไม่ เพราะไปครั้งนี้เธอไม่ได้แค่ไปเยี่ยมเยียนเหมือนเมื่อคราวห้าปีก่อน
จันดีโน้มตัวลูกทั้งสองที่นั่งหลับเข้ามาหาตนแล้วโอบไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเธอพิงศีรษะกับเบาะแล้วคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ความทรงจำมันช่างเลือนรางนัก
วันนั้นเธอกับครอบครัวไปเที่ยวตลาดริมฝั่งแม่น้ำโขงที่อำเภอบึงกาฬ ขากลับแม่จึงบอกพ่อพาไปเยี่ยมป้าเฉิดซึ่งเป็นพี่สาวของแม่แท้ ๆ ที่หมู่บ้านหนองแสง ซึ่งอยู่อำเภอเดียวกัน และหมู่บ้านนั้นยังอยู่ติดกับริมฝั่งแม่น้ำโขงอีกด้วย ประจวบเหมาะกับที่ไปถึงหมู่บ้านนั้นมีงานบุญพระเวสสันดรหรือบุญเดือนสี่ตามประเพณีอีสาน ส่วนที่บ้านโคกเล้าจัดไปแล้วเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ทุกคนจะมาเที่ยวที่บึงกาฬ พอเฉิดฉันรู้ว่าน้องสาวพาครอบครัวมาเยี่ยมเธอก็ดีใจมากและรั้งให้น้องสาวอยู่ดูหมอลำคณะใหญ่คืนนี้ด้วยกัน
ด้วยความที่เหลือกันอยู่เพียงสองคนพี่น้อง เพราะพ่อกับแม่ตายจากไปเมื่อหลายปีก่อน ฉวีจึงตัดสินใจอยู่ร่วมงานบุญกับพี่สาวและยอมนอนค้างคืนที่บ้านพี่สาว จันดีกับจันทร์แรมเพิ่งอยู่ในวัยสาวตอนนั้นจันดีเพิ่งเรียนจบชั้นมอหกหมาด ๆ ทั้งสองดีใจมากที่จะได้ดูหมอลำคณะดังในปีนั้น
วันนั้นที่บ้านเฉิดฉันมีแขกมาเต็มบ้าน บางส่วนนั่งกินอาหารและดื่มสุรากันอยู่ที่แคร่และกระท่อมด้านนอก มีพี่น้องฝั่งสามีของเฉิดฉันมาจากต่างจังหวัดด้วย จันทร์แรมคอยเดินเข้าออกภายในบ้านและคอยเล่าเรื่องราวให้น้องสาวฟัง ส่วนจันดีได้แต่นั่งอยู่ในบ้านเพราะพี่สาวรินเบียร์ให้เธอไปหลายแก้ว จึงรู้สึกมึนศีรษะอยู่บ้าง เธอกับพี่สาวนั่งดื่มกินอยู่กับเบญญาลูกสาวคนเล็กของเฉิดฉัน แต่ก็อายุมากกว่าจันดีสามปี มากกว่าจันทร์แรมหนึ่งปี
เวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น จันดีเริ่มรู้สึกเมาเล็กน้อย เธอเริ่มไม่อยากไปดูหมอลำแล้วเพราะกลัวตัวเองไม่ไหวและกลัวนอนหลับอยู่หน้าเวทีหมอลำ แต่อย่างไรก็ทนการรบเร้าของพี่สาวทั้งสองไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องไปด้วยกัน โดยจันดีกับจันทร์แรมสวมชุดของเบญญา
วันต่อมาจันดีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ทั้งที่ยังถางหญ้าไม่เสร็จ แต่เธอรู้สึกเกรงใจลุงกับป้า จึงรีบย้ายออก และคิดว่าจะทำความสะอาดไปทุกวัน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์บ้านก็คงน่าอยู่มากแล้ว เฉิดฉันเตรียมเสื่อกก ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้งผืนใหม่ให้หลานสาวหลายชุด อีกทั้งยังเตรียมพริก เกลือ ปลาร้า และข้าวสารให้หลานสาวอีกด้วย ส่วนเครื่องครัวจันดีบอกป้าว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดเอง เย็นวันนั้นจันดีกำลังถางหญ้าอยู่ข้างกำแพง พลันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอย่างถึงพริกถึงขิง “เมื่อไรแกจะหาเงินไปใช้หนี้ครูถาสักที วันนี้เมียเขามาทวงหนี้ฉันอีกแล้วนะ” “ผมก็หาอยู่นี่ไง แม่ไม่เห็นเหรอ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอยู่นิ่งสักวัน วัน ๆ เอาแต่ทำงานงก ๆ แม่เคยเห็นผมพักบ้างไหม” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเหตุผล “ถ้าแกไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ แกก็ตัดสินใจแต่งงานกับยัยรินซะ” “ผมไม่แต่ง และจะไม่มีวันแต่งด้วย” จันดีจำได้ว่าเสียงที่ตวาดประโยคสุดท้ายนั้นเป็นเสียงของคนที่ชื่อแสงเพื่อนของชยุต และเขาคงทะเลาะอยู่กับแม่ของตน เธอถอนหายใจคล้ายปลงตก ไม่ว่าครอบคร
หลังมื้ออาหารเย็นฉัตรกุลกับฉายระวียอมนั่งเล่นกับคุณภัทรลูกชายของลุงอย่างว่าง่าย จันดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เล่าเหมือนกับเล่าให้เฉิดฉันและเบญญาฟัง คือเธอกับสามีเลิกกันตั้งแต่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงจะมีบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องโหว่ในเรื่องราวที่จันดีเล่า แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากคาดคั้นเธอมาก บางครั้งกว่าจันดีจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เธออาจจะบอบช้ำมามากแล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องที่จันดีซื้อบ้านหลังนั้น “แต่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมากเลยนะจันดี มีคนที่อยากซื้อบ้านหลังนั้นหลายคน แต่ก่อนถึงวันจ่ายเงินก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย” นอบเอ่ยขึ้นกับหลาน “แต่วันนี้ฉันจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนี่คะ” นอบหันมาสบตากับภรรยา เฉิดฉันจึงยืนยันอีกเสียง “ใช่จ้ะพี่ ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะอยากให้จันดีไปอยู่บ้านหลังนั้นก็ได้” “ฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ” จันดีว่าเสริมขึ้นอีก “ถ้าคิดอย่างนั้นฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร” นอบกล่าว
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ” “แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด “หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ” ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ” “แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว “ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกค
เฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง “บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ” “อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า” ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ” “ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่” คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน “แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ” “ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต” “ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น” “ค่ะ” เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย “หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น “ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” “จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้น
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก “จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ” “เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่







