LOGINเฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น”
“ค่ะ”
เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย
“หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น
“ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า
สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”
“จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก
ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้นไม้ทำตามที่แม่ของเพื่อนสั่งอย่างชำนาญ ไม่ได้สนใจแม่ลูกสามคนนั้นอีก
จันดีมองหากระท่อมน้อยหลังนั้นเมื่อห้าปีก่อนแต่ก็ไม่เจอแล้ว ก็มันนานมากแล้วนะ ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เธอกับลูกเดินตามเฉิดฉันเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้น “ใครเหรอคะป้า”
“ไอ้แสง เพื่อนไอ้ยุตมัน”
“อ้อ” แต่เธอไม่ได้รู้จักเขาหรอก ขานรับไปอย่างนั้นแหละ
“อายุยี่สิบแปดแล้วยังไม่ยอมมีเมียสักที หน้าตารึก็หล่อเหลาเอาการ มีผู้หญิงมาคอยตามจีบอยู่หลายสิบคน แต่มันก็ไม่ยอมเอาใครสักคน ไม่รู้มันจะไปมีลูกตอนไหน” จันดีฟังอย่างเงียบ ๆ เฉิดฉายจึงว่าต่อ “มาคุยเรื่องของเราต่อเถอะ”
“ค่ะ” เขาก็หล่อจริง ๆ หล่อเข้มสูงใหญ่กำยำกว่าคนที่ชื่ออาทิตย์นั่นเสียอีก แต่ถึงเขาจะตัวสูงใหญ่ก็ไม่ได้แผ่รังสีอำมหิตออกมา หรือว่าเธอแก่แล้ว ถึงไม่ได้รู้สึกกลัวกับอะไรง่าย ๆ
ทั้งสองนั่งลงบนเสื่ออีกครั้ง เฉิดฉันถอนหายใจแล้วพูดต่อ “บ้านที่ประกาศขายก็พอมีอยู่” เธอเว้นวรรคก่อนจะกล่าวต่อ “แต่บ้านหลังนั้นประกาศขายมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าซื้อ”
“ทำไมเหรอคะ” จันดีถามด้วยความสนใจ
“ผีดุ”
“หือ?” จันดีตาโต ลูกทั้งสองได้ยินคำว่าผีก็ขยับเข้ามาหาแม่โดยอัตโนมัติ และนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ “แล้วสภาพบ้านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ตัวบ้านยังดีมากถึงตอนนี้จะดูรกไปหน่อยก็ตามเถอะ” รกเพราะปล่อยทิ้งร้างไว้นาน
“ทำไมถึงบอกว่าผีดุละคะ มีคนเคยเห็นอย่างนั้นเหรอ”
เฉิดฉันพยักหน้า “มี บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของอดีตนายพลกับภรรยาที่ย้ายมาจากกรุงเทพฯ หลังจากเกษียณแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเมียเขาป่วย เพราะเจ้าของบ้านไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านมากนัก รอบด้านมีกำแพงปูนสูง กระทั่งวันที่มีคนได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงในบ้านหลังนั้น กำนันและผู้ใหญ่บ้านจึงเข้าไปดู จึงพบว่าผู้เป็นสามีนอนอืดกอดศพภรรยาที่กำลังเน่าเปื่อยเอาไว้ ชาวบ้านถึงได้รู้ว่าทั้งสองตายแล้ว ทางตำรวจสันนิษฐานว่าเมียของเขาคงตายก่อนนานแล้ว”
“น่าสงสารนะคะ แกคงรักเมียมาก” จันดีเอ่ยออกอย่างทอดถอนใจ ชายหญิงที่รักกันจนแก่เฒ่านั้นหาได้ยากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี “แล้วเขาไม่มีลูกเหรอคะ”
“มีลูกชายเพียงคนเดียว แต่เขาเป็นพวกชายรักชาย ทั้งสองจึงไม่มีทายาทอีก หลังจากผู้ใหญ่บ้านและตำรวจติดต่อไปยังลูกชายเขาที่อยู่กรุงเทพฯ เขาก็เดินทางมาจัดพิธีศพอยู่ที่นี่เลย เพราะพ่อกับแม่อยากอยู่กับธรรมชาติ ส่วนเรื่องบ้านเขาบอกเพียงว่าถ้าขายบ้านหลังนั้นได้ก็จะบริจาคให้กับทางวัดทั้งหมดเลย เพราะมันเป็นความต้องการของพ่อกับแม่ที่เคยสั่งเสียเอาไว้” แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครซื้อบ้านหลังนั้นได้ ถึงแม้จะขายถูกแค่ไหนก็ตาม
“ฉันอยากไปดูบ้านหลังนั้นจังเลยค่ะ” จันดีฟังแล้วรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“แกไม่กลัวเหรอ”
จันดียิ้มน้อย ๆ แล้วพูดด้วยท่วงท่าสบายใจ “ไม่กลัวหรอกค่ะ ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน เราไม่ได้มาร้ายสักหน่อย” บางครั้งคนยังน่ากลัวกว่าผีด้วยซ้ำ
“ได้ สักบ่ายสามป้าจะพาแกไปหาผู้ใหญ่บ้าน” เพราะเรื่องที่ดินของสองสามีภรรยา กลายเป็นธุระของผู้ใหญ่บ้านไปแล้ว “เดินทางมาเหนื่อย ๆ แกกับลูกไปหาอะไรกินก่อนเถอะ แล้วก็นอนหลับสักงีบป้าจะออกไปดูเจ้าแสงมันหน่อย”
“ขอบคุณป้าอีกครั้งนะคะ” จันดีกระพุ่มมือไหว้ป้าอีกครั้ง เฉิดฉันโน้มตัวไปกอดหลานไว้ ในใจยังไม่คลายสงสัยว่าเหตุใดฉวีกับสามีถึงไม่มาส่งลูกด้วยตัวเอง ทั้งที่มีรถยนต์ส่วนตัว
จันดีกับลูกจึงเข้าครัวหาของกิน ก่อนจะเข้าไปจัดของในห้องที่ป้าเตรียมไว้ให้
เฉิดฉันนั่งมองสุริยาทำงานอยู่เกือบสองชั่วโมงเขาจึงทำเสร็จ เขาล้างหน้าล้างมือเสร็จแล้วจึงเดินมาหาแม่ของเพื่อน
เฉิดฉันยื่นเงินให้เพื่อนลูกชายพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ มีอะไรแม่เรียกใช้ผมได้ตลอด” งานพวกนี้เขาถนัดอยู่แล้ว
“จ้ะ”
สุริยารับเงินมาก้าวขาจะเดินออกไป แต่พอนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ผู้หญิงคนนั้นใช่คนที่เคยมางานบุญที่บ้านแม่เมื่อห้าปีก่อนหรือเปล่าครับ” เขารู้สึกคุ้นหน้า ในคราแรกยังแค่คลับคล้ายคลับคลา แต่ใช้สมองเค้นออกมาตอนปีนต้นมะม่วงเขาจึงพอนึกออก มิน่าเขาถึงรู้สึกคุ้นดวงตาคู่นั้นนัก แต่คราวนี้เธอไม่หลบตาเขาเหมือนกับตอนนั้น
“ใช่จ้ะ แสงจำได้ด้วยเหรอ”
“ครับ ผมก็ว่าทำไมถึงคุ้นหน้าจัง แต่ว่ามาคราวนี้มีลูกสองซะแล้ว” เมื่อปีนั้นเขามองเห็นเพียงผ่าน ๆ แต่ก็ยังพอจำได้
“อือ พาลูกย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยนะ วันนี้แม่จะพาพวกเขาไปหาบ้านเช่าสักหน่อย”
“ครับ” สุริยาอยากถามอะไรบางอย่าง แต่กลัวจะเป็นการเสียมารยาทจึงไม่ได้เอ่ยออกไป สามีเธอคงพาย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่กระมัง “งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“จ้ะ”
บ่ายสามโมงวันนั้นเฉิดฉันจึงพาหลานสาวไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
วันต่อมาจันดีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ทั้งที่ยังถางหญ้าไม่เสร็จ แต่เธอรู้สึกเกรงใจลุงกับป้า จึงรีบย้ายออก และคิดว่าจะทำความสะอาดไปทุกวัน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์บ้านก็คงน่าอยู่มากแล้ว เฉิดฉันเตรียมเสื่อกก ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้งผืนใหม่ให้หลานสาวหลายชุด อีกทั้งยังเตรียมพริก เกลือ ปลาร้า และข้าวสารให้หลานสาวอีกด้วย ส่วนเครื่องครัวจันดีบอกป้าว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดเอง เย็นวันนั้นจันดีกำลังถางหญ้าอยู่ข้างกำแพง พลันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอย่างถึงพริกถึงขิง “เมื่อไรแกจะหาเงินไปใช้หนี้ครูถาสักที วันนี้เมียเขามาทวงหนี้ฉันอีกแล้วนะ” “ผมก็หาอยู่นี่ไง แม่ไม่เห็นเหรอ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอยู่นิ่งสักวัน วัน ๆ เอาแต่ทำงานงก ๆ แม่เคยเห็นผมพักบ้างไหม” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเหตุผล “ถ้าแกไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ แกก็ตัดสินใจแต่งงานกับยัยรินซะ” “ผมไม่แต่ง และจะไม่มีวันแต่งด้วย” จันดีจำได้ว่าเสียงที่ตวาดประโยคสุดท้ายนั้นเป็นเสียงของคนที่ชื่อแสงเพื่อนของชยุต และเขาคงทะเลาะอยู่กับแม่ของตน เธอถอนหายใจคล้ายปลงตก ไม่ว่าครอบคร
หลังมื้ออาหารเย็นฉัตรกุลกับฉายระวียอมนั่งเล่นกับคุณภัทรลูกชายของลุงอย่างว่าง่าย จันดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เล่าเหมือนกับเล่าให้เฉิดฉันและเบญญาฟัง คือเธอกับสามีเลิกกันตั้งแต่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงจะมีบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องโหว่ในเรื่องราวที่จันดีเล่า แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากคาดคั้นเธอมาก บางครั้งกว่าจันดีจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เธออาจจะบอบช้ำมามากแล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องที่จันดีซื้อบ้านหลังนั้น “แต่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมากเลยนะจันดี มีคนที่อยากซื้อบ้านหลังนั้นหลายคน แต่ก่อนถึงวันจ่ายเงินก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย” นอบเอ่ยขึ้นกับหลาน “แต่วันนี้ฉันจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนี่คะ” นอบหันมาสบตากับภรรยา เฉิดฉันจึงยืนยันอีกเสียง “ใช่จ้ะพี่ ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะอยากให้จันดีไปอยู่บ้านหลังนั้นก็ได้” “ฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ” จันดีว่าเสริมขึ้นอีก “ถ้าคิดอย่างนั้นฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร” นอบกล่าว
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ” “แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด “หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ” ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ” “แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว “ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกค
เฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง “บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ” “อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า” ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ” “ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่” คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน “แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ” “ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต” “ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น” “ค่ะ” เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย “หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น “ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” “จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้น
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก “จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ” “เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่







