LOGINเฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น
คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง
“บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ”
“อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า”
ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ”
“ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่”
คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน
“แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ”
“ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต”
“ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่นห้าพันบาทหาได้ที่ใดกัน
“ไปสิ ถ้าแกชอบก็สามารถเข้าไปทำความสะอาดและเข้าอยู่ได้เลย ส่วนเรื่องโอนค่อยว่ากันอีกที”
“ขอบคุณมากค่ะ” ดวงตากลมเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความยินดี
ว่าแล้วคมสันต์จึงตะโกนบอกคนที่อยู่บนบ้าน เขาเพิ่งกลับจากเอาลำไม้ไผ่ไปไว้ที่นาเพื่อทำรั้ว “อาทิตย์ พ่อเอารถไปใช้แป๊บนึงนะ”
“ครับพ่อ” คนที่ชื่ออาทิตย์เดินลงมาจากชั้นบนของบ้านเพราะได้ยินเสียงคล้ายมีคนหลายคนคุยกันอยู่ชั้นล่าง “พ่อจะเอารถไปไหนเหรอครับ” ถามพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ ก่อนจะหยุดอยู่บนดวงหน้าเนียนของหญิงสาวคนนั้น เขาเจอเธอโดยบังเอิญอีกแล้ว น่าเสียดายที่เธอมีลูกมีสามีแล้ว
“พ่อจะพาคนไปดูบ้านคุณยศพนธ์สักหน่อย”
“อ้อครับ” อย่าบอกว่าผู้หญิงคนนี้กับลูกจะซื้อบ้านหลังนั้น อาทิตย์ยิ้มให้จันดีแล้วถามเธอ “จันดีจะไปดูบ้านหลังนั้นเหรอ”
“ค่ะ”
“อ้าวรู้จักกันเหรอ” เฉิดฉันถามขึ้น คมสันต์กับมนสิริก็แปลกใจเช่นกัน
“พอดีเมื่อเช้าฉันกับลูกติดรถคุณอาทิตย์เข้ามาในหมู่บ้านน่ะค่ะ”
“อ๋อ เป็นอย่างนั้น” มนสิริพูดขึ้นอย่างโล่งอก
เพื่อไม่ให้เสียเวลาผู้ใหญ่บ้านจึงเอ่ยขึ้น “เราไปดูบ้านกันเถอะ”
จันดีพาลูกเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสาม จากนั้นทุกคนก็นั่งรถอีแต๊กไปที่บ้านหลังนั้น หมู่บ้านนี้ด้านหลังเป็นภูเขา ส่วนด้านหน้าเป็นลำน้ำโขง มีถนนลาดยางเลียบไปตลอดริมฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อตอนกลางวันเธอยังมีความกังวลอยู่จึงไม่ได้ชื่นชมความงามของธรรมชาติ ฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศลาว มีภูเขาสูงต่ำขึ้นเรียงราย ถ้าถึงฤดูหนาวคงมีม่านหมอกขึ้นปกคลุมผืนน้ำและป่าเขาไปทั่ว มิน่าเล่าคนถึงนิยมมาเที่ยวที่นี่กัน
“แม่คะ ภูเขาสวยจังเลยค่ะ” ฉายระวีบอกแม่
“แม่ครับผมอยากนั่งเรือจังครับ” ฉัตรกุลมองเรือที่ชาวบ้านกำลังพายไปหาปลาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“ฉัตรกับฉายชอบที่นี่ไหมลูก”
“ชอบค่ะ/ชอบครับ” เด็กแฝดพูดขึ้นพร้อมกันและยิ้มจนตาหยี มองดูแม่น้ำโขงด้วยท่าทางตื่นเต้น วันนี้เป็นวันที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงด่า จึงรู้สึกสบายหูยิ่งนัก จันดีลูบผมลูก รู้สึกดีใจที่ลูกชอบที่นี่
ทุกคนมองดูสามแม่ลูกด้วยสายตาเอ็นดู
จันดีเป็นผู้หญิงที่สวยมาก อีกทั้งลูกทั้งสองยังน่ารัก ไม่น่าเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อยเลย มนสิริลอบถอนหายใจ
คมสันต์จอดรถอีแต๊กไว้หน้าบ้านแล้วใช้กุญแจไขประตูรั้วบ้านออก ทุกคนก้าวเข้าไปในบริเวณบ้าน แต่เข้าไปได้ไม่ไกลมาก เพราะด้านในมีหญ้าขึ้นรกบางจุดสูงถึงอก บางจุดหญ้าสูงท่วมหัว
“สองปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ทำความสะอาด” ผู้ใหญ่บ้านกล่าว ตั้งแต่เจ้าของบ้านจากไป เขาผู้รับหน้าที่ให้ขายบ้านต่อก็ไม่เคยมาทำความสะอาดเลย อย่างมากก็มาเปิดไฟให้ตอนเย็นเท่านั้น เพราะเขาเองก็กลัวผีเหมือนกัน
จันดีเดินแหวกต้นหญ้าเข้าไปจนถึงบันไดบ้าน รอบข้างยังมีกระถางดอกไม้หลายสิบต้น มันรอดมาได้เพราะน้ำฝนโดยแท้
“แม่คะ ให้หนูไปด้วย”
“ผมไปด้วย”
ลูกทั้งสองส่งเสียงร้องขอ ข้าสั้น ๆ เตรียมก้าวตามแม่ไป
“ไม่ต้องเข้ามาหรอกลูกมันรก รอแม่อยู่กับยายนั่นแหละ” หญ้าสูงกว่าเด็กสองคนยืนต่อกันเสียอีก
“ก็ได้ค่ะ” ฉายระวีเบะปากน้ำตาคลอ เพราะไม่เคยห่างแม่
มือน้อย ๆ ของพี่ชายเอื้อมไปจับมือน้องสาวไว้ “มันรกไม่ต้องเข้าไป เดี๋ยวงูจะกัดเอานะ”
“แล้วงูจะไม่กัดแม่เหรอคะ”
“ไม่กัดหรอก แม่โตแล้ว” ฉายระวีพยักหน้า ยอมฟังคำที่พี่ชายบอก
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้แต่มองแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู แก่ปูนนี้เพิ่งรู้ว่างูไม่กัดคนที่โตแล้ว
ก่อนจะก้าวขาขึ้นบันไดจันดีกล่าวในใจว่า ‘ฉันขอขึ้นไปดูบนบ้านหน่อยนะคะ’ จากนั้นเดินขึ้นไปช้า ๆ โดยไม่ถอดรองเท้า กวาดสายตามองไปทั่วบ้าน บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้เนื้อดีทั้งหลัง กระทั่งหลังคายังเป็นไม้ซึ่งหาดูได้ยากมากแล้ว ใต้ถุนยกสูง พื้นบ้านมีลักษณะเป็นสองพัก พักแรกเป็นส่วนของครัวและเป็นพื้นที่รับแขกยังได้ พักสองอยู่ฝั่งขวามือยกสูงกว่าพักแรกประมาณหนึ่งช่วงขาเด็ก มีลักษณะเป็นโถงกว้าง มีห้องที่ปิดอยู่อีกสองห้อง จันดีรู้สึกพอใจกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างมาก บ้านก็น่าอยู่ ไม่ได้ดูวังเวงอย่างที่คิดไว้ ด้านหน้าเรือนเป็นแม่น้ำโขง ภายในบ้านกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยอยู่มาก เช่นนี้เธอสามารถใช้ทำประโยชน์ได้อีกหลายอย่างเลยทีเดียว ราคาสามหมื่นห้าถือว่าถูกมาก
จันดีเดินเข้าไปสำรวจสองห้องที่เหลือ ก่อนจะเดินลงจากเรือน ใบหน้าแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม
สองเงาร่างที่อยู่บนเรือนก็ฉีกยิ้มยินดีเช่นกัน
“เจ้าของบ้านคนใหม่มาถึงแล้ว” ยศพนธ์เอ่ยกับภรรยาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“คุณชอบคนนี้เหรอคะ”
“อืม เธอเป็นคนดี คุณไม่ชอบเหรอ”
“ชอบค่ะ” ฤดีจึงพูดขึ้น “คงถึงเวลาที่เราต้องไปแล้วสินะคะ หมดห่วงเสียที” พวกเขารอวันนี้มาเกือบสามปี ในที่สุดบ้านหลังนี้ก็หาเจ้าของคนใหม่เจอสักที
“ใช่ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี”
“เหมือนกับเราสองคนใช่ไหมคะ”
“ใช่ เหมือนกับเราสองคน” ยศพนธ์กับฤดี เป็นสามีภรรยาที่รักกันมากก่อนตายทั้งคู่อายุมากกว่าเก้าสิบปี แม้ภรรยาตายไปก่อนเป็นเดือน เขาก็ยังเก็บร่างเธอไว้ ก่อนที่เขาจะตายตามภรรยาไปด้วยโรคชราเช่นกัน
จันดีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน แล้วกล่าวออก “ตกลงฉันซื้อบ้านหลังนี้ค่ะ”
ผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาจึงยิ้มออก “ถ้างั้นก็จ่ายเงินครึ่งหนึ่งก่อน วันที่โอนกรรมสิทธิ์ค่อยจ่ายส่วนที่เหลือ” คมสันต์ต้องโทร. ไปนัดกับลูกชายเจ้าของที่ก่อนถึงจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะลูกชายของเขาพร้อมอยู่แล้ว
วันต่อมาจันดีก็ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ทั้งที่ยังถางหญ้าไม่เสร็จ แต่เธอรู้สึกเกรงใจลุงกับป้า จึงรีบย้ายออก และคิดว่าจะทำความสะอาดไปทุกวัน ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์บ้านก็คงน่าอยู่มากแล้ว เฉิดฉันเตรียมเสื่อกก ผ้าห่ม ที่นอน หมอนมุ้งผืนใหม่ให้หลานสาวหลายชุด อีกทั้งยังเตรียมพริก เกลือ ปลาร้า และข้าวสารให้หลานสาวอีกด้วย ส่วนเครื่องครัวจันดีบอกป้าว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดเอง เย็นวันนั้นจันดีกำลังถางหญ้าอยู่ข้างกำแพง พลันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันอย่างถึงพริกถึงขิง “เมื่อไรแกจะหาเงินไปใช้หนี้ครูถาสักที วันนี้เมียเขามาทวงหนี้ฉันอีกแล้วนะ” “ผมก็หาอยู่นี่ไง แม่ไม่เห็นเหรอ แม่ก็รู้ว่าผมไม่เคยอยู่นิ่งสักวัน วัน ๆ เอาแต่ทำงานงก ๆ แม่เคยเห็นผมพักบ้างไหม” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟังเหตุผล “ถ้าแกไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ แกก็ตัดสินใจแต่งงานกับยัยรินซะ” “ผมไม่แต่ง และจะไม่มีวันแต่งด้วย” จันดีจำได้ว่าเสียงที่ตวาดประโยคสุดท้ายนั้นเป็นเสียงของคนที่ชื่อแสงเพื่อนของชยุต และเขาคงทะเลาะอยู่กับแม่ของตน เธอถอนหายใจคล้ายปลงตก ไม่ว่าครอบคร
หลังมื้ออาหารเย็นฉัตรกุลกับฉายระวียอมนั่งเล่นกับคุณภัทรลูกชายของลุงอย่างว่าง่าย จันดีจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟัง เล่าเหมือนกับเล่าให้เฉิดฉันและเบญญาฟัง คือเธอกับสามีเลิกกันตั้งแต่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปโดยไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ถึงจะมีบางอย่างที่เป็นเหมือนช่องโหว่ในเรื่องราวที่จันดีเล่า แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปล่อยผ่าน เพราะไม่อยากคาดคั้นเธอมาก บางครั้งกว่าจันดีจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เธออาจจะบอบช้ำมามากแล้วก็เป็นได้ แต่ทุกคนก็ยังเป็นห่วงเรื่องที่จันดีซื้อบ้านหลังนั้น “แต่บ้านหลังนั้นน่ากลัวมากเลยนะจันดี มีคนที่อยากซื้อบ้านหลังนั้นหลายคน แต่ก่อนถึงวันจ่ายเงินก็ต้องมีอันเป็นไปทุกราย” นอบเอ่ยขึ้นกับหลาน “แต่วันนี้ฉันจ่ายเงินมัดจำไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นนี่คะ” นอบหันมาสบตากับภรรยา เฉิดฉันจึงยืนยันอีกเสียง “ใช่จ้ะพี่ ฉันคิดว่าเจ้าของบ้านอาจจะอยากให้จันดีไปอยู่บ้านหลังนั้นก็ได้” “ฉันก็คิดเช่นนั้นค่ะ” จันดีว่าเสริมขึ้นอีก “ถ้าคิดอย่างนั้นฉันก็คงไม่ขัดข้องอะไร” นอบกล่าว
“คิดดีแล้วใช่ไหม” เฉิดฉันถามขึ้นอีกครั้ง แววตายังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “คิดดีแล้วค่ะ ฉันชอบบ้านหลังนี้ค่ะ” “แต่ผมว่ามันน่ากลัวนะครับแม่” ฉัตรกุลเอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก หน้าตาไม่ได้บอกว่ากลัวเหมือนคำพูด “หนูก็ว่ามันน่ากลัวค่ะ มีแต่หญ้าเต็มไปหมด” ปากน้อย ๆ ขยับขึ้นลง สายตามองเข้าไปยังตัวบ้านแล้วพูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แม่คะหนูเห็นคนยืนอยู่ในบ้านสองคนค่ะ” ทุกคนมองตามด้วยความตกใจ คมสันต์ มนสิริ และเฉิดฉันขนลุกซู่ไปทั่วร่าง จันดีมองตามที่ลูกบอก เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ เพราะไม่อยากให้ลูกกลัว “ไม่เห็นมีใครนี่นา ฉายตาฝาดแล้วล่ะ” “แต่ผมก็เห็นนะครับ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายแก่ ๆ ยืนยิ้มโบกมือให้ผมด้วยครับ” ไม่ว่าเปล่า ฉัตรกุลหันหน้าไปโบกมือให้คนที่ยืนอยู่บนเรือนด้วย ตอนนี้คมสันต์กับภรรยาและเฉิดฉันต่างหน้าเหวอ ขนลุกตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะแล้ว “ฉัน…ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า” คมสันต์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง มนสิริกับเฉิดฉันก็พยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้เริ่มก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่เด็กสองคนยังหัวเราะคิกค
เฉิดฉันแนะนำหลานสาวให้รู้จักผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาที่เป็นหัวหน้าศูนย์จำหน่ายสินค้าโอทอป แล้วจึงเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังคร่าว ๆ ว่าหลานสาวจะย้ายมาอยู่ที่นี่และอยากไปดูบ้านหลังนั้น คมสันต์กับภรรยาตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหญิงม่ายลูกสองจะสนใจบ้านหลังนั้น “แม่เฉิดยังไม่ได้เล่าให้จันดีฟังเหรอ” มนสิริภรรยาของผู้ใหญ่บ้านถามออกคล้ายเป็นห่วง “บอกแล้วจ้ะแม่มน แต่จันดีมันบอกว่าไม่กลัว ฉันก็เลยพามันมาหาพ่อผู้ใหญ่นี่แหละ” “อ้อ ฉันก็คิดว่ายังไม่ได้เล่า” ผู้ใหญ่บ้านจึงถามจันดีออกไป “แกไม่กลัวจริง ๆ เหรอจันดี ถ้าซื้อแล้วอยู่ไม่ได้จะไม่เสียใจภายหลังเหรอ” “ฉันไม่กลัวจริง ๆ ค่ะพ่อผู้ใหญ่” คมสันต์ถอนหายใจก่อนพูดออกมา “ความจริงบ้านหลังนั้นก็ดูดีมากทีเดียว ถ้าลูกชายฉันมันกล้าไปอยู่ฉันก็อยากจะซื้อให้มันอยู่หรอก” ตอนนี้ลูกชายเขาก็ยังไม่ออกเรือนเช่นกัน “แล้วเขาขายเท่าไรเหรอคะ” “ขายแค่สามหมื่นห้าเอง ที่ตั้งหนึ่งไร่ บ้านก็หลังใหญ่โต” “ลุงผู้ใหญ่พาฉันไปดูได้ไหมคะ” บ้านพร้อมที่ดินหนึ่งไร่ ขายเพียงสามหมื่น
เฉิดฉันชะเง้อหน้าออกไปจึงรู้ว่าเพื่อนของลูกชายมาถึงแล้ว เธอจึงตะโกนตอบออกไป “อยู่จ้า กำลังออกไป” เธอหันไปพูดกับหลานสาว “แป๊บนึงนะ ป้าให้คนมาตัดต้นมะม่วงหลังบ้านให้ เมื่อคืนฝนตกหนัก ลมก็พัดแรงจนกิ่งมันหักไปหลายต้น” “ค่ะ” เฉิดฉันเดินออกไป จันดีกับลูกจึงเดินตามออกไปดูด้วย “หักหลายต้นเลยนะครับแม่” สุริยาเอ่ยออกไป สายตามองต้นมะม่วงที่มีกิ่งหักลงมาหลายต้น “ใช่จ้ะ แม่ถึงได้ให้แกมาตัดให้ไง” สุริยาเป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย และเขายังมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะที่บ้านไม่มีที่ทำกิน เฉิดฉันจึงจ้างให้เขามาตัดต้นไม้ในบ้านให้เสมอ ๆ บางครั้งก็จ้างตัดหญ้า สุริยาหันกลับมามองแม่ของเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะมองเลยไปยังสามคนด้านหลัง สายตาคมกริบสบประสานกันกับดวงตากลมโตวาววามคู่นั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ แวบแรกเขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นก็วกกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง “ตัดลงเหมือนเดิมใช่ไหมครับ” “จ้ะ กิ่งไหนมันขึ้นสูงมากก็ตัดลงได้เลย” ฉวีบอก ว่าจบสุริยาไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เขารีบปีนขึ้นต้น
ไม่ถึงสิบนาทีอาทิตย์ก็จอดรถตรงหน้าบ้านเฉิดฉัน สามแม่ลูกจึงลงจากรถ เธอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แต่ไม่กล้าหยิบเงินค่าโดยสารให้เขา เพราะกลัวเขาจะหาว่าดูถูก อีกอย่างเธอพอรู้ว่าน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ คนต่างจังหวัดไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เอาไว้เธอจะหาโอกาสตอบแทนเขาก็แล้วกัน รอให้เขาเคลื่อนรถอีแต๊กออกไปจันดีจึงพาลูกเข้าไปในบ้านของป้า ยังดีที่ฝนไม่ได้ตกลงมาอย่างที่เธอนึกกลัวในคราแรก “จันดีมาได้ยังไง” เฉิดฉันถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าหลานสาว พร้อมกับเหลือบมองเด็กน้อยหน้าตาดีชายหญิงอีกสองคนที่ยืนมองเธอตาแป๋วอยู่ข้างกายจันดี “แล้วนี่ลูกใคร” คิ้วของเฉิดฉันขมวดเข้าหากันทันที ในใจนึกฉงนขึ้นมา หากเป็นลูกจันดีเหตุใดเธอไม่ได้ข่าวว่าหลานสาวแต่งงาน แต่ถ้าบอกว่าไม่ใช่ ใบหน้าเด็กหญิงก็มีเค้าโครงละม้ายจันดีอยู่หลายส่วน ส่วนเด็กชายนั้นก็ดูหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก แต่มองมุมไหนก็ไม่มีส่วนคล้ายกับคนในครอบครัวแม้แต่คนเดียว อาจจะมีส่วนคล้ายกับครอบครัวทางพ่อกระมัง “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังค่ะ” “เออ ๆ เข้าบ้านก่อน” เฉิดฉันรีบพาหลานเข้าบ้าน ไม่วายยังแอบสังเกตกระเป๋าใบใหญ่ที่







