“ฮึก ฮื่อออ พี่มี่เอ๋อร์ เหตุใดพวกยุงๆ จึงเอาท่านพ่อกับท่านแม่ใส่ในหลุมเช่นนั้นเย่า น้องกลัวท่านพ่อ ท่านแม่จะหายใจไม่ออก” คำพูดของเด็กชายวัย 4 หนาวอย่างชุนลี่หมิง ทำเอาชุนลี่มี่ผู้เป็นพี่สาวถึงกับสะอึก มิรู้จะตอบน้องชายอย่างไร ว่าบิดามารดาได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว สองแขนกระชับกอดน้องชายให้แน่นขึ้น แม้เด็กสาวจะมิได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่กระนั้นหยาดน้ำสีใสก็ไหลออกจากตากลมโตไม่หยุด
“ท่านพ่อกับท่านแม่สิ้นลมแล้วอาหมิง อึก พวกท่านมิอาจมาอยู่ดูแลเราเช่นเก่าก่อนได้แล้ว ฮึก!…แต่ถึงอย่างนั้นพวกท่านก็จะคอยมองเราสองพี่น้องอยู่เสมอ” ลี่มี่ยกมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า พยายามอดกลั้นเสียงสะอื้น เพราะมิอยากอ่อนแอต่อหน้าน้องชาย ทั้งที่บัดนี้ ขาของนางแทบจะยืนไม่ไหวที่ต้องสูญเสียทั้งบิดาและมารดาในคราเดียวกันเช่นนี้
ครอบครัวตระกูลชุนของลี่มี่เป็นครอบครัวใหญ่ มีคนในสกุลถึง 9 คน เป็นท่านย่าใหญ่ชุนฉือ ท่านลุงชุนไห่ ป้าสะใภ้ชุนเจียงและลูกของท่านลุงอีกสามคนคือ ชุนเต๋ออายุ 20 หนาว ชุนซูเม่ยอายุ 14 หนาว ชุนเป่าอายุ 3 หนาว และท่านพ่อชุนหยวน ท่านแม่ชุนเจียวมี่ ชุนลี่หมิงน้องชาย และตัวนางชุนลี่มี่
“เช่นนั้น เยาจะอยู่กับผู้ใดหยือ” นัยน์ตาดำสนิทของเด็กน้อยสั่นระริก น้ำตารื้นขึ้นมาเอ่อล้นหน่วยตาเล็กอย่างน่าสงสาร เขามิเข้าใจว่าสิ้นลม หมายถึงสิ่งใด แต่เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยว่าท่านแม่และท่านพ่อจะไม่อยู่ด้วยแล้ว เด็กชายตัวน้อยก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันใด
“เราก็อยู่ด้วยกันที่เรือนของเราอย่างไรเล่า” ลี่มี่เอ่ยบอกน้องชายไปเช่นนั้น ทั้งที่นางเองก็ไม่รู้ว่าเรือนที่นางกล่าวถึง จะเป็นที่พักพิงให้นางและน้องชายได้หรือไม่ ยามที่ไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่ คนพวกนั้นจะใจดีกับนางและน้องชายหรือไม่
ภาพสองพี่น้องกอดกันร้องไห้หน้าหลุมศพของบิดามารดา ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมพิธีศพของชุนหยวนและชุนเจียวมี่ อดที่จะน้ำตาซึมไปด้วยมิได้
“น่าเวทนาเสียจริง บิดามารดาตายจากไปพร้อมกันเช่นนี้ สองพี่น้องคงจะลำบากไม่น้อย”
“เจ้าเอ่ยสิ่งใดกัน เพียงแค่หลานสองคน ครอบครัวตระกูลชุนจะมิเลี้ยงดูเลยหรือ ยามมีชีวิตอยู่สองผัวเมียก็หาเงินจุนเจือครอบครัวไม่น้อย ตระกูลชุนก็คงมิคิดทิ้งขว้างหลานได้ลงคอกระมัง”
“เรื่องนี้มิแน่นอน ยายเฒ่าชุนฉือนั่น ใช่ว่าจะรักใคร่บุตรชายเมียรองอย่างชุนหยวน ทั้งชุนเจียวมี่เองก็มิยอมโอนอ่อนให้แม่สามี จนทะเลาะกันอยู่ร่ำไป”
“แน่สิ ก็สะใภ้ใหญ่อย่างชุนเจียงไม่แม้แต่จะขัดใจแม่สามี พูดจาออดอ้อน อ่อนหวาน จึงได้มีข้อเปรียบเทียบอย่างไรเล่า”
“หึ! แต่ข้าชอบแบบเจียวมี่มากกว่านะ นางซื่อตรง แม้จะพูดจาขวานผ่าซากไปบ้าง แต่ก็มีจิตใจดี ต่างจากชุนเจียงที่คอยยุแยงผู้อื่นให้แตกคอกัน ต่อหน้าพูดจาดี แต่ลับหลังกลับจ้องจะใส่ร้ายผู้อื่น” เสียงสนทนาของเหล่าแม่เรือน มิได้ทำให้ลี่มี่เด็กสาววัย 14 หนาวรู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่พวกนางพูดนั้นล้วนถูกต้อง ท่านย่าใหญ่มิได้เป็นย่าทางสายเลือดกับนาง
ท่านพ่อของนางเกิดจากภรรยารองของท่านปู่ ซึ่งทั้งท่านปู่และท่านย่าเล็กก็สิ้นลมไปนานแล้ว เดิมทีหลังจากแต่งท่านแม่เข้ามา ท่านพ่อคิดจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แต่ท่านย่าใหญ่กลับเอ่ยทวงบุญคุณที่เลี้ยงดูท่านพ่อมา ท่านพ่อจึงได้แต่ก้มหน้าทำงานหาเงินมาจุนเจือบ้านใหญ่ ยังดีที่ท่านแม่มิใช่พวกยอมคน จึงได้มีเงินทองเก็บซ่อนไว้อยู่บ้าง ทั้งยังช่วยให้พวกเราสองพี่น้องไม่ถูกรังแก แต่ความไม่ยอมคนของท่านแม่นั้น ก็ยิ่งทำให้ท่านย่าใหญ่มิชอบใจ มิเพียงแค่ท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น แม้กระทั่งพวกเขาสองพี่น้องท่านย่าก็มิได้รักใคร่ ขนม ของเล่นทุกชิ้นในบ้านล้วนเป็นของซูเม่ยและชุนเป่า ยังดีที่พี่ชุนเต๋อยังเมตตาพวกเขาอยู่บ้าง
“มี่เอ๋อร์ เจ้าพาอาหมิงกลับเรือนเถิด พิธีกรรมทางนี้เสร็จสิ้นแล้ว” ชุนเต๋อสงสารลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของเขาจับใจ เดิมทีท่านย่าก็มิใคร่จะชอบใจครอบครัวของท่านอาชุนหยวนอยู่แล้ว เพียงแค่ซูเม่ยร้องไห้มาหา ท่านย่าก็ดุด่าลี่มี่ โดยมิไถ่ถามสักคำ ทั้งเขาและท่านพ่อก็มิอาจเอ่ยห้ามได้ คงจะมีเพียงอาสะใภ้ที่พอจะต่อปากกับท่านย่าได้ แต่บัดนี้มี่เอ๋อร์และอาหมิงกลับสูญเสียทั้งบิดาและมารดา
“เจ้าค่ะ ข้าจะพาอาหมิงกลับเรือนก่อน อย่างไรเรื่องทางนี้ฝากพี่ชุนเต๋อจัดการด้วย”
“อืม ไปพักเถิด เรื่องอื่นมิต้องคิดมาก อย่างไรพวกเราสกุลชุนย่อมมิทิ้งขว้างกันเป็นแน่” มือหนายกขึ้นลูบศีรษะน้อยของลี่หมิงที่อยู่ในอ้อมกอดลี่มี่ ชุนเต๋อมองตามหลังน้องสาวและน้องชายไปจนลับสายตา แล้วจึงกลับเข้าไปช่วยบิดาของตนขอบพระคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมพิธีศพ
“นอนเถิดอาหมิง นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้สดชื่น” ลี่มี่นอนตะแคงกอดกล่อมน้องชายให้หลับ มือบางตบลงบนหน้าท้องของลี่หมิงเป็นจังหวะอย่างเบามือ
“ตื่นมาจะพบท่านพ่อกับท่านแม่หยือไม่”
“…มิพบ แต่พรุ่งนี้ตื่นมาเจ้าจะเจอพี่เป็นคนแรก ดีหรือไม่” ลี่มี่มิอยากโป้ปดน้องชาย นางเลือกที่เอ่ยบอกความจริง มิอยากให้น้องชายเฝ้ารอ ทั้งที่ในชีวิตนี้มิอาจได้พบท่านพ่อและท่านแม่อีก
“ดีขอยับ” ร่างเล็กพลิกกายเข้าซุกในอ้อมกอดของพี่สาว แล้วเข้าสู่ห่วงนิทราไป
เมื่อน้องชายหลับไปแล้ว ลี่มี่ก็มิอาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร่างบางสะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความเสียใจ การสูญเสียครานี้มันกะทันหันสำหรับนางมากเกินไป
ทั้งที่ท่านพ่อท่านแม่เพียงไปหาของป่าดังที่เคยทำ แต่ทั้งสองกลับพลัดตกหน้าผา ท่านพ่อของนางสิ้นลมทันที มีเพียงท่านแม่ที่ยังมีสติพูดคุยได้ แม้จะมิอาจขยับร่างกายได้ แต่ท่านแม่ก็ได้สั่งเสียให้นางใช้เงินทองที่มีดูแลตนเองและน้องชายให้ดี จากนั้นไม่กี่ชั่วยามท่านแม่ก็สิ้นลมไป
เด็กสาวคลายอ้อมกอดจากน้องชาย ขยับลุกขึ้นมาหาถุงเก็บเงินที่ท่านแม่แอบเก็บซ่อนเอาไว้ หากจำไม่ผิด ท่านแม่เอ่ยว่าถุงเงินถูกเก็บไว้ใต้กองเสื้อผ้าในหีบ มือบางจึงเริ่มนำเสื้อผ้าของท่านแม่ออกมากองไว้ด้านนอกจนหมด จึงพบเข้ากับกล่องไม้ขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ก้นหีบ และเมื่อเปิดดูก็พบว่ามีเงินอยู่หลายตำลึงเงิน
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…ห้าตำลึงเงิน กับอีกสามสิบอีแปะ” ตากลมเบิกกว้างขึ้น นางมิคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่จะเก็บเงินไว้ได้มากถึงเพียงนี้ เพราะยามที่ท่านพ่อล่าสัตว์ได้ก็มักจะนำไปขายและนำเงินมาแบ่งให้ท่านย่าใหญ่ไว้ใช้ตลอด
“เงินจำนวนเท่านี้ คงจะอยู่ได้นานกว่าหนึ่งหนาวเลยทีเดียว” ข้าวสาร 1 จิน ต้องจ่าย 20 อีแปะ เงินกว่าห้าตำลึงเงิน ครอบครัวชาวบ้านเช่นพวกนางย่อมเหลือกินเหลือใช้ หากว่ามิได้ฟุ่มเฟือย ซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ย่อมอยู่ได้นานกว่าหนึ่งหนาว
ลี่มี่เก็บเงินใส่ไว้ในกล่องแล้วซ่อนไว้ใต้หีบเสื้อผ้าของท่านแม่เช่นเดิม เงินเหล่านี้นางจะเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น นางมิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด กระทั่งท่านย่าใหญ่และท่านลุง เพราะไม่แน่ว่าเมื่อไม่มีท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ พวกเขาอาจจะขับไล่นางและน้องชายไปอยู่ที่อื่น อย่างว่า…ผู้ใดจะอยากรับภาระเลี้ยงดูหลานที่มิได้มีสายเลือดของตนได้
ร่างบางเก็บข้าวของให้เข้าที่ แล้วจึงลงมาล้มตัวนอนข้างน้องชายที่หลับสนิทไปแล้ว
“มิต้องกังวลนะอาหมิง พี่จะดูแลเจ้าแทนท่านพ่อและท่านแม่เอง” ริมฝีปากบางก้มลงจุมพิตหน้าผากมนของน้องชาย ใจตั้งมั่นว่าจะเป็นทั้งบิดา มารดา และพี่สาวที่ดีให้น้องชาย
“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้“ขอบพระคุณขอยับ”“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือ
“ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ”“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหลและทันใดนั้น…“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”“มิ
ดอกบัวสีขาวเพียงดอกเดียวเบ่งบานกลางสระน้ำ ทั้งที่บริเวณโดยรอบมิได้มีสิ่งใดอยู่เลย สองขาเรียวก้าวเข้าไปยืนที่ขอบสระ ยื่นคอดูภายในสระจนทั่ว เพื่อสำรวจหาปลาหากว่าได้ปลากลับไปให้ท่านยายและอาหมิงคงจะดีไม่น้อยเพียงแค่คิดเช่นนั้น ก็มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายในสระสีมรกต! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลี่มี่มองไม่เห็นปลาแม้แต่ตัวเดียว ฝูงปลามากมายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวตกใจจนพลาดพลั้งเหยียบไปบนโขดหิน ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ“ว๊าย!” ร่างบางซวนเซ ร่วงลงในสระน้ำจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัวตุ้ม!!!“ฮื่อ ลี่มี่นะลี่มี่ มิระวังเอาเสียเลย” ปากเล็กบ่นให้กับความมิระมัดระวังของตนเอง ยังดีที่ของในตะกร้าสานนั้นเปียกน้ำได้ มิเสียหาย มิเช่นนั้นนางคงต้องทุบศีรษะตนเองสักทีสองทีลี่มี่นำตะกร้าออกจากหลังและยกไปไว้ริมสระน้ำ แต่ยังไม่ทันที่นางจะขึ้นจากสระ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรนางก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ขอไปดูดอกบัวกลางสระให้หายแคลงใจเสียหน่อย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงมีดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ขึ้นกลางน้ำ ทั้งยังมิเห็นกอบัวเลยสักกอเดียวร่างระหงที่แต่งกายและรวบผมราวกับชายหนุ่ม กำลังแหวกว่ายไปบริเวณกลางสระ ชะโงกหน้าเข้าไป
“แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ”“มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย”“หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง”“เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู“ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือน
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน“ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย“หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง”“นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา“ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแ
“เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง“ดีขอยับ ดีที่สุด”“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคน