“เรื่องคดีเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเรียบทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่พึ่งเข้ามาใหม่
“ยังมิมีผู้ต้องสงสัยเลยขอรับ ท่านเจ้าเมือง” คำตอบรับจากผู้ใต้บัญชาทำเอา โจวอี้หาน เจ้าเมืองซูโจวถึงกับถอดถอนหายใจออกมา เรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองซูโจวเริ่มจะปิดไม่มิด ข่าวสารเริ่มแพร่กระจายไปเกือบทั่วเมืองซูโจวแล้ว แม้ว่าคดีฆาตกรรมหญิงสาวจะเกิดขึ้นเพียงในตัวเมือง แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในเมืองซูโจวไม่น้อย
“แล้วมีสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”
“ขอรับ มีหญิงคณิกาตายเพิ่มอีกแล้วขอรับ เมื่อเช้าข้าน้อยพึ่งจะไปดูศพมา การลงมือเป็นลักษณะเดียวกัน คือ ถูกจ้วงแทงหลายแผล ทั้งยังถูกกรีดที่ใบหน้า” ผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองอย่าง หรงจี ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เมื่อเช้ามืดท่านฉือกงหัวหน้ามือปราบของเมืองซูโจว ได้รับแจ้งว่าพบร่างสตรีที่เต็มไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ริมน้ำ ท่านฉือกงจึงมาเรียกเขา ให้ไปช่วยตรวจสอบ
“ศพที่สามแล้วสินะ พบความเชื่อมโยงของผู้ตายหรือไม่” โจวอี้หานถึงกับกุมขมับ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นในเมืองซูโจว เดิมที คิดว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์กลับมีเหตุการณ์เช่นเดิมเกิดขึ้น ทั้งผู้ที่ถูกฆ่ามักจะเป็นสตรีทั้งสิ้น มีทั้งหญิงชาวบ้านและหญิงคณิกา
“ไม่เลยขอรับ ส่วนข้อมูลข้าน้อยรวบรวมมาไว้ในนี้ทั้งหมดแล้ว” หรงจียื่นม้วนกระดาษที่เขาเขียนข้อมูลต่างๆ ให้กับท่านเจ้าเมือง
“ขอบใจเจ้ามาก เห็นทีเราคงต้องส่งฎีกาขอให้เมืองหลวงส่งคนมาจัดการเสียแล้ว” เมืองซูโจวเป็นเมืองทางตอนใต้ของแคว้นฉาง ซึ่งบัดนี้อยู่ในรัชสมัยขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงที่เก่งกาจเรื่องการปกครอง ทั้งยังมีชินอ๋องฉางเล่อที่เชี่ยวชาญทางด้านการทหาร จวิ้นอ๋องฉางหรุ่ยช่ำชองเรื่องการค้า ทำให้มิมีผู้ใดกล้าเปิดศึกกับแคว้นฉางมานานกว่าเจ็ดปี
“ขอรับ แต่อย่างไรการทำเรื่องไปเมืองหลวงคงจะใช้เวลาหลายเดือนกว่าทางการจะส่งคนมา ระหว่างนี้เราจะทำอย่างไรขอรับ” หรงจีกังวลว่าการขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงอาจล่าช้า
“คงต้องคอยลาดตระเวนต่อไป จะให้ชาวเมืองอยู่อย่างหวาดกลัวเช่นนี้มิได้”
“เอ่อ…ข้าน้อยพอจะมีวิธีขอรับ เมื่อไม่นานมานี้มีผู้มาร้องเรียนว่า มีคนอ้างตนว่าเป็นแม่หมอ เห็นนิมิตของผู้คนขอรับ” ได้ยินดังนั้นอี้หานก็ขมวดคิ้วแน่น เขามิชอบใจผู้ที่คิดออกอุบายหลอกลวงชาวบ้านเช่นนี้
มิมีสิ่งอื่นให้ทำมาหากินแล้วหรืออย่างไร
“ส่งฉือกงไปจับกุมเสีย ขังไว้ในคุกมืดสักสิบวันจะได้หลาบจำเสียบ้าง”
“ท่านเจ้าเมืองใจเย็นลงก่อนขอรับ เรื่องนี้ข้าตรวจสอบแล้ว แม่หมอผู้นี้มิได้หลอกลวงชาวบ้านขอรับ ทั้งชาวบ้านยังเอ่ยว่า นิมิตของนางนั้นแม่นยำราวกับไปยืนอยู่เหตุการณ์นั้นจริงๆ”
“แล้วอย่างไร…” อี้หานเงยหน้ามองผู้ช่วยของตนด้วยสายตางุนงง
“ข้าน้อยว่าเราลองไปขอดูภาพนิมิตจากนางดีหรือไม่-”
“ไม่! เจ้าก็รู้ว่าข้ามิเชื่อเรื่องทางไสยเวท ไร้สาระ มิมีหลักการ มิมีเหตุมีผล” คำด่าทอแสนซื่อตรงของผู้เป็นนาย ทำเอาหรงจีถึงกับหน้าชา แต่ก็มิได้คิดสิ่งใดมาก เพราะเขาทำงานกับท่านเจ้าเมืองมานาน ย่อมชินชากับคำพูดแสนจะซื่อตรงและเจ็บแสบเหล่านี้
“แต่เพื่อชาวเมืองของเรา ท่านเจ้าเมืองก็ควรลองมิใช่หรือขอรับ หากว่าภาพนิมิตของนางเป็นจริง เราก็อาจได้ข้อมูลของคนร้ายเพิ่ม แต่หากว่ามิเป็นความจริง เราก็จับนางเข้าคุกเสีย มิมีสิ่งใดเสียหายเลยขอรับ” อี้หานฟังคำของผู้ช่วยก็นิ่งคิดอยู่นาน
ตั้งแต่เกิดมาจากครรภ์มารดา เขาก็เกิดมาพร้อมกับความอับโชค มารดาเป็นอนุฐานะต่ำต้อย บิดามิได้ใส่ใจดูแลสักเท่าใด ไม่ว่าจะเรื่องใด เขาก็ต้องลำบากยากเย็นกว่าจะได้มา แม้จะมิใช่ความลำบากเฉกเช่นชาวบ้านที่มิมีกินมีใช้ แต่ก็ใช่ว่าจะมิเหนื่อยใจ ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองก็เช่นกัน เขาใช้ความสามารถทุกอย่างที่มีเพื่อได้ตำแหน่งนี้มา ฐานะทางสังคมของเขาจึงดีขึ้นบ้าง มารดาก็ได้ขึ้นเป็นฮูหยินรองเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิอยากจะศรัทธาผู้ที่อ้างตนว่าได้รับพรจากสวรรค์ เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าสวรรค์นั้นลำเอียง แต่เมื่อเป็นเรื่องความเป็นความตายของชาวบ้าน เขาจะลองดูสักครา…
“…อืม เช่นนั้นก็ได้”
“มี่เอ๋อร์ วันพรุ่งจะเปิดสำนักหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาว เพราะวันพรุ่งจะเป็นวันที่หลานสาวของนางอายุครบสิบห้าหนาว นางจึงคิดจะจัดพิธีปักปิ่นให้กับหลานสาว
“เปิดเจ้าค่ะท่านยาย เราจัดพิธีปักปิ่นเพียงช่วงเช้าได้หรือไม่เจ้าคะ มิต้องเชิญผู้ใดมาก็ได้ เพียงแค่ท่านยายปักปิ่นให้ข้า เท่านี้ข้าก็ดีใจแล้วเจ้าค่ะ” ลี่มี่ที่หยุดพักจากการดูชะตาชีวิตของชาวบ้านเอื้อนเอ่ยตอบท่านยาย
“จะเอาเช่นนั้นหรือ เจ้ามิอยากให้ผู้ใดมาหรือ”
“เจ้าค่ะ เพียงแค่บอกชาวบ้านที่จะมาสำนัก ว่าช่วงเช้าเราจะปิด เพื่อทำพิธีปักปิ่นเท่านั้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ” ลี่มี่มิได้คิดว่าพิธีปักปิ่นนั้นสำคัญ ถึงขั้นต้องเสียเงินทองเพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อ ตลอดหนึ่งเดือนที่นางเริ่มตั้งสำนักและหาเงินเอง นางตระหนักได้ว่าเงินทองกว่าจะได้มาช่างยากลำบาก หากจะเสียเงินไป นางก็ควรจะเสียเงินไปเพราะใช้จ่าย ซื้อความสุขให้กับท่านยายและน้องชายมากกว่า
“เช่นนั้นยายจะไปบอกชาวบ้านให้ เจ้าจะให้ยายเรียกคนถัดไปเข้ามาเลยหรือไม่”
“เรียกเข้ามาเลยเจ้าค่ะ ข้าพร้อมแล้ว” ลี่มี่ลุกขึ้นนั่ง เตรียมตัวดูชะตาชีวิตของชาวบ้านคนถัดไป
บัดนี้ชื่อเสียงด้านการดูนิมิตของนางเริ่มดีขึ้น ผู้คนที่เคยมาดูในช่วงแรกๆ แล้วพบเจอกับเหตุการณ์ตามที่นางเอ่ยก็นำเรื่องราวไปเล่าต่อ จนทำให้มีผู้คนสนใจที่จะมาดูชะตาชีวิตกับนางมากขึ้น และแน่นอนว่าเงินทองก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงศรัทธา
จนบัดนี้ลี่มี่เก็บเงินทองได้มากถึง 4 ตำลึงทอง กับอีก 7 ตำลึงเงิน แต่อย่างว่า คนเราย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ค่ากินค่าอยู่ ค่าเสื้อผ้าอาภรณ์ นางจึงเสียเงินไปกว่า5 ตำลึงเงินเพื่อซื้ออาภรณ์เนื้อดีและเครื่องนอนให้กับครอบครัว เพราะช่วงนี้เข้าสู่เหมันตฤดูแล้ว ในช่วงกลางคืนมีหิมะตกจนหนาวกัดไปหมด
ลี่มี่ยังคงตรวจดูชะตาชีวิตของผู้ศรัทธาจนถึงช่วงเย็น จากนั้นจึงทานอาหารกับน้องชายและท่านยายอย่างอิ่มหนำแล้วจึงพากันเข้านอน
“อุ่น อุ่น อุ่น น้องชอบมากขอยับ” เด็กน้องซุกตัวอยู่ในเครื่องนอนชุดใหม่ที่พี่สาวซื้อมาอย่างสุขใจ
“หึๆ อาหมิงน้องพี่อายุสี่หนาวครึ่งแล้ว เหตุใดยังพูดมิชัดอีกนะ”
“น้องเองก็มิยู้ขอยับ แต่พูดเช่นนี้น้องมิน่าเอ็นดูหยือ” ใบหน้าเล็กหมองลงจนพี่สาวต้องรีบเอ่ยปลอบ
“น่าเอ็นดูๆ จะพูดชัดหรือไม่ พี่ก็รักและเอ็นดูเจ้าที่สุด นอนได้แล้วพรุ่งนี้พี่ต้องตื่นแต่เช้า” ลี่มี่กดจุมพิตลงบนหน้าผากของน้องชาย แล้วจึงพากันเข้าสู่ห้วงนิทราไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเหมาไป่และลี่มี่ตื่นขึ้นมาเตรียมของจัดพิธีปักปิ่นกันเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีชาวบ้านเข้ามาร่วมพิธีปักปิ่นของลี่มี่กันตั้งแต่เช้า ชาวบ้านที่ศรัทธาในแม่หมอต่างนำอาหารมาร่วมฉลองพิธีปักปิ่นของลี่มี่ เดิมที คิดว่าจะจัดพิธีกันเพียงสามคนยายหลาน แต่เมื่อมีชาวบ้านเข้ามาร่วมด้วย ลี่มี่ก็มิได้ขัดอันใด เชิญทุกคนเข้ามาร่วมพิธีปักปิ่นของนางอย่างนอบน้อม
หลังจากที่ได้รับคำสอนจากท่านยาย ลี่มี่ก็เริ่มปรับตัวเข้ากับคนหมู่มากได้ดีขึ้น รู้ว่าควรพูดหรือปฏิบัติตนเช่นไร จากคำพูดที่แข็งกร้าวดูไร้มารยาทเปลี่ยนเป็นการเหน็บแนมอย่างเชือดเฉือนแทน
ขั้นตอนพิธีต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบง่ายตามขนบธรรมเนียม มีการเลี้ยงฉลองร่วมกันเล็กน้อย ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตน ลี่มี่เองก็จัดเตรียมสถานที่ เพื่อเปิดสำนักในช่วงบ่าย
คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“
ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ
ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ
เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง
ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา