สาวสวยพลันรีบก้าวไปข้างหน้าและยื่นมืออันนุ่มเรียบเนียนของเธอไปทางเย่ซิว “สวัสดีค่ะ อาจารย์ต้าวจือ ดิฉันเป็นเจ้าของบริษัทประมูลแห่งนี้เองค่ะ หลิวเมิ่งถิง”เย่ซิวยื่นมือออกไปจับมือหญิงสาวมือของหญิงสาวนุ่มเด้งเรียบลื่นมากไม่อาจต้านทานได้จนใคร ๆ ก็ไม่อยากปล่อยมือ ทว่าเย่ซิวเพียงสัมผัสเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะถอยกลับโดยไม่รอช้า“สวัสดีครับคุณหลิว อย่ามัวพูดพร่ำทำเพลงกันเลยดีกว่าครับ รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ”หลิวเมิ่งถิงเหลือบมองเย่ซิวด้วยความเคารพผู้ชายที่ดูธรรมดาคนนี้ยังคงเป็นสุภาพบุรุษซื่อตรงเหมือนเคยคนธรรมดาที่เห็นเธอย่อมมีความคิดอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อใครได้จับมือของเธอ พวกเขาแทบจะอยากจับมือไว้โดยไม่ปล่อยมือสักสิบนาที“ได้สิคะ เชิญทางนี้ค่ะ”หลิวเมิ่งถิงนำเย่ซิวเข้าไปในบริษัทประมูลและไปที่ห้องวีไอพีหลังจากได้ยินข่าว ผู้ประเมินแปดเก้าคนที่สวมแว่นอ่านหนังสือก็รีบเข้ามาทันทีด้วยความกระตือรือร้น“ท่านนี้คือ อาจารย์ต้าวจือใช่ไหมครับ?”“ดูอ่อนวัยมากเลยครับ”“อาจารย์ต้าวจือ ท่านได้นำผลงานมาด้วยไหมครับ?”สายตาของคนเหล่านี้จ้องมองไปที่ม้วนกระดาษสองม้วนในมือของเย่ซิวตั้งแต่
แม่น้ำที่คำรามและโหมกระหน่ำรอบตัวเธอราวกับมังกรดุร้ายนั้นเหมือนพร้อมจะกลืนกินเธอทั้งตัวหลังจากนั้นไม่นานเธอก็กลับมามีสติอีกครั้งหลิวเมิ่งถิงสามารถเป็นเจ้าของบริษัทประมูลได้ ความสามารถของเธอเองในการชื่นชมของโบราณและการประดิษฐ์ตัวอักษรก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกันเพียงแวบเดียวเธอก็ตกหลุมรักผลงานทั้งสองชิ้นนี้แล้วเธออยากจะเก็บภาพวาดทั้งสองไว้เป็นของตัวเองน่าเสียดาย เธอรู้ว่าด้วยทรัพยากรทางการเงินของเธอนั้นไม่สามารถที่จะซื้อผลงานนี้ได้เธอแอบเสียใจในใจ ทำไมเธอต้องมาเห็นผลงานพวกนี้ด้วย ถ้าไม่เห็นก็คงไม่รู้สึกอยากได้แต่ไม่ได้อย่างนี้หรอกกลุ่มชายผู้สูงอายุอีกแปดหรือเก้าคนมีความคิดตรงกัน ผลงานที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนาเช่นกันหลิวเมิ่งถิงสงบสติอารมณ์ และพูดกับเย่ซิวด้วยความเคารพ “อาจารย์ต้าวจือคะ รายได้ทั้งหมดจากการประมูลผลงานทั้งสองชิ้นนี้ยกเว้นเงินภาษีจะถูกส่งให้กับคุณดิฉันจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการในส่วนของดิฉัน ดิฉันแค่หวังว่า หากคุณมีผลงานที่จะขายในอนาคตคุณจะพิจารณาเลือกบริษัทประมูลของเราก่อน จะเป็นไปได้ไหมคะ? ผู้หญิงคนนี้มีแผนหลังจากที่ได้เห็นผลงา
หญิงสาวรู้สึกเบื่อมากจนเริ่มหาวหลังจากรอนานกว่าสิบนาที หลิวเมิ่งถิงก็ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด ข้างหลังเธอมีบอดี้การ์ดมากกว่าห้าสิบคน แต่ละคนติดอาวุธครบมือเธอยังเชิญเจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจหลายคนมาด้วย เพราะจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องครั้งนี้มีมหาศาล และเธอกังวลว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดหลิวเมิ่งถิงเป็นหญิงแกร่งเด็ดเดี่ยวหลังจากขึ้นเวทีแล้วเธอก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพไม่กี่คำ และเข้าประเด็นทันที“ในครั้งนี้อาจารย์ต้าวจือได้ให้ความไว้วางใจแก่เราในการดูแลผลงานชิ้นเอกสองชิ้น แต่ละชิ้นเป็นผลงานอันศักดิ์สิทธิ์ ผลงานแรก งานเขียนอักษรวิจิตรที่มีชื่อว่า บทกวีไผ่งาม”เธอเปิดม้วนกระดาษด้วยตัวเอง จากนั้นโปรเจคเตอร์ในสถานที่ก็แสดงภาพบนหน้าจอโดยขยายให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างชัดเจนผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานนี้ได้จะต้องมีความซาบซึ้งในการเขียนพู่กันขั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเห็นงานอักษรวิจิตรชิ้นนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนทันที รวมถึงปู่ของสาวน้อยซึ่งรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน“โอ้พระเจ้า! การประดิษฐ์ตัวอักษรนี้น่าทึ่งจริง ๆ!”“คู่ควรกับงานของอาจารย์ต้าวจืออย่างแท้จริง แนวคิดทางด้านศิลปะลึก
ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากและในไม่ช้าก็ถึงสองหมื่นล้านและมีเพียงคนหนึ่งในสิบเท่านั้นที่ถอนตัวออกจากการประมูลทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่มีทรัพย์สมบัติมากมายแน่นอนว่าอีกเหตุผลที่สำคัญมากก็คือ ผลงานของเย่ซิวมีน้อยเกินไปในระยะเวลาสองปีมีเพียงสองผลงานเท่านั้นที่ถูกปล่อยออกมาไม่รู้เลยว่าครั้งต่อไปจะเป็นเมื่อไหร่ดังคำกล่าวที่ว่า ของหายากนั้นมีคุณค่าสำหรับหลาย ๆ คน พวกเขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่สิ่งที่พวกเขาขาดคือข้อมูลหากคุณมีสิ่งที่คนอื่นไม่มี ต่อหน้าผู้คนในระดับเดียวกัน คุณก็จะรู้สึกมั่นใจและภูมิใจมากขึ้นด้วยเหตุนี้ราคาจึงพุ่งสูงขึ้นหลิวเมิ่งถิงรู้สึกตื่นเต้นมากเนื่องจากบริษัทประมูลของเธอเปิดมาหลายชั่วอายุคน แต่ไม่เคยมีรายการประมูลครั้งไหนที่มีราคาสูงขนาดนี้ในที่สุดก็ปิดประมูลไปที่สองหมื่นสองพันล้านบาท ปู่ของสาวน้อยเป็นผู้ประมูลไปสาวน้อยส่งเสียงเชียร์และกำมือแน่นด้วยงานประดิษฐ์ตัวอักษรนี้ เธอจะสามารถขึ้นนำยอดฝีมือวรยุทธในระดับเดียวกันไว้เบื้องหลังได้ในขณะเดียวกัน เธอก็สงสัยอย่างมากว่า คนที่เขียนอักษรวิจิตรนี้หน้าตาเป็นอย่างไร และทักษะการต่อสู้ของพวกเขาสูงแค่ไหนกันนะ
ทันทีที่หลี่หรูเฟิงประกาศออกมา หลายคนก็ยอมแพ้ทันทีสามหมื่นเก้าพันล้านไม่ใช่จำนวนน้อยเลยแม้ว่าพวกเขาจะร่ำรวย แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะหาเงินสดจำนวนมากได้ในคราวเดียวมีคนติดตามเขาเพียงเจ็ดหรือแปดคนเท่านั้นหลังจากการเสนอราคาประมูลหลายรอบ ราคาก็ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปถึงสี่หมื่นล้านบาทไม่มีใครเสนอราคาสู้หลี่หรูเฟิงอีกต่อไปแม้ว่าเงินสี่หมื่นล้านจะเป็นมูลค่าที่สูง แต่หลี่หรูเฟิงก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นการสูญเสียเลยหากเขาได้ภาพวาดนี้มา สำหรับเขาและตระกูลหลี่ก็เหมือนได้เหมืองทองคำมาครอบครองเมื่อหลี่หรูเฟิงคิดว่าตนจะสามารถนำภาพวาดนี้เก็บใส่กระเป๋าไปได้แล้ว ทันใดนั้น เย่ซิวก็พูดว่า “สี่หมื่นห้าร้อยล้าน”หลี่หรูเฟิงหันขวับไปมองเย่ซิวเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเขาก็ขมวดคิ้วบนเวที หลิวเมิ่งถิงจำเย่ซิวได้ทันที และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้แสดงสีหน้าใดการกระทำเช่นนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างดึงดูดความสนใจ แต่ก็สามารถเข้าใจได้เช่นกันหลี่หรูเฟิงเสนอราคาอีกครั้ง “สี่หมื่นแปดร้อยล้าน” “สี่หมื่นหนึ่งพันล้าน” เย่ซิวกล่าวอย่างใจเย็นหลี่หรูเฟิงมองเย่ซิวด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อการประมูลสิ้นสุดลง หลี่หรูเฟิงก็สะดุ้งขึ้นมา เขากลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ความรู้สึกกลายเป็นเสียใจ แววตาฉายแววดุร้าย“ไอ้คนที่มันเสนอราคาแข่งกับฉัน สมควรตายนัก”แต่ตอนนี้มันสายเกินไปสำหรับเขาที่จะโกรธ เขารู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าภาพวาดนี้หมายถึงอะไรเพื่อความปลอดภัยเขาจะต้องส่งไปที่ตระกูลหลี่โดยเร็วที่สุดทันทีที่เขาออกไปเขาก็ขึ้นรถที่ล้อมรอบด้วยกลุ่มบอดี้การ์ดแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่สนามบินหลี่หรูเฟิงและคนอื่น ๆ ไม่ได้สังเกตว่ามีคนติดตามพวกเขาจากระยะไกลต้องเป็นเย่ซิวอยู่แล้วผู้ที่จะสามารถครอบครองภาพวาดของเขาได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจดีหรือมีศีลธรรมสูงเท่านั้น การที่คนอย่างหลี่หรูเฟิงครอบครองภาพวาดของเขานั้นถือเป็นการดูถูกสำหรับเขาความเร็วในการเดินเท้าของเขาไม่ได้ช้าไปกว่าการขับรถมากนักและนี่ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดของเย่ซิว เขาสามารถไปได้เร็วกว่านี้อีกสามสิบนาทีต่อมา รถของหลี่หรูเฟิงกำลังจะขับเข้าสู่ทางหลวงเย่ซิวที่ติดตามมาอย่างลับ ๆ ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวเขางอนิ้วและสะบัดนิ้วอย่างรวดเร็ว กำลังภายในของเขาก็ก่อตัวควบแน่นเป็นจุดเล็ก ๆพลังทำลายล้างที่เกิดจากการสะบัดนั
“อาจารย์ต้าวจือไปไหนกันนะ? ทำไมยังไม่กลับมาล่ะ?”ในสถานที่ประมูล หลิวเมิ่งถิงเดินไปมาอย่างใจจดใจจ่อเย่ซิวหายไปทันทีที่การประมูลสิ้นสุดลง เธอกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาหลิวเมิ่งถิงไม่ใช่จอมยุทธ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถรับรู้ความหมายที่แท้จริงของศิลปะการต่อสู้อันทรงพลังในภาพวาดทั้งสองชิ้นนั้นได้ยื่งกว่านั้นเธอไม่รู้ว่า เย่ซิวเป็นจอมยุทธผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นเธอจึงกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่ในไม่ช้าเย่ซิวก็กลับมาหลิวเมิ่งถิงดูประหลาดใจ และรีบเข้าไปทักทายเขา “อาจารย์ต้าวจือ กลับมาแล้วเหรอคะ”เย่ซิวพยักหน้า “ภาพวาดทั้งสองชิ้นถูกประมูลไปในราคาเจ็ดหมื่นสองพันล้านบาท สองพันล้านเป็นส่วนของคุณที่คุณทำงานหนัก ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นล้านช่วยใส่ไว้ในการ์ดใบนี้ด้วยครับ”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็หยิบการ์ดออกมาแล้วมอบให้หลิวเมิ่งถิงหลิวเมิ่งถิงดูมีสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ต้าวจือคะ เราตกลงกันไว้แล้วนี่คะว่าครั้งนี้ไม่คิดค่าจัดการอะไรทั้งนั้น นี่คุณจะผิดสัญญาหรือคะ?” “ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่าภาพวาดทั้งสองจะขายได้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ราคาเกินความคาดหมายไปมาก สองพันล้านเป็นค่าจ
เย่ซิวยิ้มไปส่ายหัวไป “ไม่ต้องแล้วล่ะ ผมรวบรวมเงินได้มากพอแล้ว”“อ้อ โอเค” เซี่ยซิ่วซิ่วพยักหน้า จากนั้นก็ได้สติกลับมาทันที ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงขึ้น “เดี๋ยว เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ ฉันได้ยินไม่ชัด”เย่ซิวหยิบโทรศัพท์แล้วเอาข้อความที่ได้รับจากธนาคารมาให้เธอดูเซี่ยซิ่วซิ่วถึงกับตกใจสุดขีด เพ่งตาไปที่หน้าจอโทรศัพท์ แล้วใช้นิ้วนับไปที่จำนวนเลขศูนย์เธอนับอยู่หลายรอบกว่าจะแน่ใจเธอเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิวด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ“เย่ซิว นี่นายทำได้ยังไงกัน? หรือว่านายเป็นเศรษฐีใหญ่ที่ปิดบังฐานะตัวเอง ก็เลยแกล้งเป็นคนจนมาโดยตลอด!”นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลเพราะถ้าเป็นเรื่องจริง แน่นอนว่าเย่ซิวคงไม่มีทางบอกเธอขอแค่เซี่ยซิ่วซิ่วไม่กังวลเรื่องเงินอีกก็พอ เพราะมันได้ถูกแก้ปัญหาแล้วเรียบร้อยและยังเหลืออีกหมื่นล้านกว่าที่สามารถนำไปใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้อีกมากมายพรุ่งนี้เขาจะไปที่เมืองหนานเฉิงพร้อมกับหลิ่วอวี้ฝูเพื่อเข้าร่วมการประมูลเซี่ยซิ่วซิ่วต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะสงบความตื่นเต้นในใจของเธอได้เงินจำนวนนี้ของเย่ซิว แม้แต่ตระกูลเซี่ยก็ควักเอาออกมาไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะขายทรัพ
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน