เย่ซิวไม่ได้ปฏิเสธและรับของทั้งหมดไว้แต่ที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือ เหมือนจะมีของแปลก ๆ ปนเข้ามาด้วยไหนจะเอี๊ยมตู้โตว ถุงน่องดำ ถุงน่องขาว แถมยังเป็นของที่ใช้แล้วอีกต่างหาก ใครมันจะไปอยากได้กัน?เย่ซิวปฏิเสธในใจแต่เพื่อไม่ให้พวกเธอเสียหน้า เขาจึงเก็บมันไว้ก่อนชั่วคราวอืม แค่นั้นแหละ“พวกเธอ!!!” หลินปิงโกรธจนแทบระเบิด “รีบไสหัวไปให้หมด ห้ามโผล่หน้ามาแถวนี้อีก!”เมื่อเห็นว่าหลินปิงโกรธจริง ๆ แล้ว ศิษย์หญิงเหล่านั้นก็รีบถอยทัพไปก่อนจะไป ยังไม่วายขยิบตาให้เย่ซิวอีกหนึ่งทีความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น ผู้ชายทุกคนย่อมเข้าใจดีทว่าเย่ซิวกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย เมื่อเห็นท่าทางโกรธจัดของเธอ เขากลับรู้สึกสนุกสนาน “สาวน้อย โกรธมากไปเสียสุขภาพจิตเปล่า ๆ แผลเมื่อสองวันก่อนหายดีแล้วเหรอ?”ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็ดีอยู่หรอก พอพูดขึ้นมา หลินปิงก็ทำท่าเไหมือนจะคลั่งขึ้นมาอีกแล้วนั่นคือแผลใจที่ไม่มีวันลบเลือนของเธอ“นายได้ใจได้อีกไม่นานหรอก!” หลินปิงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเธอต้องท่องคาถาสงบจิตในใจ ถึงจะพอระงับอารมณ์ที่เดือดพล่านของตัวเองลงได้แต่ประโยคถัดมาของเย่ซิวก็ทำให้เธอแทบจะคลั่งอีกครั้
เย่ซิวมองเหล่าสาวงามร่ายรำอย่างสบายอารมณ์ศิษย์หญิงของสำนักศตะบุปผาเหล่านี้ คนที่หน้าตาธรรมดาที่สุดยังเทียบได้กับพวกดาราในวงการบันเทิงสมัยก่อนเลยในตอนนี้ทุกคนกำลังเต้นรำเพื่อเย่ซิวเพียงคนเดียว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาและความรู้สึกเหนือกว่าทางจิตใจที่ได้รับนั้น ยากที่จะบรรยายเป็นคำพูดได้“ยอดเยี่ยม!”เย่ซิวตะโกนชมออกมาเสียงดัง พร้อมกับหยิบไหสุราออกมา ดื่มไปพลางชมการแสดงไปพลางหลินปิงโกรธจนตัวสั่น เธอชี้นิ้วไปยังเย่ซิวอย่างเกรี้ยวกราด “นายกำลังทำอะไรน่ะ ตอนนี้นายอยู่ระหว่างการทดสอบนะ เก็บเหล้าของนายไปเดี๋ยวนี้”เย่ซิวเหลือบมองเธอ “เมื่อกี้เธอไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามดื่มเหล้า”“!!!” ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ เย่ซิวคงถูกสับเป็นหมื่น ๆ ชิ้นไปนานแล้ว เธอโกรธจัด “แต่ตอนนี้ฉันสั่งแล้วไงว่าห้ามดื่ม! พวกเธอก็ด้วย!”เธอชี้ไปที่ศิษย์หญิงทั้งหลาย “เขาเป็นแค่อาหารของท่านอาจารย์เท่านั้น ห้ามเต้นให้เขาดู!”บารมีของหลินปิงในสำนักยังคงสูงส่งเมื่อเธอแสดงความโกรธออกมา ศิษย์หญิงเหล่านั้นก็หยุดเต้นทันที ไม่กล้าฝ่าฝืนเย่ซิวส่ายหน้า รู้สึกว่ามันช่างน่าเบื่อจริง ๆแต่ศิษย์หญิงเหล่านี้ก็ช่วยสร้างความเพลิดเพลิ
“ฉันเดาว่าอย่างมากก็คงเหลือครึ่งตัว”“ฝันไปเถอะ ฉันว่าเหลือสักหนึ่งในสามก็เก่งแล้ว”……หลินปิงมองจระเข้สิบกว่าตัวที่กำลังรุมกัดแทะและพุ่งชนเย่ซิวอย่างบ้าคลั่ง ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยเธอคิดในใจว่าอีกไม่นานแกก็จะถูกทรมานจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน!ทว่าภาพที่ทุกคนเห็นว่าเย่ซิวตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นอีกฉากหนึ่งเลยจระเข้สายเลือดบรรพกาลเหล่านี้กัดลงบนร่างของเย่ซิว ราวกับกำลังกัดแทะอยู่บนแท่งเหล็กเทวะคมเขี้ยวที่เคยใช้ได้ผลเสมอของพวกมัน พอสัมผัสกับร่างของเย่ซิว ประกายไฟก็แตกกระจาย ฟันของพวกมันแทบจะหักบิ่นการพุ่งชนร่างของเย่ซิวก็เหมือนกับการพุ่งเข้าใส่ภูผาเทพบรรพกาล ไม่ได้สร้างความเสียหายให้เย่ซิวมากนัก แต่กลับทำให้พวกมันมึนหัวตาลายเสียเองจระเข้เหล่านี้ต่างร้อนรนเป็นอย่างยิ่งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเย่ซิวทำให้พวกมันยิ่งคลั่งสัญชาตญาณบอกพวกมันว่าถ้าได้กลืนกินเย่ซิวเข้าไป พลังของพวกมันจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอนแต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทะลวงการป้องกันของเย่ซิวได้เลยพวกมันเหมือนกับชายโสดที่ครองพรหมจรรย์มายี่สิบปี เห็นโฉมสะคราญอยู
จากการซักถามของเย่ซิว เจี้ยนจีก็ได้บอกถึงความสามารถพิเศษอันทรงพลังสองอย่างที่เธอมีลอบเร้นในเงา!สรรพสิ่งแปรเป็นกระบี่!อย่างแรกเจี้ยนจีสามารถลอบเข้าไปใกล้ศัตรูได้อย่างเงียบเชียบ แล้วระเบิดพลังสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างที่สองภายในขอบเขตที่กำหนด ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นดาบวิเศษได้ เสมือนเป็นการมอบชีวิตใหม่ให้กับสิ่งเหล่านั้นยกตัวอย่างเช่น อีกฝ่ายกำลังดื่มชาอยู่ในระยะที่กำหนด เจี้ยนจีสามารถเปลี่ยนน้ำชาที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่มเข้าไปให้กลายเป็นปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว ทำลายศัตรูจากภายในได้นี่มันคือสุดยอดวิชาสำหรับลอบทำร้ายและลอบกัดโดยแท้เย่ซิวพึงพอใจอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการต่อสู้ซึ่งหน้าหรือการลอบสังหารของเจี้ยนจี ล้วนอยู่ในระดับสูงสุดทั้งสิ้นถ้าเหลิ่งเฟิงรู้ว่ามีเจี้ยนจีอยู่บนโลก เกรงว่าเขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงเธอไปแน่เธอยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งคือ ในเวลาปกติ เจี้ยนจีสามารถแปลงร่างเป็นเส้นผมหนึ่งเส้น ซ่อนตัวอยู่บนศีรษะของเย่ซิวได้โดยเธอจะไม่มีการปลดปล่อยคลื่นพลังงานใด ๆ ออกมาเลย ไม่ต่างอะไรกับเส้นผมธรรมดาซึ่งในยามคับขันก็สามารถส
ดวงตาของเขาเป็นประกายผู้พิทักษ์กระบี่คนนี้ดูแล้วมีพลังแข็งแกร่งมากจากนั้นเธอก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเย่ซิว “คารวะนายท่าน”เย่ซิวประคองเธอให้ลุกขึ้นแล้วยิ้ม “เธอมีชื่อหรือยัง”“ไม่มีชื่อเจ้าค่ะ นายท่านช่วยมอบนามให้ด้วย”เย่ซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เอาอย่างนี้ งั้นต่อจากนี้ไปเธอชื่อเจี้ยนจีแล้วกัน”“ขอบคุณนายท่านที่มอบนามให้”“ตอนนี้พลังของเธออยู่ระดับไหนแล้ว?”น้ำเสียงของเจี้ยนจีเย็นชาราวกับน้ำแข็งไม่ใช่ว่าเธอไม่พอใจอะไรเย่ซิว แต่เป็นเพราะธรรมชาติของเธอเป็นเช่นนั้น“เรียนนายท่าน ตัวตนอย่างพวกเราสามารถแบ่งระดับได้เป็น ต่ำ กลาง สูง สุดยอด และระดับสีทองเนื่องจากโลหิตของนายท่านมีระดับสูงมาก ข้าน้อยจึงเป็นระดับสีทองสูงสุดพลังของข้าน้อยจะเชื่อมโยงกับนายท่าน นายท่านแข็งแกร่งเพียงใด ข้าน้อยก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น”เย่ซิวประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้แต่สิ่งที่ทำให้เย่ซิวตกใจยิ่งกว่าคือ เจี้ยนจีสามารถหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งกระบี่ขึ้นมาได้การหลอมรวมจิตวิญญาณแห่งกระบี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยวาสนา ความพยายาม และปัจจัยอื่น ๆ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
เสียงกรีดร้องโหยหวนและเจ็บปวดดังก้องอยู่ในห้องนานกว่าสองชั่วโมง ก่อนจะค่อย ๆ เงียบหายไปจากนั้นเย่ซิวก็สลายค่ายกล แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบหลินปิงรีบเผ่นหนีออกไปอย่างลนลานศิษย์หญิงที่อยู่ข้างนอกถึงได้รีบพุ่งเข้ามาเมื่อเห็นเย่ซิวนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสบาย ๆ พวกเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี“พวกเธอบุกเข้ามาทำอะไร?” เย่ซิวทำท่าทางราวกับว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่ “ออกไปให้หมด”ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบารมีอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเย่ซิว หรือเพราะก่อนที่หลินปิงจะจากไปไม่ได้สั่งให้พวกเธอลงมือกับเขาพวกเธอจึงได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็ยอมถอยออกไปอย่างว่าง่ายพร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อยอีกด้านหนึ่ง หลินปิงลากสังขารที่บาดเจ็บของตนมายังสถานที่ที่มีการป้องกันแน่นหนาที่สุดของสำนักศตะบุปผา แล้วคุกเข่าลงที่หน้าประตูใบหน้าของเธออาบไปด้วยน้ำตา “ท่านอาจารย์ โปรดให้ความเป็นธรรมกับศิษย์ด้วย ไอ้คนที่ชื่อเย่ซิวมัน...มัน...”ภายในห้องเงียบสนิท ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะมีเสียงเย็นชาดังขึ้นมา“รู้แล้ว ออกไปได้”หลินปิงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอาจารย์ เย่ซิวมันทำกับศิษย์ขนาดนั้น อาจารย์จะปล