เย่ชิวมองหยางถิงถิงที่ดูหวาดกลัว เขาส่ายหัวเบา ๆเป็นถึงผู้ฝึกตน แต่กลับกลัวสิ่งแบบนี้ นี่ถือเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงมากแทนที่จะหยุด เขากลับโบกมือ แล้วก็มีงูหลากสีสันหลายสิบตัวปรากฏตัวขึ้น เลื้อยไต่ไปตามร่างของเธอในเวลาเดียวกัน โล่ก็ถูกสร้างขึ้นแบ่งกั้นกับพื้นที่ภายนอก ไม่ว่าหยางถิงถิงจะกรีดร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครข้างนอกได้ยินแม้แต่คำเดียวสำหรับหยางถิงถิง นี่เรียกได้ว่าเป็นเพียงการทรมานที่ร้ายแรงที่สุดใบหน้าของเย่ซิวเริ่มมืดมนลง ตำหนิ "หากต่อไปคุณอยากกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งชนิดไม่มีใครเทียบได้ ก็ต้องกำจัดจุดอ่อนของตัวเองซะ"“ไอ้โรคจิต นายกำลังทรมานฉันอยู่นะ มัวแต่พูดอะไรเว่อร์ ๆ อยู่นั่น รีบปล่อยฉันไปเร็ว ๆ ฮือ ๆ...”หยางถิงถิงทั้งร้องไห้และตะโกน คนทั้งคนจนเกือบจะล้มลงขณะนั้นเอง หยางเฟิงก็เดินออกจากบ้าน และตกตะลึงเมื่อเห็นภาพดังกล่าวเย่ซิวก็บอกถึงเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างนั้น“คุณปู่ช่วยหนูด้วยค่ะ ไอ้โรคจิตนี่ทั้งโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมจริง ๆ หนูถูกเขาทรมานจนแทบจะบ้าตายแล้ว”เมื่อได้เห็นหยางเฟิง หยางถิงถิงก็แสดงท่าทางเหมือนกับได้เห็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดหยางเฟิงขมว
ต้องบอกว่าเฉินน่าเป็นคนกล้ามากจริง ๆ ถึงได้เสนอแนะเช่นนี้แต่มันก็น่าตื่นเต้นมากจริง ๆเมื่อพิจารณาว่าตัวเองยังต้องการความช่วยเหลือจากเฉินน่าในอนาคต เย่ซิวจึงตัดสินใจที่จะให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเธอครั้นแล้วก็ทำการบำเพ็ญตนอยู่ที่หน้าเตียงของเสี่ยวเยวี่ยกระแสพลังวิญญาณวิ่งเข้าสู่ร่างกายของเย่ซิว จินตานห้าสีหมุนวนด้วยความเร็วสูง และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ“เสี่ยวเยวี่ย ดูนี่ฉันเอาอะไรดี ๆ มาฝากเธอล่ะ...”ประตูถูกผลักเปิดออก หยางถิงถิงก็เดินเข้ามาจากด้านนอกจากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หยุดนิ่งไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความน่ารักและความบริสุทธิ์ของเสี่ยวเยวี่ย รวมถึงประสบการณ์ชีวิตที่น่าสมเพชของเธอ ทำให้หยางถิงถิงบังเกิดความรักดุจมารดาอย่างล้นเหลือเธอปฏิบัติกับเสี่ยวเยวี่ยเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ดูแลเธอเป็นอย่างดี มีอะไรดี ๆ ก็จะนำมาแบ่งปันกับเธอเสมอแล้วเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นในห้อง เธอก็ตกตะลึงเป็นเพราะเฉินน่าประมาท แม้ว่าประตูจะปิดอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ล็อกเมื่อเฉินน่าหันกลับไปสบตากับหยางถิงถิง บรรยากาศก็เงียบงันไปในทันที ความอึดอัดกระอักกระอ่วนใจอย่างสุดขีดก็แพร่กร
“หนูจะหนีออกจากบ้าน รอจนกว่าคุณปู่จะสงบลงแล้วค่อยว่ากันไม่จำเป็นต้องตามหาหนูนะคะ หนูอยากกลับมาเมื่อไหร่ ก็จะกลับมาเอง”เมื่อเธอกล่าวจบก็ถ่ายเทพลังวิญญาณไปที่ใต้เท้า เตรียมที่จะมุดหน้าต่างจากไปถ้าเธอตั้งใจจะหนีจริง ๆ หยางเฟิงก็หยุดเธอไม่ได้เขาจึงรีบพูดออกไปว่า “เขาคือเย่ซิวนะ หลานบอกว่าอยากแต่งงานกับเขาไม่ใช่เหรอ ถ้าหลานไปแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสอีกเลยนะ”ร่างอันบอบบางของหยางถิงถิงที่เพิ่งเดินไปที่หน้าต่างก็สั่นเทิ้มหันกลับมาช้า ๆ สีหน้าสับสน “เมื่อกี้คุณปู่ว่ายังไงนะคะ หนูได้ยินไม่ถนัด พูดใหม่อีกครั้งสิคะ”หยางเฟิงถอนหายใจ “เดิมทีปู่สัญญากับคุณเย่ไว้ว่าจะไม่บอกเธอ”หยางถิงถิงรีบวิ่งมา แล้วถามว่า "มันจะเป็นไปได้ยังไงคะคุณปู่ ไอ้สารเลวนั่นจะเกี่ยวข้องกับเย่ซิวได้ยังไงผู้ชายน่ารังเกียจนั่น จะกลายเป็นวีรบุรุษได้ยังไง?”เธอไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้หยางเฟิงมองหลานสาวสุดที่รักของตัวเอง แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ที่จริงแล้วหลานมีอคติต่อเขามาตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย ดูอย่างเรื่องนี้ถ้าเขาไม่ลงมือในตอนนั้น หลานกับปู่ก็คงไม่มีตัวตนอยู่จะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตนั้น ถึงหล
หยางถิงถิงมองเย่ซิวด้วยสายตาที่ซับซ้อนและเอ่ยถามว่า "นายชื่อเย่ซิวใช่ไหม? เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งประเทศหลงเถิงคนนั้นใช่หรือเปล่า?"เย่ซิวหันไปมองหยางเฟิงที่เดินตามมาจากข้างหลัง และเมื่อเข้าใจสถานการณ์ เขาก็พยักหน้าโดยไม่ได้ปฏิเสธอะไรจากนั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าและรูปร่างของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยจนกลับคืนสู่โฉมหน้าที่แท้จริงเมื่อหยางถิงถิงเห็นใบหน้าที่เธอเคยเฝ้าฝันถึงมาตลอด ก็รู้สึกตะลึงไปชั่วขณะ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ผสมปนเปหยางเฟิงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ และกล่าวว่า "ขอโทษนะ คุณเย่ เมื่อกี้ฉันเผลอหลุดปากไปโดยไม่ได้ตั้งใจ""ช่างเถอะ" เย่ซิวส่งเสียงไปถึงถังอวิ้นที่อยู่ในวิลล่า สั่งให้เธอรอเขาอยู่ที่สวนหลังบ้าน จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับหยางเฟิงว่า"ตอนนี้ที่บ้านผมเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ผมต้องรีบกลับเดี๋ยวนี้ หลานสาวของคุณจะไปกับผมด้วยไหม?"ยังไม่ทันที่หยางเฟิงจะตอบ หยางถิงถิงก็รีบพยักหน้ารัว ๆ เหมือนลูกไก่จิกข้าวสาร "ไป ไป ไป! ฉันจะไปกับคุณ!"หลังจากรู้ตัวตนที่แท้จริงของเย่ซิวแล้ว ท่าทีของหยางถิงถิงก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจากที่เคยเป็นหญิงสาวผู้หยิ่งยโสกลับก
สัตว์นานาชนิดพุ่งกรูกันเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ดวงตาของพวกมันแดงก่ำ และพุ่งเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่งภาพเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ขาสั่นด้วยความหวาดกลัวนักรบของสำนักโอสถต่างถืออาวุธ กราดยิงอย่างบ้าคลั่งลูกธนูพุ่งออกไปอย่างหนาแน่นปกคลุมท้องฟ้าเหล่าสัตว์ป่าที่วิ่งนำหน้าล้มลงเป็นแถว ๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดฝูงที่อยู่ข้างหลังได้เลยตรงกันข้าม เลือดที่ไหลนองกลับยิ่งกระตุ้นให้พวกมันคลุ้มคลั่งมากขึ้นไปอีกแม้ว่าจะมีหน่วยสนับสนุนมาถึงเป็นระยะ ๆ แต่เมื่อเทียบกับสัตว์ป่าที่เต็มภูเขาและดูไม่มีที่สิ้นสุด กำลังเสริมก็ดูเล็กน้อยเกินไปการต่อสู้นี้ดำเนินต่อเนื่องตั้งแต่กลางวันจนถึงค่ำคืนแม้ว่าร่างแยกทองคำจะนำเสี่ยวไป๋ เฉินหลาน กระทิงคลั่ง และคนอื่น ๆ มาร่วมต่อสู้ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนักแนวป้องกันถูกบีบให้ถอยร่นไปเรื่อย ๆ และตอนนี้ใกล้จะถึงจุดอันตรายแล้ว"เราถอยไม่ได้อีกแล้ว" เฉินหลานปลดปล่อยพลังวิเศษ สังหารหมาป่าที่กระโจนเข้ามา จากนั้นก็หอบหายใจหนัก"หากถอยไปอีกสามสิบลี้จะถึงตัวเมือง เราปล่อยให้พวกมันบุกเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นเมืองทั้งเมืองจะต้องราบเป็นหน้ากลองภายในพริบ
ฉับ! ฉับ! ฉับ!เหล่าสัตว์ร้ายถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง นักรบแนวหน้าส่วนใหญ่ต่างเหนื่อยล้าจนแทบสิ้นแรงไม่เพียงแค่ยอดฝีมือทั้งหมดของสำนักโอสถที่ถูกระดมมาสู้ แม้แต่หนานกงอวี่ก็ได้นำกลุ่มยอดฝีมือมาสมทบด้วยการต่อสู้นี้เรียกได้ว่านองเลือดและโหดร้ายอย่างถึงที่สุดทั่วบริเวณกว่าร้อยลี้มีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วอากาศขณะนี้ทุกคนต่างหมดเรี่ยวแรง เมื่อเห็นฝูงสัตว์ร้ายที่ยังคงหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง"วันนี้ฉันจะต้องตายที่นี่จริง ๆ เหรอ?" เฉินหลานพึมพำกับตัวเองด้วยความสิ้นหวังหวังซวงเองก็ไม่ต่างกัน เธอทรุดลงกับพื้นหมดสิ้นเรี่ยวแรงไม่เพียงแค่พวกเธอ หนานกงอวี่ กระทิงคลั่ง ร่างแยกทองคำ เสี่ยวปิง อวิ๋นเหยา ก็ล้วนแล้วแต่มาถึงขีดจำกัดของตัวเองแล้วในช่วงสองวันสองคืนที่ผ่านมา พวกเขาสังหารสัตว์ร้ายไปไม่น้อยกว่าห้าแสนตัว อาวุธทุกชนิดแทบถูกจะใช้หมดสิ้นแล้ว"โฮก โฮก โฮก!!"เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังสนั่นเป็นคลื่นกระแทกเข้ามาสีหน้าของทุกคนซีดเผือด บางคนยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตน หลับตาลงและเตรียมใจรับความตายทั้งร่างกายและจิตใจของทุกคนมาถึงขีดสุด
หยางถิงถิงกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในใจก็คิดว่าไม่เสียแรงที่ฉันเป็นแฟนคลับของเขา ช่างร้ายกาจจริง ๆเธอลืมไปสนิทว่าครั้งหนึ่งเธอเคยด่าเย่ซิวไว้เพียงใดโลหิตจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของเย่ซิวผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วยเคล็ดวิชาและการสกัดกลั่นของจินตานห้าสี จนกลายเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นขนาดของจินตานห้าสีขยายขึ้นเรื่อย ๆในขณะเดียวกันเย่ซิวก็ขมวดคิ้วแน่นโลหิตเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังงานที่ปั่นป่วน บ้าคลั่ง และไม่เสถียรมีเพียงเขาที่รับมือไหว หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ดูดกลืนโลหิตเช่นนี้ คงกลายเป็นคนบ้าหรือไม่ก็ร่างกายระเบิดตายไปแล้วไม่นานเย่ซิวก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่ได้เติบโตขึ้นมาโดยธรรมชาติแต่เหมือนถูกเร่งให้โตอย่างผิดปกติเขาจับหมาป่าตัวหนึ่งและใช้พลังจิตสำรวจเข้าไปพบว่ากระดูกและโครงสร้างเนื้อเยื่อภายในผิดปกติอย่างมากมันเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนพองโต ดูใหญ่ก็จริง แต่เพียงแค่แตะเบา ๆ ก็อาจจะแตกได้แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฝูงสัตว์ร้ายที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้จำเป็นต้องถูกกำจัดทิ้งก่อน!เย่ซิวไล่กวาดล้างสัตว์ร้ายไปตลอดทาง จากมุมมองภายนอก ร่
เมื่อเปิดผ้าคลุมสีดำของชายผู้นี้ออกมา ปรากฏว่าข้างในเป็นคนแคระคนหนึ่งใบหน้าของเขาอัปลักษณ์ ผิวหนังเหี่ยวย่นราวกับคนแก่ขณะนี้เขากำลังมองเย่ซิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น"แกเป็นใคร? ทำไมถึงต้องโจมตีสำนักโอสถของฉัน ดูเหมือนเราจะไม่เคยมีความแค้นอะไรต่อกันนี่""จะฆ่าหรือจะทรมานก็รีบทำเสีย อย่าพูดอะไรให้มาก"ฝ่ายตรงข้ามแสดงท่าทีไม่เกรงกลัวต่อความตาย และไม่ให้ความร่วมมือใด ๆเย่ซิวก็ไม่ได้แสดงความปรานี เขาปล่อยจอมมารโลหิตออกมาโดยตรงแล้วพูดว่า "หาทางทำให้เขาเปิดปากพูดให้ได้ ฉันต้องการรู้ทุกความลับของเขา""ได้เลย นายท่านโปรดวางใจ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น" จอมมารโลหิตหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพุ่งเข้าไปในสมองของคนแคระคนนั้นทันทีทันใดนั้นร่างของคนแคระก็เริ่มดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเย่ซิวใช้โอกาสนี้สังเกตบริเวณโดยรอบที่นี่เป็นอาณาเขตของประเทศสุ่ยจือแล้วตามชื่อของมัน ประเทศนี้มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหนองน้ำ ทะเลสาบ และแม่น้ำโดยปกติแล้ว ประเทศที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์แบบนี้ไม่น่าจะยากจนได้แต่ประเทศสุ่ยจือกลับตรงกันข้าม มันเป็นประเทศที่แร้
เจ้าสำนักจ้องมองห้าพี่น้องตรงหน้า พยายามทำให้ท่าทางของตัวเองดูเป็นมิตรมากที่สุด “ไม่ต้องกลัวไปนะ พวกเราไม่ได้มาร้าย เคยได้ยินชื่อสำนักอวิ้นหลิงกันบ้างไหม…”ทั้งห้าคนพยักหน้าเบา ๆผ่านไปครึ่งชั่วโมง เหล่าผู้อาวุโสที่ออกไปตรวจสอบหมู่บ้านก็กลับมาจากที่ตรวจสอบข้อมูลแล้ว ไม่พบอะไรผิดปกติ ห้าพี่น้องก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาตลอดแต่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่า คนทั้งหมู่บ้านถูกฝังความทรงจำบางอย่างเพิ่มเติมเข้าไปและเรื่องนี้ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของจอมมารโลหิตนั่นเอง ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะส่วนระดับพลังของห้าร่างแยกในตอนนี้ ก็ถูกถ่ายโอนมาไว้ที่ร่างหลักของเย่ซิวชั่วคราวทั้งหมดดังนั้น พวกเขาจึงดูเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีใครจับพิรุธได้แม้แต่น้อยแนวคิดนี้ เย่ซิวเคยคิดไว้ตั้งแต่ตอนสอบเข้าเป็นศิษย์ใหม่แล้วสายเซียนกระบี่ในลัทธิ เป็นสายที่มีอิทธิพลและมีพลังมากการเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่มีทางชนะแน่นอนเย่ซิวจึงวางแผนจะส่งร่างแยกไปแฝงตัวอยู่ฝั่งนั้นเพราะหากเจออัจฉริยะระดับนี้ แน่นอนว่าทางสำนักต้องทุ่มสุดตัวในการฝึกฝนแน่ซึ่งก็หมายความว่าเหล่าศิษย์รุ่นใหม่คนอื่น ๆ จะได้รับทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก
เจ้าสำนักนำเหล่ายอดฝีมือมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขาหนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าสำนัก พวกเรามาที่นี่ทำอะไรกันแน่? ตลอดทางที่มาคุณก็ไม่พูดอะไรสักคำ”เจ้าสำนักส่ายหน้า “ก่อนอื่น ไปปิดล้อมหมู่บ้านนี้ไว้ก่อน แล้วลองหาดูว่ามีเด็กชายที่มีหน้าตาเหมือนกันห้าคนไหม”แม้ทุกคนจะไม่เข้าใจนัก แต่ก็เริ่มลงมือทันทีเจ้าสำนักระงับพลังของตัวเองไว้ แล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับปล่อยพลังจิตออกไปตรวจสอบทั่วพื้นที่ที่นี่เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา ผู้คนภายในก็ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติแต่เมื่อเขาเดินมาถึงกลางหมู่บ้าน กลับพบเด็กหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาห้าคน แต่เปล่งพลังวิญญาณออกมาอย่างชัดเจน แต่ละคนกำลังช่วยกันแบกฟืนและตักน้ำอย่างขยันขันแข็งบรรยากาศอบอุ่นและมีความสุขอย่างน่าประหลาดหัวใจของเจ้าสำนักสั่นสะเทือนเบา ๆ ก่อนที่เขาจะไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู “สวัสดีครับ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”เจ้าสำนักยิ้มอย่างเป็นมิตร “พอดีผ่านมาแถวนี้ รู้สึกคอแห้งนิดหน่อย เลยอยากขอน้ำดื่มสักแก้วน่ะ”เด็กหนุ่มเกาหัวแล้วยิ้มอย่างซื่อ
“แกจะส่งมาดี ๆ หรือจะให้ฉันลงมือเอามาเอง”เย่ซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”“แกน่าจะรวยมากเลยสินะ บอกไว้เลยนะ ฉันนี่แหละที่เป็นคนขายปีศาจแมวให้แก”เย่ซิวจึงเข้าใจทันที “ก็แสดงว่านายแอบทำอะไรไว้ในตัวเสี่ยวโหรว เพื่อใช้ติดตามฉัน… ดูท่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่นายทำแบบนี้สินะ”ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมืออาชีพใช้วิธีเอาเสี่ยวโหรวไปขายในตลาดมืด พอมีคนซื้อก็ค่อยตามไปแล้วหาจังหวะชิงตัวกลับมาจากนั้นก็เอาไปขายใหม่ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อย ๆถือเป็นวิธีหาเงินที่รวดเร็วจริง ๆแต่น่าเสียดายที่คราวนี้ดันมาเจอของแข็งเข้าแล้ว“ใช่เลย แกน่ะเป็นคนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลยนะ อยู่แค่ระดับสร้างรากฐานปราณแท้ ๆ แต่กลับพกศิลาวิญญาณมามากขนาดนั้น อย่างนี้ต้องรวยมากแน่…”พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็ลอบโจมตีทันทีทั้งที่มีพลังระดับวิญญาณก่อกำเนิด แต่ยังเล่นสกปรกด้วยการลอบจู่โจม เรียกได้ว่าทั้งเลวทั้งเจ้าเล่ห์สุด ๆเปรี้ยง!ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมากลางหัวอย่างจังชายคนนั้นถูกฟาดจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นเศษธุลีแทบไม่เหลือชิ้นดีเสี่ยวโหรวที่ยืนข้าง ๆ ถึงกับหน้าซีด
“สินค้าชิ้นที่สองของงานประมูล เป็นจิตวิญญาณนักรบระดับถอดจิตขั้นต้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สภาพจิตวิญญาณจึงยังไม่คงที่เราต้องใช้วิชาเฉพาะตัวเพื่อรักษาสภาพเอาไว้ชั่วคราว ต้องพาไปที่ที่มีพลังหยินหนาแน่น หรือไม่ก็ต้องมีจิตวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งช่วยรักษาให้ ราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนศิลาวิญญาณ”พูดจบ เธอก็หยิบลูกแก้วคริสตัลออกมา ภายในมีวิญญาณของปีศาจหมาป่าตนหนึ่งถูกผนึกไว้บนร่างมันมีรูโหว่อยู่หลายแห่งมีหลายคนให้ความสนใจ ต่างเริ่มเสนอราคากันเย่ซิวเองก็ถูกจิตวิญญาณนักรบตนนั้นดึงดูดสายตาเข้าแล้วเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากให้กระบี่แม่ลูกกับเสี่ยวโหรวไป เธอก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่นานราคาก็ถูกดันขึ้นไปถึงสองล้านกว่าศิลาวิญญาณถ้ามันไม่บาดเจ็บล่ะก็ ต่อให้มีหลายสิบล้านก็อาจจะยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำจำนวนคนที่ร่วมประมูลค่อย ๆ ลดลงเย่ซิวจึงเสนอราคาไปที่สามล้านศิลาวิญญาณในครั้งเดียว และชนะการประมูลไปอย่างราบรื่นของก็ถูกส่งมาถึงมือเย่ซิวอย่างรวดเร็วเขานำมันเก็บเข้าไปในธงหมื่นวิญญาณแล้วให้จิตวิญญาณนักรบทั้งสามที่อยู่ภายในช่วยรักษาบาดแผลให้แน่นอนว่าจอมมารโลหิตดู
แน่นอนว่าการค้างคืนด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เย่ซิวเสียสมาธิอะไรหากพูดถึงความเย้ายวน ก็ไม่มีใครจะสู้เสวี่ยเหมยได้อยู่แล้วในตลาดมืดแห่งนี้มีขายเสื้อคลุมแบบเดียวกับที่เย่ซิวสวมอยู่เขาซื้อมาเพิ่มอีกสองชุดเก็บไว้หนึ่งชุด อีกชุดให้เสี่ยวโหรวสวมไม่งั้นสายตาโลมเลียจากรอบข้างจะมากเกินไปหน่อยจากนั้นเขาก็พาเสี่ยวโหรวเดินเล่นในตลาดมืดต่อจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อของอะไรเดินวนไปหนึ่งรอบก็ไม่เจอของอะไรที่ดูมีค่าเป็นพิเศษแบบที่ในนิยายบางเรื่องชอบเขียนว่าพระเอกเดินผ่านตลาดแป๊บเดียวก็เจอสมบัติล้ำค่าอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนั้นไม่มีเกิดขึ้นที่นี่หรอกสุดท้ายเขาก็มาถึงอาคารจัดประมูลของตลาดมืดถึงจะเรียกว่าอาคาร แต่จริง ๆ ก็แค่โรงเรือนที่มีขนาดใหญ่กว่าร้านทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเองการเข้าไปข้างในต้องจ่ายค่าผ่านประตูคนละหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณเย่ซิวจ่ายไปสองร้อยแล้วก็จับมือเสี่ยวโหรวเดินเข้าไปมือของเธอนุ่มมาก แถมยังเย็นนิด ๆ ชวนให้รู้สึกอยากจับไม่ปล่อยตอนเข้าไป ที่นั่งก็เหลือว่างอยู่ไม่มากแล้วคนอื่น ๆ แค่เหลือบมองเย่ซิวแล้วก็หันหน้ากลับไปทันทีเพราะที่นี่ ถ้าจ้องใครนานเกินไปจะถูก
“วันนี้บังเอิญมีงานประมูลจัดขึ้นพอดี หนึ่งในของประมูลสำคัญคือหุ่นเชิดโบราณตัวหนึ่งมีพลังระดับถอดจิต ถ้าคุณมีฝีมือก็ลองประมูลดูได้”เย่ซิวสะดุดใจขึ้นมาทันที พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดระดับถอดจิตนั้นสูงมากถ้าได้มาจะช่วยยกระดับพลังโดยรวมของเขาได้มากทีเดียวเขาพยักหน้าแล้วก็ตรงเข้าสู่เขตตลาดมืดทันทีบรรยากาศภายในตลาดมืดดูไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปผู้บำเพ็ญตนนั่งเรียงกันสองฝั่งข้างทาง หน้าแต่ละคนมีแผงเล็ก ๆ วางของขายหลากหลาย“แวะมาดูได้เลย ของดีราคาถูก รับประกันไม่มีโกง”“คัมภีร์ประจำตระกูลของแท้ ขอแลกกับหินธาตุไฟ”“หญิงแท้ ขอแลกแต่งงานกับร้อยศิลาวิญญาณ”……ของหลากหลายจนมองตามแทบไม่ทันเย่ซิวเดินผ่านแผงขายของทีละอันของบางอย่างเขาก็สนใจ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก เลยไม่ได้ซื้ออะไรจู่ ๆ เขาก็หยุดที่แผงหนึ่งแผงนี้ไม่ได้มีของวางขายเหมือนแผงอื่น ๆ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่แทนเธอสวมเสื้อผ้าบางเบา ร่างเล็กบอบบางแต่รูปร่างกลับพอดีสัดส่วน หน้าตาจัดว่าระดับแปดเต็มสิบที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีฟ้าราวกับไพลินแค่เห็นแวบเดียวก็ยากจะละสายตามีคนจำนวนไม่น้อยหยุดมองที่แผงนี้
เย่ซิวเก็บร่างแยกทั้งห้าไว้ในจุดตันเถียนจากนั้นเขาก็ขังตัวเองบำเพ็ญตนในถ้ำอยู่อีกหลายวันเมื่อออกมาอีกครั้ง เขาก็ทยอยส่งมอบโอสถให้กับแต่ละคนตามที่สั่งไว้ แลกกับวัตถุดิบล้ำค่าหลายชิ้นหลังจากนั้นเย่ซิวก็ตรงไปหาจางเสี่ยวอวี๋ “ฉันอยากไปตลาดมืด เธอพอมีช่องทางไหม”ตลาดมืดนี่ เย่ซิวเคยได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในสำนักอวิ้นหลิงแล้วเขาว่ากันว่าสถานที่ตั้งลึกลับสุด ๆนอกจากคนในสำนัก ก็ยังมีผู้บำเพ็ญจากสำนักอื่น ๆ แอบเข้ามาทำการค้าด้วยเบื้องหลังตลาดมืดเหมือนจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่หลายรายการซื้อขายข้างในถือว่าปลอดภัยมากมีของดี ๆ หลายอย่างที่โลกภายนอกหาไม่ได้แน่นอนว่าถ้ามีสมบัติติดตัวมากเกินไปแล้วโดนรู้เข้าตอนออกจากตลาดมืดอาจถูกตามฆ่าปิดปากหรือโดนปล้นก็ได้“ฉันรู้สิ สถานที่แบบนั้นต้องใช้ชุดพิเศษในการเข้าไปด้วย”จางเสี่ยวอวี๋พูดจบก็ดึงชุดคลุมสีดำออกมาจากแหวนผนึกของ“ในนั้นทุกคนต้องใส่ชุดนี้ ห้ามเปิดเผยตัวตน และต้องจ่ายค่าผ่านประตูสิบศิลาวิญญาณด้วยนะ”เย่ซิวรับเสื้อคลุมมาถือไว้แล้วจางเสี่ยวอวี๋ก็อธิบายเส้นทางไปตลาดมืดให้ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากสำนัก เป็นเมืองเล็ก ๆ แ
“อะไรนะ? แค่วันเดียวนายก็กลั่นสำเร็จจริงเหรอ?”ทันทีที่เห็นเย่ซิว เจ้าสำนักก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเขาเองก็ไม่ได้เพิ่มพลังตัวเองมานานแล้วเหตุผลหลักก็เพราะไม่มีโอสถที่เหมาะสมพอให้ใช้โอสถระดับปฐมญาณนั้นหาได้ยากมากในตลาดต่อให้มีก็จะปรากฏแค่ในงานประมูลเท่านั้น และราคาก็มักจะพุ่งขึ้นสูงเทียมฟ้าเสมอแม้รั่วอวิ๋นจะสามารถกลั่นยาได้แต่เธอต้องลองห้าหกครั้งถึงจะสำเร็จสักครั้ง แถมแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนมหาศาล“ผมไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังครับ” เย่ซิวยื่นโอสถเก้าเม็ดที่ถูกเจือจางแล้วให้ ก่อนถอนหายใจหนึ่งที “ไม่คิดเลยว่าฝีมือกลั่นโอสถของผมจะแย่ขนาดนี้ ทั้งหมดออกมาเป็นแค่ระดับต่ำ”เจ้าสำนักมองโอสถระดับปฐมญาณในมือแล้วถึงกับตกใจ แม้เขาจะเป็นคนสุขุมมาก แต่ก็ยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาแล้วก็หัวเราะลั่นด้วยความยินดี “ดี ดีมาก ๆ ฝีมือกลั่นโอสถของนายอาจจะแซงหน้าอาจารย์ของตัวเองไปแล้วก็ได้นะ”เย่ซิวยิ้มเก้อ ๆ “ไม่น่าเป็นไปได้หรอกครับ ผมยังพัฒนาอีกมาก เอ่อ…”จู่ ๆ สีหน้าเขาก็ซีดเผือด ร่างกายโงนเงนเหมือนจะล้มเจ้าสำนักหรี่ตา “นายเป็นอะไรไป?”“ไม่เป็นไรครับ แค่เสียพลังมากเก
เย่ซิวเอ่ยรายชื่อวัตถุดิบออกมาติดต่อกันเป็นสิบ ๆ อย่างหนึ่งในนั้นก็คือวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายสำหรับการหลอมร่างแยกธาตุดินเขามีแผนการบางอย่างในใจ และจำเป็นต้องสร้างร่างแยกธาตุทั้งห้าสำเร็จเสียก่อนถึงจะลงมือได้ดวงตาของเจ้าสำนักเปล่งประกายวาบ “ฉันมีหินดินธาตุดั้งเดิมอยู่ก็จริง แต่ของสิ่งนี้ล้ำค่ามาก เว้นเสียแต่นายจะสามารถกลั่นโอสถระดับปฐมญาณออกมาได้”เย่ซิวพยักหน้า เขารู้จักโอสถประเภทนี้ดี มันสามารถเพิ่มพลังระดับปฐมญาณได้แต่กระบวนการกลั่นซับซ้อนมาก แถมวัตถุดิบยังหาได้ยากสุด ๆแค่ต้นทุนวัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นก็เกินสิบล้านศิลาวิญญาณแล้วผู้บำเพ็ญสายอิสระทั่วไปไม่มีทางสู้ราคาไหวแน่“แล้วเจ้าสำนักอยากได้กี่เม็ด ถึงจะยอมแลกล่ะครับ”“นายกลั่นได้จริงเหรอ?” เจ้าสำนักมองเย่ซิวด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เชื่อโอสถชนิดนี้ไม่เหมือนกับโอสถวิญญาณหยก ระดับความยากสูงกว่ากันหลายเท่าเย่ซิวไม่ได้รีบตอบในทันที แต่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผมขอลองก่อน ยังไม่กล้ารับประกันว่าจะสำเร็จเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าสำนักให้วัตถุดิบสำหรับหนึ่งเตากลั่นกับผมก่อนถ้ากลั่นไม่ได้ ผมยินดีจ่ายค่าต้นทุน