Masukหลังจากทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็อาบน้ำเดินเข้าห้อง วันหยุดที่แสนจะเหนื่อยล้าจากการเดินจนขาลาก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปลายสายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ส่งข้อความจะโทรมาเม้าท์มอยเรื่องงาน เอนตัวลงบนเตียงนอนคุยโทรศัพท์นานสองนานกว่าจะวางสายไป รอยยิ้มที่มีความสุขของลูกในวันนี้ผุดขึ้นมาในหัวทำให้เผลอยิ้มคนเดียว หลับตาผ่อนคลายเบาๆ ด้วยความอ่อนเพลียทำให้เผลอหลับไป
สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกฝ่าเท้าเล็กๆ ถีบเข้าที่สะโพก เธองัวเงียลุกขึ้น ไฟในห้องถูกปิดแล้ว ตอนไหนกัน นี่เธอกลายเป็นคนนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงไม่รู้สึกตัวได้ขนาดนี้ และที่สำคัญสองพ่อลูกนอนอยู่ข้างเธอ บนเตียงเดียวกัน ลุกพรวดขึ้นมาทันที กำลังอ้าปากจะวีนเขา
“ชู่ว” ภูวดลที่ส่งสัญญาณห้ามใช้เสียง นิ้วชี้วางทับที่ริมฝีปากและชี้ที่เจ้าตัวเล็กที่กอดพ่อแน่นและกำลังหลับอย่างสบายใจ
“กลับห้องคุณเลย” เธอกระซิบเสียงเบา
เขาชี้นิ้วบอกต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้กลับห้องที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ตอนนี้ มุกดาโน้มตัวลงไป เอื้อมมือคว้าแขนเจ้าตัวเล็กออกจากอกพ่อ และทันทีที่ภูวภัสพลิกตัวเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วและฟาดแขนลงที่แขนพับของแม่อย่างกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัวจนล้มฟุบลง พร้อมกับขาที่ตวัดพาดกอดลำตัวผู้เป็นแม่ไว้ นี่แหละคือความนอนดิ้นของเจ้าเด็กน้อย
ภูวดลถือโอกาสหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้สองแม่ลูก โน้มใบหน้าเข้าใกล้ฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มนิ่มของลูกชายที่ซบอยู่ตรงหน้าอกแม่อย่างรวดเร็ว ก่อนตวัดสายตามองแม่เด็ก และเอนกายลงนอนซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม เอื้อมมือปิดโคมไฟหัวเตียงอย่างเนียน ๆ
มุกดาผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ อย่างยืดยาวกลัวเขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเธอ รู้สึกชาวูบวาบที่ใบหน้า ใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ทำบ้าอะไรของเขาตกใจหมดเลย เธอบ่นในใจ
“พ่อแม่น้ำขิงยังนอนเตียงเดียวกันได้เลย”
คำพูดของลูกแวบมาในหัว วันนี้ให้เขาสมหวังสักวันก็แล้วกัน
ภูวดลนอนลืมตามองเพดานอยู่นานสองนานก็ยังไม่มีท่าทีว่าสองแม่ลูกจะรู้สึกตัว เจ้าตัวเล็กที่เมื่อตอนหัวค่ำนอนตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ แต่ตอนนี้ปีนข้ามมาอีกฝั่งและนอนทับร่างใหญ่ฝั่งซ้ายของพ่ออยู่ มือน้อยๆ กอดที่ลำตัวพ่อไว้ ขาของเจ้าตัวเล็กพาดทับที่สะโพกของพ่อ
ส่วนร่างฝั่งขวาของภูวดลเป็นของมุกดาที่ก่อนหน้าจะเข้านอนเธอไล่ให้เขากลับไปนอนที่ห้อง แต่ตอนนี้เจ้าตัวกลับนอนหนุนไหล่ทับแขนชายหนุ่มจนเริ่มชาแล้ว มือของเธอสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังของเขาเพื่อรับความอบอุ่นโดยที่เจ้าของมือยังไม่รู้ตัว อีกข้างโอบกอดลำตัวเขาและภูวภัสไว้ด้วยกัน
ภูวดลเอียงหน้าก้มลงมองคนที่ทับแขนจนชาไปถึงปลายมือแล้วตอนนี้แต่ยังไม่กล้าขยับเพราะกลัวเธอตื่น จมูกของสองใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ กลิ่นแชมพูจากเรือนผมของเธอบวกกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเรือนกายปะทะจมูกเขาจนเผลอไหลไปตามกลิ่นนั้น ปากอวบอิ่มที่เผยอน้อยๆ และยังหลับใหลเหมือนขาดการนอนมายาวนาน ร่างกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ หน้าอกที่เกยทับข้างลำตัวของเขาอยู่ตอนนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าไม่มีบราห่อหุ้มเลยจากสัมผัสที่เขารับรู้ได้
เธอขยับตัวพลิกศีรษะไปมากับหัวไหล่ พร้อมผ่อนลมหายใจยืดยาว ปลายเท้าที่พาดกับขาเขาภายใต้ผ้าห่มนั้นถูไปมากับขาแข็งแรงอย่างแผ่วเบา และหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะถูสัมผัสอีกครั้ง และดึงขากลับอย่างฉับพลัน ภูวดลปิดเปลือกตาลงทันที
มุกดาเบิกตาโพลงแหงนมองใบหน้าเจ้าของไหล่ที่เธอหนุนอยู่ หัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า หลับตาปี๋นึกเจ็บใจตัวเองที่หลับลึกแบบนี้ได้ยังไงกัน ค่อยๆ ดึงมือที่ซุกอยู่ใต้แผ่นหลังเขาออกมาอย่างเบามือ ยกศีรษะขึ้นช้าๆ หยิบผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างอยู่ออกอย่างแผ่วเบา ค่อย ๆ ลุกจากเตียงนอน ก่อนที่นอนจะฟูขึ้นและรีบเดินออกห้องไปทันที
ภูวดลเปิดตาขึ้นหลังจากเสียงประตูห้องปิดลงกำมือเข้าออกอยู่สักพักเพื่อคลายอาการมึนชา พลิกตัวมาหาเจ้าตัวเล็กจูบลงที่หน้าผากเบาๆ คงเหนื่อยไม่ใช่เล่นกับวันหยุดที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับสวนสนุกเมื่อวานถึงได้หลับลึกทั้งแม่ทั้งลูก เผลอยิ้มมุมปากเมื่อถึงนึกคนที่เพิ่งเดินออกห้องไปเมื่อครู่
เช้าวันหยุดที่ไม่ต้องเร่งรีบในการใช้ชีวิต หลังจากลุกจากที่นอนก็นั่งผ่อนคลายพร้อมแก้วกาแฟหอมกรุ่นตรงหน้า ภาพในห้องเมื่อครู่แวบเข้ามาในหัวหญิงสาวผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่
ดีนะที่เขาไม่ตื่นมาเห็นเข้าไม่งั้นคงขายขี้หน้าไม่น้อย ไล่เขากลับไปนอนห้องแต่ตัวเองนอนกอดเขาแน่นเพราะเข้าใจว่ากอดลูกอยู่ รู้สึกแปลกกับตัวเองที่หลับลึกได้ขนาดนั้นอาจจะเป็นเพราะความกังวลเกี่ยวกับลูกมันถูกแบ่งเบาออกไป เพราะรู้ว่าเด็กอยู่กับพ่อทำให้เธอผ่อนคลายและกล้าที่จะพักผ่อนอย่างเบาใจ แต่คงไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่จะนอนร่วมเตียงเดียวกันแบบนี้ แถมเสื้อชั้นในก็ไม่ได้ใส่ เพราะไม่คิดว่าเขากับลูกจะเข้ามานอนในห้องกับเธอ
เสียงพูดคุยของสองพ่อลูกแว่วออกมาจากในห้อง แสดงว่าตื่นกันแล้ว
“แม่ครับวันนี้ภูกับพ่อดลจะไปเล่นเตะบอลกันที่สวนสาธารณะแม่ไปด้วยไหมครับ?”
“อืม…” เธอแกล้งทำท่าครุ่นคิด
“แม่เตะบอลไม่เป็นไม่ไปดีกว่าค่ะ อยู่บ้านทำกับข้าวอร่อย ๆ รอภูดีกว่า” งานบ้านที่รออีกเพียบเพราะพรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานอีก
“ก็ได้ครับ”
หลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้นสองพ่อลูกก็ขับรถออกไป พร้อมกล่องผลไม้ ขนม ขวดน้ำดื่ม ที่ผู้เป็นแม่จัดเตรียมไว้ให้เหมือนกับว่าสองพ่อลูกออกไปตั้งแคมป์เสียอย่างนั้น ส่วนตัวเองก็ขลุกอยู่กับการทำงานบ้าน
มีคนช่วยเลี้ยงลูกแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเธอคิดในใจ ถึงแม้การเลี้ยงลูกของเขาจะเป็นแบบสไตล์ผู้ชายแต่ดูเหมือนจะถูกใจเจ้าตัวเล็กอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เธอจะปล่อยเลยตามเลยนั้นคงไม่ได้ เสร็จจากงานบ้านก็ถือโอกาสได้งีบกลางวันผ่อนคลายในรอบหลายเดือนมานี้ที่ไม่มีโอกาสได้ทำ
เสียงฟ้าคำรามปลุกเธอให้ตื่นขึ้นรู้สึกสดชื่นกับการได้พักเพียงไม่กี่นาที มองนาฬิกาก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ท้องฟ้ายังมีแดดเปรี้ยงปร้างแต่เสียงคำรามก็ยังแทรกเข้ามา อีกฝั่งของท้องฟ้าตั้งเค้าดำทะมึนมาแต่ไกล พลางนึกห่วงเจ้าตัวเล็กที่ออกไปเตะฟุตบอลกับพ่อข้างนอกและนึกกลัวอยู่ในใจว่าเจ้าตัวแสบจะแอบเล่นน้ำฝนโดยผู้เป็นพ่อปล่อยตามใจหรือเปล่า และลุกไปเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไว้รอสองหนุ่ม
เม็ดฝนหล่นเปาะแปะลงมาบ้างแล้ว กับข้าวสำหรับมื้อเย็นก็เสร็จเรียบร้อย สายตาคอยมองออกไปนอกรั้วบ้านว่าเมื่อไหร่สองพ่อลูกจะกลับมาเสียที แล้วเม็ดฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากเปาะแปะก็เพิ่มเป็นห่าใหญ่ บวกกับเสียงคำรามเป็นระยะๆ มองออกนอกชายคาขาวโพลนไปด้วยหยาดฝนและไม่มีทีท่าว่าสองพ่อลูกจะโผล่มาให้เห็น
“ฮัลโหล…กลับหรือยังคะ?”
(“กำลังกลับใกล้ถึงแล้ว”)
“ฝนตกหนักมากห้ามให้ภูตากฝนนะคะเดี๋ยวไม่สบาย”
(“อื่อ”) เสียงตอบรับจากเขาและวางสายไป
เสียงรถยนต์ที่วิ่งฝ่าสายฝนมาจอดหน้าบ้าน มุกดาคว้าร่มออกมากางเดินไปรับลูกที่รั้วด้านหน้า ภูวภัสเปิดประตูออกมาผู้เป็นแม่ที่ยืนกางร่มอยู่ข้างประตูรถกลัวลูกจะโดนฝน
“ไม่เป็นไรครับแม่ภูเปียกแล้วครับ”
เจ้าของเสียงสดใสพูดอย่างอารมณ์ดีเดินลงจากรถพร้อมร่างที่เปียกปอนยันศีรษะ ผมเรียบติดหน้าผากปากขาวซีด แถมไอเย็นจากแอร์ในรถยังฉ่ำออกมาถึงเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกต่างหาก แต่แววตาของเจ้าตัวเล็กกลับสดใสแวววาว นี่ถ้าเดาไม่ผิดคงเล่นน้ำฝนมาอย่างแน่นอน
ผู้เป็นพ่อที่นั่งฝั่งคนขับเปิดประตูออกมาก็สภาพไม่แตกต่าง คือเปียกปอนทั้งพ่อทั้งลูก
“นี่ภูเล่นน้ำฝนมาเหรอ?”
คำถามที่มาพร้อมสายตาคาดโทษจากผู้เป็นแม่
“เปล่าครับ…ที่จอดรถอยู่ไกลกว่าจะวิ่งมาถึงรถ ก็เปียกหมดเลยครับ ภูกับพ่อดลไม่ได้เล่นน้ำฝนจริงๆ นะครับ ถามพ่อดลก็ได้ครับ”
ไม่ต้องถามเธอก็รู้ว่าโกหก
ภูวภัสที่แววตาเปล่งประกายบ่งบอกว่ามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“ไปอาบน้ำสระผมเลย”
ก่อนตวัดสายตามองคนที่รับปากว่าไม่ให้ลูกโดนฝน แต่เปียกกลับมาบ้านอย่างกับลูกหมาตกน้ำ ส่วนเขาที่เดินเข้าบ้านแบบไม่รู้ไม่ชี้
มุกดาใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเส้นผมของลูกชายหลังจากอาบน้ำเสร็จ เสียงจามฟุตฟิตขึ้นจมูกอยู่หลายครั้งส่งสัญญาณว่าเจ้าตัวเล็กน่าจะโดนหวัดเล่นงานแล้วหรือเปล่า หลังอาหารมื้อเย็นให้กินยาสำหรับเด็กดักไข้ไว้ก่อนเลย
“วันนี้ภูนอนกับแม่นะคะ”
ความกังวลที่คิดว่าลูกอาจไข้ขึ้นกลางดึก และไล่พ่อของลูกไปนอนอีกห้อง
เป็นดังที่เธอคาดไว้ไม่มีผิดเจ้าตัวเล็กที่สนุกในตอนกลางวัน ตกกลางคืนหายใจฝืดจากการคัดจมูก พร้อมไอร้อนจากผิวกายที่แผ่มาถึงผู้เป็นแม่ที่นอนอยู่ข้างๆ ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน นี่ขนาดก่อนนอนเธอให้กินยาดักไว้ยังเอาไม่อยู่เลย
ลุกขึ้นเปิดไฟ หลังมือสัมผัสหน้าผากลูก ตามกรอบหน้าและลำคอ ก้มลงมองใบหน้าเด็กน้อยที่ตอนนี้แก้มแดงระเรื่อแต่ปากซีดแห้งผาก วางหลังมืออังหน้าผากดูอีกครั้ง อุณหภูมิในร่างกายของภูวภัสที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกชัดว่าเจ้าของร่างโดนไข้จับเสียแล้วอย่างแน่นอน
กะละมังใบเล็กพร้อมผ้าชุบน้ำถูกนำเข้ามาในห้องนอนเช็ดตัวให้คนที่ปิดเปลือกตาอยู่ พรุ่งนี้ถ้าอาการไม่ดีขึ้นค่อยพาไปหาหมออีกที พร้อมเสียงงอแงของเด็กชายเมื่อโดนผ้าชุบน้ำเช็ดตัว
“ภูเป็นไข้นะลูกแม่เช็ดตัวให้นะคะ”
“ภูหนาว” เสียงงอแงเบ้หน้าไม่อยากโดนน้ำ
“ภูง่วงนอน”
“เช็ดตัวก่อนนะคะคนเก่งเดี๋ยวไข้ขึ้น พรุ่งนี้แม่พาไปหาหมอนะคะ”
พร้อมเสียงปลอบประโลมจากผู้เป็นแม่พูดไปเช็ดไป แต่อุณหภูมิในร่างกายดูเหมือนจะยังไม่ยอมลด ตอนนี้เสียงงอแงปนไปด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ
“ไม่เอาภูไม่อยากเช็ดตัว” งอแงเสียงแหบแห้งและร้องไห้อย่างแผ่วเบาที่ผู้เป็นแม่ไม่ยอมหยุดเช็ดตัวให้สักที
หลังจากทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็อาบน้ำเดินเข้าห้อง วันหยุดที่แสนจะเหนื่อยล้าจากการเดินจนขาลาก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปลายสายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ส่งข้อความจะโทรมาเม้าท์มอยเรื่องงาน เอนตัวลงบนเตียงนอนคุยโทรศัพท์นานสองนานกว่าจะวางสายไป รอยยิ้มที่มีความสุขของลูกในวันนี้ผุดขึ้นมาในหัวทำให้เผลอยิ้มคนเดียว หลับตาผ่อนคลายเบาๆ ด้วยความอ่อนเพลียทำให้เผลอหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกฝ่าเท้าเล็กๆ ถีบเข้าที่สะโพก เธองัวเงียลุกขึ้น ไฟในห้องถูกปิดแล้ว ตอนไหนกัน นี่เธอกลายเป็นคนนอนขี้เซาตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงไม่รู้สึกตัวได้ขนาดนี้ และที่สำคัญสองพ่อลูกนอนอยู่ข้างเธอ บนเตียงเดียวกัน ลุกพรวดขึ้นมาทันที กำลังอ้าปากจะวีนเขา“ชู่ว” ภูวดลที่ส่งสัญญาณห้ามใช้เสียง นิ้วชี้วางทับที่ริมฝีปากและชี้ที่เจ้าตัวเล็กที่กอดพ่อแน่นและกำลังหลับอย่างสบายใจ“กลับห้องคุณเลย” เธอกระซิบเสียงเบาเขาชี้นิ้วบอกต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้กลับห้องที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ตอนนี้ มุกดาโน้มตัวลงไป เอื้อมมือคว้าแขนเจ้าตัวเล็กออกจากอกพ่อ และทันทีที่ภูวภัสพลิกตัวเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็วและฟาดแขนลงที่แขนพับของแม่อย่างกะทันหันโดยไ
ทุกสายตาแอบชำเลืองมองสองร่างที่เดินเข้าสำนักงาน ผู้เป็นพ่อที่จูงมือลูกชายเดินผ่านหน้าประชาสัมพันธ์ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ผิดกับเจ้าตัวเล็กที่กวาดสายตามองรอบบริเวณอย่างตื่นเต้นถึงแม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มานั่งเล่นในห้องทำงานของพ่อระหว่างที่รอให้แม่กลับถึงบ้าน พนักงานสาวต่างสุมหัวซุบซิบหลังจากเจ้านายหนุ่มเดินลับตาไป ครั้นจะหาคำตอบจากคนสนิทอย่างเทวาก็คว้าน้ำเหลว“อยากรู้ก็ถามบอสเองสิครับ?”“ลูกบอสหรือเปล่า?“แต่บอสยังไม่ได้แต่งงานนี่นา”“โอ๊ย…ไม่แต่งงานก็มีลูกได้”“แล้วแม่เด็กล่ะ มีใครเคยเจอสักครั้งหรือยัง?”“ไม่เคยนะ”“ทำไมไม่ลองถามเด็กดูล่ะ”“เธอก็เดินเข้าไปถามสิในห้องบอสน่ะ”“พูดเป็นเล่น” และต่างเดากันไปต่างๆ นานาอย่างสนุกปากและแน่นอนว่าเรื่องนี้ถึงหูลลิตาอยู่แล้วจากที่ผูกมิตรกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ไว้ขอให้ส่งข่าวหากมีความเคลื่อนไหวของภูวดลเจ้าหน้าที่การเงินวางแฟ้มรายงานการเบิกจ่ายประจำเดือนที่สูงผิดปกติบนโต๊ะทำงานประธานหนุ่ม พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดคร่าว ๆ ที่อยู่ในแฟ้มให้เจ้านายฟัง“พ่อครับ”“ภูต่อเสร็จแล้วนะครับ พ่อมาดูเร็ว”เสียงที่กำลังรายงานเจ้านายอยู่สะดุดทันที และหัน
เสียงเคาะประตูที่หน้าห้องทำงานปลุกให้คนที่นั่งอมยิ้มปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันทีจากการดูภาพถ่ายของตัวเองกับลูกชาย และภาพที่แอบถ่ายแม่ของลูกก่อนหย่อนโทรศัพท์มือถือเข้าเก็บในกระเป๋ากางเกง“วินนี่โทรหาคุณหลายครั้งแล้วแต่เทวาบอกว่าคุณยุ่งอยู่วินนี่ก็เลยแวะมารอค่ะ”วนิดา ที่กำลังตกเป็นข่าวซุบซิบในแวดวงไฮโซว่าเธอคือหญิงสาวที่กำลังคบหาดูใจกับภูวดลอยู่ในขณะนี้ แต่เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่เธอสร้างขึ้นและกระจายข่าวออกไปเท่านั้น สำหรับเธอเองที่ยังรอคอยสถานะจากภูวดลอยู่ และไม่มีทีท่าว่าเขาจะให้ความชัดเจนกับเธอเลยสักครั้ง ยังคลุมเครืออยู่อย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ท้อใจในการวิ่งตามความรู้สึกของตัวเอง“ผมเพิ่งออกห้องประชุมเห็นเบอร์คุณแล้วแต่ยังไม่ได้โทรกลับ”“คุณมีอะไรด่วนหรือเปล่า?”“ไม่มีอะไรด่วนหรอกค่ะ วินนี่แค่มาชวนคุณไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน”“ไปนะคะ” ส่งยิ้มให้และรอคำตอบอยากจะปฏิเสธแต่ก็นึกเห็นใจหล่อนที่อุตส่าห์นั่งรอเขาอยู่นานจนกระทั่งประชุมเสร็จ ไหน ๆ ก็เป็นคนคุ้นเคยก็แค่ออกไปกินข้าวกลางวันเท่านั้น จึงตกปากรับคำไป แต่ในใจกลับคิดถึงสองแม่ลุกขึ้นมาเสียอย่างนั้นมุกดานั่งมองคนหน้าเศร้าที่ต่อจิ๊กซอว์คนเดี
ภูวดลเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าใบใหญ่ ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น พร้อมชุดทำงาน ลากลงมาจากชั้นบนพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของขนุนที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่“คุณดลจะไปญี่ปุ่นเหรอคะ?”“เปล่า?”ขนุนกะพริบตาปริบๆ เพียงแค่เก็บความสงสัยไว้ไม่กล้าถามต่อ หลังจากที่คุณท่านเสียเจ้านายคนเล็กก็กลับมาอยู่ที่บ้าน นานๆ จะกลับไปค้างที่คอนโดสักครั้งแต่วันนี้จัดกระเป๋าเองและไม่ได้ไปต่างประเทศ แล้วจะไปไหน ได้แค่สงสัยเท่านั้น“ตอนเย็นไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อฉันนะ”“วันนี้ไม่กลับบ้าน” บอกอย่างอารมณ์ดี“ค่ะคุณดล”ภูวดลจอดรถที่หน้าโรงเรียนรอรับภูวภัสหลังเลิกเรียนซึ่งชั้นอนุบาลคุณครูจะปล่อยเด็กกลับบ้านเร็วกว่ารุ่นพี่ชั้นปฐม แต่เนื่องจากต้องรอแม่มารับหลังเลิกงานทุกวันเด็กชายจึงค่อนข้างแปลกใจที่คุณครูบอกว่าผู้ปกครองมารอรับเด็กชายภูวภัสแล้วไม่แค่เพียงภูวภัสเท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ คุณครูประจำชั้นอนุบาลที่รู้สึกคุ้นหน้ากับคุณพ่อของเด็กน้อยที่ดูยังไงก็เหมือนประธานบริษัทแขกคนสำคัญของทางโรงเรียน ที่นำของมาบริจาคให้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา“พ่อดล”เมื่อมั่นใจว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กนักเรียนจริงคุณครูก็อนุญาตให้กลับได้ ภู
ภูวภัสตื่นแต่เช้าตรู่เพื่ออาบน้ำพร้อมกับเสียงเพลงจากปากเจ้าตัวเล็กที่ร้องดังจนก้องห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี แต่งตัวรอพ่อมารับอย่างตื่นเต้น มุกดาที่มองภาพเด็กชายพร้อมความเศร้าที่ผุดขึ้นมาในใจรู้สึกผิดต่อลูกจนใจหวิว เขาคงดีใจมากที่มีพ่อเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ซึ่งทุกครั้งที่ลูกถามเธอก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดเสียงรถจอดหน้าบ้านพร้อมกับร่างเจ้าตัวน้อยที่วิ่งพรวดพราดออกไปดูทันที“พ่อดลมาแล้ว” เปิดประตูรั้ววิ่งออกไปหาผู้เป็นพ่อที่อยู่หน้าบ้าน“รอพ่อนานไหมครับ?” อุ้มลูกขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอด“นานมาก….” ลากเสียงยาว“ยังไม่ถึงเวลานัดเลย พ่อมาก่อนเวลาด้วยนะโกหกหรือเปล่า?”พร้อมเสียงหัวเราะสองพ่อลูกที่ดังประสานกันสองผู้สูงวัย ยายดวงใจ และตาทวี ที่กำลังตัดแต่งกิ่งดอกกุหลาบในกระถางหน้าบ้านส่งสายตาข้ามกำแพงรั้วที่สูงแค่อก กั้นอาณาเขตบ้านสองหลังอยู่ มองภาพผู้มาเยือนที่ไม่คุ้นหน้าแต่ท่าทางสนิทสนมกับภูวภัส ก่อนจะเอ่ยปากถามเด็กชาย“น้องภูจะไปเที่ยวไหนจ๊ะแต่งตัวเท่เชียว” คำถามจากยายดวงใจ“ไปซื้อของครับยายดวง”“พ่อมารับครับ” เด็กน้อยอวดว่าเขามีพ่อแล้วอย่างมีความสุข“พ่อ?” ยายดวงทวนคำพูดของเด็กน้อยในใจ“สวัสดีครับ”ภูวดลท
ความเงียบเข้าครอบคลุมการสนทนาชั่วขณะ พร้อมกับหัวใจของมุกดาที่หล่นวูบลงเช่นกัน ก่อนเรียกสติกลับคืนมา“คุณพูดอะไร?”“ฉันรู้ภูเป็นลูกฉัน”มุกดาที่แววตาไหวระริกกับคำพูดของเขา ใจเต้นแรงพร้อมใบหน้าที่ร้อนวูบวาบแต่ยังคุมอาการได้อยู่แม้จะหวิว ๆ ในใจ พร้อมหลากหลายคำถามและคำตอบวิ่งวนปั่นป่วนในหัวไปหมด เขารู้แล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เขารู้ได้ยังไง หรือเขาแค่ลองหยั่งเชิงเธอดูเท่านั้น“เธอไม่คิดจะให้พ่อลูกเขาเจอกันเลยหรือยังไง?“ถ้าฉันไม่บังเอิญเจอลูกเองก็คงไม่รู้”“ใจดำไปนะ”มองใบหน้าสวยด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ยาก“ใครบอกคุณคะว่าภูเป็นลูกคุณ?”พลันคำพูดของเด็กน้อยในวันนั้นที่แวบเข้ามาในความจำว่าลุงดลตัดเล็บให้ เขาเอาไปตรวจดีเอนเอแล้วหรือเปล่านะ ถึงได้พูดแบบนี้ แต่เธอต้องนิ่งเข้าไว้ภูวดลยื่นซองเอกสารส่งให้เธอดู มุกดารับมาอ่านและวางลงดังเดิมควบคุมปฏิกิริยาตัวเองทั้งสีหน้าและอารมณ์ให้คงที่ บอกตัวเองว่าเธอไม่ใช่เด็กในบ้านเขาแล้ว ไม่ใช่พนักงานในบริษัทของเขาที่ยังรับเงินเดือนจากเขา ไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัวเลยสักนิด แม้ในใจจะหวั่น ๆและแล้ววันที่เธอกลัวมาตลอดก็มาถึงจนได้ วันที่เขาเจอเธอและลูก ที่สำคัญเข







