LOGINตึกXXX
น้ำชายืนมองตึกสูงเสียดฟ้าที่ตั้งอยู่ตรงหน้าอย่างนึกคิด หลังจากที่ไปดูมินิคอนเสิร์ตที่ผับคืนนั้นมาก็ทำให้จำได้ว่าเธอเคยอยากจะทำอะไร
ความฝันอีกอย่างของน้ำชาก็คือการได้เป็นนักเต้น เธออยากจะมีโอกาสได้ไปเป็นแดนเซอร์ให้นักร้องดังทั้งในไทยและต่างประเทศ หรือไม่อย่างน้อยๆก็อยากจะเปิดโรงเรียนสอนเต้นเป็นของตัวเองในอนาคต
หากแต่ความฝันนั้นก็จำต้องพักไว้ตั้งแต่ช่วงหนึ่งปีก่อน เธอไม่อยากมาเหยียบที่นี่อีกเพราะไม่อยากเจอใครบางคน และถ้าหากว่าเธอหาที่เรียนเต้นที่ดีกว่านี้ได้ก็ไม่คิดจะกลับมาเหยียบที่นี่เช่นกัน
เจ้าของใบหน้าสวยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนที่จะก้าวเท้าฉับเดินตรงไปข้างหน้าอย่างหมายมั่น บรรยากาศเก่าครั้งหลังวันวานย้อนเข้ามาในห่วงความคิด เธอกับเพื่อนสนิทเคยเดินจูงมือหัวเราะด้วยกันไปตลอดทางเดินที่ก้าวอยู่ น่าเสียดายเพียงเพราะผู้ชายคนเดียวทำความสัมพันธ์ดีงามนี้ต้องจบลง…
ระหว่างทางเดินไปน้ำชาเห็นแต่ไกลว่าลิฟต์ที่เธอต้องใช้กำลังจะปิดลงจึงได้ตะโกนร้องบอกคนด้านใน
“รอด้วยค่ะ ไปด้วย”
ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งข้างในนั้นมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ดูๆไปก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ น้ำชารีบโค้งศีรษะขอบคุณและยิ้มให้ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนภายในลิฟต์คู่กับเขา
“ไปชั้นไหนหนู?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ชั้นยี่สิบเอ็ดค่ะ” เธอตอบกลับเขาไปพร้อมรอยยิ้มและเขาก็ยิ้มตอบกลับมาให้เธอ แต่รอยยิ้มแบบนั้น…เธอนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
สองคนต่างวัยในลิฟต์ตัวเดียวกันไม่มีบทสนทนาใดอีก ทว่าลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นไปได้ไม่เท่าไรก็เกิดอาการแปลกๆเช่นไฟกะพริบติดๆดับๆ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือมันกระตุกอยู่สองสามครั้งแล้วก็นิ่งไป
กึก! กึก!
“เกิดอะไรขึ้น?”
“สงสัยลิฟต์จะค้างค่ะ”
“ลิฟต์ค้าง?” คนได้คำตอบสีหน้าแววตาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ปะ…เปล่า ไม่เป็นอะไร” เขาปฏิเสธเสียงสั่นทั้งที่ใบหน้าผุดซึมไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ น้ำชาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขยับเข้าไปใกล้มือก็ควานหายาดมยาหม่องในกระเป๋าไปด้วย
“คุณไหวไหมคะ” ถามไปน้ำชาก็เอาพัดลมมือถือที่พกมาด้วยจ่อไปที่หน้าของอีกคน เขาหน้าซีดมากจนเธอนึกสงสารอีกใจก็นึกโมโหที่บุคลากรด้านนอกปล่อยให้ลิฟต์ค้างนานขนาดนี้
“ตึกใหญ่ตึกโตขนาดนี้ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ไงกันนะ” เสียงบ่นกระปอดกระแปดของน้ำชาพาให้อีกคนเงยหน้าขึ้นมอง
“ใครเป็นเจ้าของ ทำไมไม่ดูแลดีๆ”
“บางทีเขาอาจจะไม่ค่อยว่างก็ได้นะหนู”
“นั่นสิค่ะ ลืมไปว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย อีกอย่างเจ้าของตึกเขาก็คงมีงานอีกมากมายให้ทำตามประสาคนรวย”
“อืม จริง” อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยตามนั้น อาการใจสั่นหน้าซีดเริ่มดีขึ้นเพราะมีหญิงสาวใจดียื่นทั้งยาดม ทั้งพัดลมมือถือมาจ่อให้ แววตาที่ดูเป็นห่วงเป็นใยกันนั่นก็อีก อายุก็ปาเข้าไปจะห้าสิบแล้วเสือกจะมาใจสั่นเพราะเด็กสาวคราวลูกเฉยเลย
เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีทุกอย่างก็ถูกแก้ไข ประตูลิฟต์เปิดออกที่ด้านนอกมีผู้ชายสองสามคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นพุ่งตรงเข้ามาในลิฟต์ทันทีแม้ว่าประตูยังเปิดออกไม่สุดก็ตาม
“ท่านเป็นยังไงบ้างครับ?” ชายรูปร่างดีแสดงสีหน้ากรุ่นกังวลอย่างชัดเจน ปลายหางตามองที่น้ำชาเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไปสนใจเจ้านายของตัวเองต่อ
“นั่นหนูจะไหนเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยทักในขณะที่น้ำชากำลังพาตัวเองเดินไปยังประตูทางเข้าบันไดหนีไฟ
“พอดีหนูมีเรียนเต้น ไม่อยากให้คนอื่นรอ ขอตัวก่อนนะคะ” น้ำชาโค้งศีรษะให้อีกคนเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินเข้าประตูหนีไฟไป โดยที่มีสายตาของชายวัยกลางคนมองตามไปพร้อมกับรอยยิ้ม
“ท่านครับ”
“มีไร?”
“ผมคิดว่า…”
“มันเรื่องของฉัน แกไปสืบประวัติเด็กคนนี้มาให้ฉันที”
“…”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหมแจ็ค”
“ครับๆ”
ด้านน้ำชา…
น้ำชาเดินขึ้นบันไดมาไม่กี่ชั้นก็ถึงโรงเรียนสอนเต้นที่เธอจะมา พอมาถึงพวกเพื่อนเก่าๆที่เคยเรียนเต้นด้วยกันก็ต่างพากันเดินเข้ามาหาและทักทายเธอยกใหญ่ แต่มีอยู่หนึ่งคนที่เธอไม่อยากจะเสวนาด้วย
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” อาย เพื่อนรักเพื่อนร้ายของเธอนั่นเอง
“ฉันดีใจนะที่แกกลับมาเรียนเต้นด้วยกันอีก”
“…” น้ำชาได้แต่ยืนมองนิ่ง รอยยิ้มหวานสดใสแบบนั้นครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่ามันไม่มีอะไร แต่ตอนนี้แค่อีกฝ่ายขยับปากเธอก็มองทะลุปรุโปร่งไปถึงข้างใน ถึงสันดานทั้งหมด
“แกสบายดีนะ”
“อืม” น้ำชาตอบแค่นั้นก่อนจะเบี่ยงตัวเดินไปอีกทางเพื่อจะเอาของไปเก็บไว้ในล็อกเกอร์
“แกยังโกรธฉันอยู่เหรอ” แต่ดูเหมือนว่าอีกคนนั้นอยากที่จะหาเรื่องคุยด้วย
“ตอนนี้ฉันกับพี่แซมเลิกคุยกันไปแล้วนะ ถ้าแกอยาก…”
“จะพูดอะไร?” น้ำชาหันไปถามเสียงเรียบนิ่ง
“ก็ที่แกโกรธฉัน ไม่ใช่ว่ายังรักพี่แซมอยู่หรือไง”
“พอเถอะอาย ฉันกับผู้ชายคนนั้นจบกันไปตั้งนานแล้ว”
“แกเคยรักเขามาก”
“…” น้ำชาเหนื่อยใจที่จะอธิบาย ไม่รู้ว่าเพื่อนเก่าเธอจะเซ้าซี้ให้ได้อะไรขึ้นมา
“ฟังนะอาย ฉันไม่ได้อะไรกับพี่แซมแล้ว ตอนนี้ฉันมีคนใหม่แล้ว” น้ำชาเลือกที่จะพูดตัดความรำคาญออกไปแบบนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือแค่อยากทำให้อายรู้สึกว่าตัวเองกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีค่าอะไรแล้วกับความรู้สึกเธอในตอนนี้
อีกด้าน…
ณ.ภัตตาคารหรูชั้นบนสุด
“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยได้ไหมไอ้ลูกชาย นานๆจะออกมากินข้าวกับฉันทีทำอย่างกับว่าฉันพามาตาย” เสียงเจ้าสัวซันบ่นกับลูกชายเพียงคนเดียวที่นั่งหน้านิ่งทำท่าทางไม่สบอารมณ์มาพักใหญ่ ทั้งที่ปกติแล้วเป็นคนอารมณ์ดียิ้มเก่ง
“ผมคุยกับป๊าเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่ป๊าก็ยังทำแบบนี้อีก”
“มันจะอะไรกันนักวะโซ่ ก็แค่กินข้าวแล้วก็แยกย้าย”
“ป๊าก็รู้ว่าน้าสมรอยากจับคู่ให้ผมกับผิง”
“ก็แล้วยังไง? แกไม่ได้คิดอะไรซะอย่างใครจะบังคับแกได้”
“หึ! กี่ครั้งก็พูดแบบนี้” ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาใจ หลายครั้งแล้วที่พวกผู้ใหญ่จ้องแต่จะจับคู่ให้ทั้งๆที่เขาเองก็เพิ่งจะอายุแค่นี้เอง
“จะให้ฉันทำยังไง แม่แกเคยฝากฝังสมรกับหนูผิงไว้ว่าให้ดูแลดีๆ ถึงแกไม่คิดอะไรก็อย่าออกอาการให้มากนักเลยน่า รักษาน้ำใจพวกเขาหน่อยอย่างน้อยๆก็เห็นแก่แม่แก” พูดไปเจ้าสัวใหญ่ก็ถอนหายใจไป ตั้งแต่เมียตายเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเขาก็ดูแลลูกชายคนนี้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด อยากได้อะไรก็ตามใจไปเสียหมด ยังดีหน่อยที่ลูกชายเพียงคนเดียวนั้นรักดีไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทางเลยไม่ค่อยจะมีเรื่องอะไรขัดใจกัน เว้นก็แต่เรื่องนี้
“หนูผิงก็น่ารักดีนะ แกไม่ได้เจอเขาตั้งนานอาจจะชอบขึ้นมาก็ได้ หวานๆเรียบร้อยเหมือนแฟนเก่าแกเลย”
“ผมไม่ชอบแนวนั้นมานานแล้ว” โซ่ตวัดหางตาใส่คนเป็นพ่อ ไอ้ที่บอกหวานๆนั้นเขาก็เคยชอบจริงแต่ตอนนี้อะไรๆมันก็เปลี่ยนไป
“คุณสมรมาแล้วครับท่าน”
“เชิญเขาเข้ามา” เจ้าสัวใหญ่เอ่ยบอกกับลูกน้องจบแล้วจึงปรายตามองลูกชายส่งสัญญาณบอกให้เก็บอาการไม่พอใจไว้ก่อน
“สวัสดีเฮียซันไม่เจอกันนานเลยสบายดีไหมคะ” สมรส่งเสียงสดใสทักทายสามีเพื่อนที่ล่วงลับไปแล้วอย่างสนิทสนม ด้านหลังเธอมีลูกสาวแสนสวยว่าที่คุณหมอเดินตามมาติดๆ รอยยิ้มแสนหวานถูกส่งให้คนเป็นพ่อก่อนที่จะมาจบลงที่คนเป็นลูกชาย
“สวัสดีค่ะลุงซัน”
“สวัสดีหนูผิง สมร มาๆนั่งกันก่อน” สองแม่ลูกพากันนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ โดยสมรนั่งใกล้กันกับเจ้าสัวซันและให้ลูกสาวเข้าไปนั่งด้านข้างกันกับโซ่
“เฮียยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะ สุขภาพแข็งแรงดีนะคะ”
“อืม ก็มีหน้ามืดบ้างบางครั้งแต่ไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อ”
“ก็เป็นธรรมดาของคนเริ่มจะมีอายุแบบเรา เจ็บป่วยบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่สมรดีหน่อยค่ะมียัยผิงคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ” คุณสมรว่าแล้วก็ปรายตาไปทางลูกสาวด้วยความชื่นชม ยิ่งเห็นหนุ่มสาวสองคนนั่งคู่กันแล้วก็ยิ่งดูเหมาะสมกันมากในสายตาของเธอ
“จริงสิ หนูผิงเรียนหมอนี่นาอยู่ปีไหนแล้วล่ะ”
“ปีสามแล้วค่ะ” ว่าที่คุณหมอตอบกลับเสียงหวานก่อนจะหันไปยิ้มให้กับโซ่
ฝ่ายโซ่เองก็ได้แต่ยิ้มตอบกลับไปบางๆ บทสนทนาจากคนด้านข้างเริ่มมีมาเรื่อยๆ ไหนจะจากผู้ใหญ่สองคนนั่นก็อีก ภายในโต๊ะอาหารคงมีเขาเพียงคนเดียวที่รู้สึกอึดอัด ยิ้มหวานเลี่ยนจากสองแม่ลูกดูก็รู้ว่าต้องการสิ่งใด จบนัดครั้งนี้สงสัยเขาต้องเคลียร์กับพ่อตัวเองให้เป็นงานเป็นการเสียทีจะได้ไม่ต้องมาคิดจับคู่ให้กันอีก โซ่เซ็งเว้ย!...
เป็นเวลาร่วมชั่วโมงกว่าที่โซ่ต้องทนมองดูน้ำชาเล่นน้ำไปยั่วโมโหเขาไปด้วย หลังจากที่แม่คุณเขาถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วก็ยังดูไม่พอใจเท่าไรนัก รู้ว่าแฟนตัวเองเป็นคนขี้หวงก็เลยจัดให้หวงหนักเข้าไปอีกด้วยการเลิกชายเสื้อสายเดี่ยวขึ้นมามัดเป็นปมอยู่ใต้ราวนม เพื่อโชว์เอวคอดเซ็กซี่และจิวสะดือตัวผีเสื้อน่ารัก โซ่ได้แต่นั่งกัดฟันเสียงดังกรอดอย่างอดทน มีหลายครั้งที่คนสวยแสร้งทำเป็นขึ้นจากสระมาเพื่อหยิบเอาของกินใส่ปาก บ้างก็แกล้งเดินนวยนาดเข้าไปขอเบียร์เพิ่มจากวิน ไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ความอดทนของเขาไปถึงไหน แต่บางทีเธอก็อาจจะลืมไปว่าสถานะของเขาตอนนี้ไม่จำเป็นต้องอดทน “พี่วินชาขอบะ…ว้ายย!” น้ำชาถึงกับร้องเสียงหลงที่อยู่ๆก็ถูกคนตัวโตเดินมาช้อนร่างเธอขึ้นไปอุ้มไว้ ดวงตาคมของโซ่จ้องเขม็งใส่เธอแต่ริมฝีปากหยักกลับยกยิ้มราวกับว่าชอบใจหนักหนาที่สามารถเข้าชาร์จตัวเธอไว้ได้ “พี่โซ่ปล่อย ชาจะไปเล่นน้ำ” “…” “พี่โซ่ จะไปไหน” ไม่มีเสียงใดตอบกลับ โซ่ก้าวขายาวๆผ่านพวกเพื่อนที่นั่งอมยิ้มชอบใจไปด้วยความว่องไว แม้คนที่เขาอุ้มอยู่จะดิ้นฝืนไม่ยอมให้เขาพาไปยังไงเขาก็ไม่สน ยิ่งดิ้นแขนแกร่งก็ยิ่งกระช
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว น้ำชากับเพื่อนพากันกระดกเบียร์ไปหลายขวดก็เริ่มจะพากันมึนแล้วเช่นกัน งานนี้ต้องโทษวินที่สรรหาเกมมาให้พวกเธอเล่นแล้วแพ้เลยต้องยกกรอกเข้าปากกันอยู่เรื่อย พอเห็นสาวๆเริ่มเมาก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะสนุกเข้าไปใหญ่ “อีกสักเกมไหม ไหวกันปะเนี่ย” “พอก่อนพี่วิน ฝนมึน” สายฝนรีบปรามขึ้นทันทีที่วินคว้าเอาขวดเบียร์เปล่าขึ้นมาจะหมุนเพื่อเล่นเกมต่อ ถ้าถามว่างานนี้ใครโดนหนักสุดก็คงจะเป็นสายฝนที่ตอนนี้แทบจะนั่งหลังไม่ตรงอยู่แล้ว “รันเล่นเองพี่วิน ใครอ่อนก็ไปนอนก่อนเลย” คำพูดสบประมาทของรันทำเอาสายฝนหันไปมองตาเขียวใส่ ตลอดหลายชั่วโมงที่นั่งดื่มกันสองคนนี้ไม่วายประทะฝีปากกันได้ตลอด หากแต่ยังดีหน่อยที่สถานการณ์ไม่หนักหนาเหมือนอย่างช่วงแรกๆ อาจจะเป็นเพราะมีริวที่คอยส่งสายตาดุปรามน้องสาวอยู่ตลอด “กูว่าพอก่อนเหอะ ค่อยๆดื่มกันดีกว่า” สายหมอกที่ไม่อยากให้แฟนตัวเองเมามากไปกว่านี้เอ่ยบอกกับวิน เพราะตอนนี้พิมเองก็หน้าแดงจัดเอนกายพิงซบที่อกเขาแล้วเช่นกัน ฝ่ายริวกับโซ่ก็พยักหน้าเห็นด้วยไปตามๆกัน “รันอยากเล่นต่อ” คงจะมีแค่น้องสาวริวคนเดียวที่ยังคงอยากจะเล่นต่อ
บริเวณรอบสระว่ายน้ำที่ตอนแรกนั้นไม่มีอะไรเลย ทว่าตอนนี้กลับถูกจัดแต่งให้เป็นมุมปาร์ตี้ขนาดย่อมๆไปแล้ว อาหารมากมายที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะนั้นล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของพวกผู้ชายทั้งหมด แทบจะไม่มีจานไหนเลยที่ฝ่ายผู้หญิงเป็นคนจัดการ น้ำชายืนมองทุกอย่างด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าพวกผู้ชายจะจัดการอะไรด้วยตัวเองกันเก่งขนาดนี้ ตัวเธอเป็นผู้หญิงพอมาเห็นแบบนี้แล้วก็นึกอายอยู่เหมือนกัน มองไปตรงมุมหนึ่งที่มีถังน้ำแข็งสีแดงขนาดใหญ่วางอยู่ก็เห็นวินกำลังยืนหมุนอะไรบางอย่างด้วยความขะมักเขม้น ไหนจะตรงอีกมุมที่สายหมอกกำลังนั่งเสียบเนื้อเสียบผักใส่ไม้เพื่อทำบาร์บีคิวนั่นก็อีก แต่ที่พีคไปกว่านั้นก็คือการที่เธอได้เห็นริวซึ่งปกติแล้วชอบทำหน้าง่วงตลอดยืนถอดเสื้อโชว์รูปร่างกำลังย่างของทะเลอยู่บนเตาอย่างเอาจริงเอาจังนี่แหละ “อึก!” น้ำชาไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็อดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้เวลาที่เห็นอะไรแบบนี้ และเหมือนว่าจะมีคนรู้เท่าทันความคิดเธออีกแล้ว ดวงตาคมกริบของคนด้านข้างตวัดมองเธออย่างไม่ชอบใจนัก แต่ทำอะไรไม่ได้เลยหันไปเอาเรื่องกับเพื่อนแทน “มึงไม่ใส่เสื้อดีๆว่ะริว” ปากโซ่ก็ตะโกนบอกเพื่อน
ช่วงค่ำ… “เธอ…ตื่นได้แล้ว” เสียงทุ่มของใครบางคนที่ดังใกล้ใบหูกับสัมผัสเย็นๆที่แนบเข้ากับแก้มใสทำให้น้ำชาต้องขยับเปลือกตาขึ้นมอง “กี่โมงแล้ว?” “จะสองทุ่มแล้ว” คนมาปลุกยังคงใช้ปลายจมูกคลอเคลียอยู่ที่แก้มเธอไม่ห่างในขณะที่ตอบกลับ “หือ?” น้ำชาชันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนด้วยอาการงัวเงีย ตอนแรกแค่จะขึ้นมางีบเพราะรู้สึกเพลียที่เล่นน้ำมากไปหน่อย บวกกับดื่มเบียร์กับโซ่ที่ริมหาดไปหลายขวด ไม่คิดว่าตัวเองจะหลับเอาจริงเอาจังตั้งหลายชั่วโมง “ทำไมเพิ่งมาปลุก” ดวงตาสวยช้อนขึ้นมองงอนคนที่ปล่อยให้เธอหลับไปตั้งนาน “ชาว่าจะช่วยฝนย่างบาร์บีคิวกินกัน” “พี่จัดการให้เรียบร้อยแล้ว ฝนก็เพิ่งลงไปข้างล่างเหมือนกัน” โซ่บอกพลางก็ดึงคนยังมีอาการงัวเงียอยู่เข้ามาหอมแก้มอีกแบบไม่รู้จักเบื่อกับความนุ่มนิ่มของแก้มนั่น “พี่พาเธอมาเที่ยวอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไร” “ก็เห็นว่าจะทำอะไรกินกันหลายอย่าง ชาก็แค่อยากช่วยบ้าง” “เธอทำเป็น?” คนถามยิ้มกลั้นขำเพราะรู้ว่าน้ำชาไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบเข้าครัวสักเท่าไรนัก ทำให้คนที่ถูกสบประมาททำหน้างอง้ำเข้าไปใหญ่ “พี่พูดเล่น ลงไปข้างล่าง
ไม่ใช่น้ำชาเพียงคนเดียวที่พอเห็นสระว่ายน้ำแล้วนึกอยากจะลงเล่น แต่เพื่อนเธออีกสองคนก็ดูจะใจตรงกันด้วย ตอนนี้ในสระว่ายน้ำจึงมีแต่เสียงหัวเราะของสามเพื่อนสาวดังแว่วมาอย่างต่อเนื่องให้อีกสี่หนุ่มที่ตั้งวงกันแต่หัววันได้ยิน ห่างออกมาจากสระว่ายน้ำเพียงนิด โซ่ สายหมอก วินและริวกำลังเริ่มเปิดขวดพากันรินเบียร์นั่งจิบกันแบบชิลๆผ่อนคลายไปกับบรรยากาศที่เป็นกันเอง ภายในกลุ่มก็เห็นจะมีโซ่คนเดียวที่ดูจะไม่ผ่อนคลายสักเท่าไรนัก มันเกือบจะดีอยู่แล้วเชียวที่น้ำชานั้นยอมเปลี่ยนชุดตามคำขอร้องของโซ่ ซึ่งชุดที่เธอเปลี่ยนออกมาเล่นน้ำนั้นเป็นเพียงชุดธรรมดาอย่างกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่มองดูแล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไร ทว่าในขณะที่เธอลงเล่นน้ำกับเพื่อนๆอยู่ในสระนั้นกลับมีใบหน้าหงุดหงิดของใครบางคนนั่งมองเธออยู่อย่างนั้นไม่ละสายตาไปไหน มองไปก็ถอนหายใจไปจนเพื่อนๆรำคาญ “เป็นเหี้ยไรนักไอ้โซ่ ถอนหายใจแม่งอยู่นั่น” “…” โซ่ไม่ตอบ หากแต่เพื่อนชายทั้งหมดที่คบหากันมานานต่างรู้ดีในอารมณ์ขี้หวงของเขา ขนาดว่าไม่พากันหันมองสาวๆในสระน้ำบ่อยๆก็ยังไม่รอดที่จะถูกดวงตาคมตวัดหันมองหน้า แต่ก็อย่างว่าน้ำ
หลายวันต่อมา… จะเรียกว่าเป็นในรอบขวบปีเลยก็ว่าได้ที่น้ำชามีโอกาสได้เที่ยวจริงๆจังๆหลังจากเอาแต่เรียนมาตลอดทั้งปี และมันก็เป็นทริปแรกที่เธอได้ไปเที่ยวกับโซ่และเพื่อนๆด้วย ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางมากันทั้งหมดถึงสิบคนด้วยกัน เพราะนอกจากจะมีกลุ่มเพื่อนของโซ่และน้ำชาที่เป็นตัวหลักแล้ว ก็ยังมีรัน น้องสาวของริวและเพื่อนของเธออีกสองคนขอติดสอยห้อยตามมาด้วย การเดินทางมาเที่ยวของกลุ่มเพื่อนซึ่งสนิทกันดีดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นก็แต่อีกสามบุคคลที่น้ำชาไม่ได้สนิทอะไรด้วยนี่แหละ ที่ดูจะมีปัญหาอยู่นิดหน่อย เนื่องด้วยทริปนี้ที่พักนั้นตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งการจะเดินทางไปให้ถึงนั้นจึงต้องต่อเรือเพื่อจะเข้าไป ทุกอย่างเหมือนจะราบรื่นดีจะติดก็ตรงที่เรือลำนี้มันคงจะเล็กไปหน่อยสำหรับคนถึงสิบคน “นี่! นั่งนิ่งๆหน่อยสิ หันไปหันมาอยู่ได้” สายฝนทำเสียงหงุดหงิดใส่ใครบางคนที่กำลังยกมือถือขึ้นมาเซลฟี่ให้ตัวเองและเพื่อนๆด้วยท่าทางที่ดูไม่เกรงใจใคร และเพราะว่าทุกคนอยู่ในเรือที่กำลังแล่นอยู่บนพื้นน้ำทำให้ต้องคอยระวังตัวกันอยู่ตลอดแม้จะใส่ชูชีพไว้ก็ตาม แต่ผู้หญิงอีกสามคนที่มาด้วยกันกลับไม่ทำตาม







