บริษัท LEO GROUP
“สวัสดีค่ะ...ปภาดาดารากรมารายตัววันแรกค่ะ” ฉันเอ่ยแนะนำตัวกับพนักงานหน้าเคาท์เตอร์ที่เหมือนว่าจะนั่งรออยู่แล้ว
“ทางนี้เลยค่ะชั้น 5 ลิฟต์เปิดแล้วเลี้ยวซ้ายจะมีป้ายห้องผู้จัดการติดอยู่เข้าไปได้เลยค่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ติ้ง...เสียงลิฟต์เปิดจนฉันที่ตกอยู่ในอาการประหม่าพะว้าพะวังยิ่งลุกลี้ลุกลนไปอีกเมื่อเดินมาถึงหน้าห้องผู้จัดการ
ก๊อกก๊อก...
“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ” รอให้อีกฝ่ายขานรับฉันจึงเปิดประตูก้าวเข้าไป
“เชิญ”
ฉันยกมือไหว้ผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งตรงหน้า
“สวัสดีค่ะ...ปภาดาดารากรค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ...พี่กาญจนาเรียกว่าพี่ปุ้ยก็ได้เราสัมภาษณ์ผ่านทางสไกป์แล้วประวัติการศึกษาก็ดีโปรไฟล์ก็เลิศเรามาคุยเรื่องงานและสัญญากันดีกว่า”
“ตำแหน่งงานของเราคือSystem Engineerพ่วงตำแหน่งล่ามภาษาญี่ปุ่นในบางครั้งกรณีที่มีนายญี่ปุ่นมาดูงานซึ่งปกติใช้เวลาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ทั้งนี้ทั้งนั้นในส่วนของล่ามมีค่าตอบแทนเป็นรายวันเพราะพี่เห็นว่าเราเรียนที่ญี่ปุ่นมาภาษาญี่ปุ่นคงไม่มีปัญหาใช่ไหมนี่คือรายละเอียดสัญญาจ้างอ่านแล้วสงสัยตรงไหนก็ถามได้นะที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัว” (แบบกาสะลองกับซ้องปีบรึเปล่าวะ...ฉันคิดในใจ)
ฉันอ่านเอกสารทวนอยู่ 2 รอบก่อนตัดสินใจจรดปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไป
“วันนี้จะให้ ‘เอแคร์’ แนะนำแผนกและโต๊ะทำงานให้” ว่าแล้วก็กดอินเตอร์โฟน
“เอแคร์...เข้ามาพบพี่ที่ห้องทำงานด้วยจ้ะ”
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูทำให้ฉันอดมองไปที่หน้าประตูไม่ได้เอแคร์ที่ว่าจะเป็นคนแบบไหนอัธยาศัยดีไหมสรุป...เป็นสาวสองร่างถึกที่มาถึงก็จีบปากจีบคอ
“มีอะไรให้รับใช้ค่ะ...คุณพี่”
“วันนี้มีพนักงานใหม่มาจ้ะฝากด้วยชื่อปภาดา”
“...เอ่อเรียกว่าเจ...เฉยๆก็ได้ค่ะ”
“งั้นน้องเจตามพี่มาเลยค่ะพี่เอแคร์นะคะยินดีที่ได้รู้จักก่อนจะผายมือเชิญให้ฉันเดินตามออกไปข้างนอก
“งั้นลาพี่ปุ้ยเลยนะคะ...พบกันพรุ่งนี้ค่ะ” ฉันกล่าวลากับผู้จัดการสาวอย่างนอบน้อมก่อนเดินตามพี่เอแคร์ไปดูโต๊ะทำงานและแผนกต่างๆ
“นี่จ้ะ...โต๊ะทำงานของน้องเจ” มีอะไรก็ถามพี่ๆพวกนี้ได้นะที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัวคนไม่กี่สิบคนเองอีกอย่างเป็นบริษัทไอทีน้องใหม่ที่เพิ่งมาเปิดสาขาที่ไทยนะพวกหัวโด่ๆที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เหมือนผู้บุกเบิกที่ก่อร่างสร้างตัวมากับบริษัทเลยก็ว่าได้
“สวัสดีค่ะทุกท่านนี่น้องเจพนักงานใหม่ที่จะเริ่มงานพรุ่งนี้ “ ขอให้ทุกท่านปรานีกับน้องใหม่ด้วยนะคะน้องจะได้ทำงานร่วมกับเราไปนานๆพี่เอแคร์จีบปากจีบคอพูดพลางทำท่าทางไปด้วยเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆได้ดี (ที่ว่าอยู่กันเหมือนครอบครัวท่าจะจริง)
“เอาล่ะมาแนะนำทีมการทำงานกันบ้างดีกว่าที่นี่ส่วนใหญ่เราทำงานกันเป็นทีมแยกๆแบ่งๆกันทำแล้วก็ส่งข้อมูลให้พี่น้ำตาลเป็นคนประมวลผลระบบอีกทีนี่…พี่น้ำตาลรุ่นเดอะสุดของบริษัทเลยก็ว่าได้”
“เดี๋ยวเถอะนังชะนีว่าใครรุ่นเดอะย่ะ” พี่น้ำตาลหญิงสาวอายุน่าจะแก่กว่าพี่ปุ้ยอีกก็ว่าได้สวมแว่นตาหนาเตอะผมสั้นบ๊อบแต่ดูสวยเฉี่ยวทันสมัย
“พี่น้ำตาลน่ะ Project Manager “ มีอะไรก็สอบถามพี่ได้พอแนะนำตัวเสร็จฉันก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
“ส่วนโต๊ะถัดมาก็คุณสจี Developer” ฉันลอบสังเกต และเริ่มจดจำใบหน้าของแต่ละคน ว่าใครเป็นใคร ทำหน้าที่อะไร แถมยังต้องพยักหน้าหงึกหงักเพื่อแสดงให้พี่เอแคร์ได้เห็นว่าฉันกำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ พอได้จังหวะฉันก็ลอบวิเคราะห์คุณสจีในใจ เป็นรุ่นใหญ่ที่อายุน่าจะรุ่น ๆ พี่ปุ้ยก็น่าจะได้ (บริษัทนี้มีแต่รุ่นเดอะจริง ๆ)
“คุณภพ Support น่าจะอายุรุ่นๆเดียวกับน้องเจ”
“สวัสดีค่ะคุณภพ”
“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายยิ้มตอบรับทักทายมีท่าทางเขินอายอยู่ในที
“แหมๆน้องภพคะพอมีสาวใหม่มามองตาเยิ้มเลยนะคะ” เอแคร์ได้ทีก็แซวรุ่นน้องที่ทำงาน
“พี่ก็ว่าไปนั่น...” ก่อนเจ้าตัวจะหลบสายตาหมุนเก้าอี้หันหลังกลับไปทำงานต่อเผอิญว่าโต๊ะเราสองคนหันหลังให้กันพอดี
“นี่โต๊ะทำงานน้องเจนะคะ…ที่สำคัญอย่าเหล่น้องภพของพี่นะพี่จองแล้ว” ทำทีเอามือปิดปากหัวเราะใส่จริตชายตามอง ‘ภพ’ เต็มที่
“เอาล่ะๆไปทำงานได้แล้วจ้ะ...เอแคร์เขียนโค้ดเสร็จรึยังจ๊ะถ้ายังสงสัยวันนี้ต้องมีคนทำโอ” พี่น้ำตาลพูดออกมาวงแตกทันทีเจ้าตัวรีบกุลีกุจอไปนั่งโต๊ะทำงานตัวเองโดยไม่มีท่าทีอิดออดสักนิด
“เริ่มงานพรุ่งนี้ 9 โมงเช้านะควรมาก่อนสัก 15-20 นาทีนะจ๊ะ”
“อะ…นี่บัตรพนักงานอย่าลืมติดตัวตลอดเพราะมีคีย์การ์ดใช้สำหรับเข้าออกด้วยอ้อ...แล้วนี่คือซีดีโปรแกรมที่เราจะต้องใช้ตลอดโปรเจกต์นี้กลับไปก็ศึกษาดูนะไม่เข้าใจตรงไหนพรุ่งนี้ก็ลิสต์มาถามพี่ได้” พี่น้ำตาลพูดพร้อมยื่นบัตรพนักงานมาให้ฉันฉันรีบยื่นมือไปรับอย่างยินดี (เยสได้ทำงานสักทีโว้ย)
“เจอกันพรุ่งนี้นะคะสวัสดีค่ะ” พร้อมยกมือไหว้พี่ๆทุกคนในทีมก่อนจะกลับห้องตัวเองอย่างสบายใจยิ้มก้าวสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัวดีใจจนลืมอะไรบางอย่างไป...
จิรัติกรมางานแต่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นด้วยความไม่คาดคิด ไม่คาดคิดว่าเพื่อนเขาจะสละโสดเร็วกว่าใคร ๆ ในรุ่น ก็แหงล่ะ…เจ้าชู้ประตูดินเสียขนาดนั้น แต่พอมาเจอเจ้าสาวในวันนี้ เขายังรับรู้ได้เลยว่าเพื่อนรักของเขามีความสุขในการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ แถมลูกชายยังน่ารักน่าชัง อ้วนท้วนสมบูรณ์เชียวนึกถึงตอนที่มาขอให้ช่วยรวบหัวรวบหางสาวเจ้าแล้วก็อดขำไม่ได้เพื่อนเขาถึงต้องลงทุนมากมายเพื่อทะเบียนสมรสฉบับเดียวแทนที่จะเป็นหญิงสาวคนนั้นที่ต้องอ้อนวอนขอทะเบียนสมรสจากริวอิจิน่ะส่งเพื่อนเข้าประตูวิวาห์พลันอดที่จะคิดถึงตัวเองไม่ได้…แล้วชีวิตคู่ของเขาจะเป็นแบบไหนเจ้าสาวจะเป็นใครแม้ว่าไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้ในหัวมาก่อนเลยก็ตามความคิดในหัวแตกกระเจิงเมื่อเจอใครบางคนคนคนนั้นที่ติดอยู่ในหัวของเขาแมวขโมย! สองแขนของปานประดับถูกกระชากอย่างแรงหลังจากที่เธอเพิ่งจะเรียงจานชามบนโต๊ะได้ไม่นาน“อะ” ฉันร้องเสียงหลงแถมยังต้องตกใจจนหน้าขาวซีดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครโลกมันจะกลมเกินไปแล้วอีกอย่างฉันเองก็คอยระมัดระวังตัวตลอด…“ไง” เขาถามด้วยใบหน้าราบเรียบแต่แววตากลับวาวโรจน์“คะ” ฉันตีเนียนแต่มือไม้เย็นจนเกือบจะถือถาดในมือไว้ไม
งานแต่งงานของฉันกับริวอิจิที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นการแต่งงานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งในโตเกียว เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ซึ่งคุณนายเคอิเป็นคนขอเอาไว้เนื่องจากเราแต่งงานที่ไทยกันมาแล้ว เลยอยากจะจัดงานแบบญี่ปุ่นบ้าง ฉันเลือกชุดกิโมโนสีขาว ส่วนเจ้าบ่าวเป็นสีดำ พิธีการค่อนข้างเคร่งครัดและเป็นระเบียบ แขกเหรื่อจะต้องยืนยันว่าจะมาร่วมงานเพราะชุดอาหารนับตามจำนวนคนและแพงมาก แม่เจ้า! รวมไปถึงของชำร่วยที่แขกเหรื่อจะเป็นคนเลือกเอง แต่สำหรับฉันพิธีการเรียบง่ายแต่กลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเป็นการบอกกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าฉันจะมาเป็นสะใภ้ของที่นี่ ทุกคนให้การต้อนรับฉันอย่างดีไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในสถานะที่แตกต่างออกไปในตอนแรกฉันมาเยือนโตเกียวด้วยวีซ่านักเรียนแต่พอมาอีกครั้งกลับมาในสถานะภรรยาของชาวญี่ปุ่นจัดงานเสร็จสรรพใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ฉันชอบความเรียบง่ายเลยไม่ได้จัดการฉลองที่โรงแรมอีกอีกอย่างเราก็มีลูกเล็กด้วยกระเตงออกงานทั้งวันคงเหนื่อยน่าดูที่สำคัญเจ้าเด็กอ้วนยังติดพี่เลี้ยงมากๆอีกด้วยพี่ไผ่เองตอนนี้ก็เปรียบเสมือนญาติอีกคนที่เข้าร่วมพิธีการในครั้ง
อีกทั้งฉันเองก็ขอร้องว่า…ไม่ต้องใส่ซองอะไรมาให้อีกอย่างทุกคนก็เสียสละวันหยุดมางานกันแล้วไหนจะเสื้อผ้าหน้าผมอีกแต่ทุกคนกลับมีของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยติดมือมาให้อยู่ดีคุณนายเคอิเองก็ยิ้มแช่มชื่นแม้จะมีอุปสรรคทางภาษาแต่เอแคร์เองก็พูดควบสองภาษาเพื่อให้คนทั้งงานเอนจอยไปด้วยกันแถมเพื่อนรักอย่างจิรัติกรเองก็มาร่วมงานด้วย“ไง” จิรัติกรเอ่ยทักเจ้าบ่าวข้างกายฉันพลางส่งของขวัญในมือให้“ขอบใจ” “งานสำคัญของนายทั้งทีฉันต้องมาอยู่แล้วน่า”“ยินดีด้วยนะครับคุณ…เอ่อ”“เจค่ะ”“ยินดีด้วยนะครับคุณเจ” “ขอบคุณมากค่ะ” แถมเขายังเข้ามาหยอกล้อเจ้าตัวน้อยที่นั่งหันหน้าบนเป้นั่งคาดเอวด้วยความเอ็นดู“นี่มันริวอิจิฉบับจิ๋วชัดๆ” เขาว่าพลางหัวเราะในคอแต่พลันสายตาก็เบิกกว้างเมื่อเห็นพนักงานที่คอยเติมอาหารและเครื่องดื่มในงาน“ขอตัวก่อนนะครับ” “ค่ะ” ฉันผายมือให้เขาเข้าไปในงานก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มลูกน้อยที่แทะยีราฟตัวสีเหลืองอย่างมันเขี้ยวโดยไม่รู้เลยว่าบริเวณหลังร้านคนสองคนกำลังมีปากเสียงกันอยู่ เพราะเน้นความเรียบง่ายห้าโมงเย็นทุกอย่างก็เป็นอันสิ้นสุดนิ้วนางข้างซ้ายของฉันและเขาต่างประดับด้วยแหวนแต่งงานที่เราต่างแลกแห
“แต่พี่ก็ดีใจนะ อย่างน้อยเจก็ไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนอย่างตอนแรก ให้ตาย! ตอนแรกพี่เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน หลังคลอดเราจะอยู่ยังไงกันสองคน พอรู้ว่าน้องเจมีคนคอยดูแลพี่ก็เบาใจ” พี่น้ำตาลที่ผ่านการมีลูกเต้ามาก่อนเอ่ยพร้อมกับเดินมาตบต้นแขนให้กำลังใจฉันยิ้มทั้งน้ำตา“ขอบคุณนะคะแต่ยังไงก็ยังเป็นเจคนเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป” ทุกคนพยักหน้าให้ “วันหลังเอาอากิระมาให้พี่ๆอุ้มบ้างพวกเราจะได้กอดหอมตอนยังเด็กนี่แหละ” เอแคร์ว่า“โตขึ้นมาพี่สาวคนนี้จองตัวเป็นผู้จัดการดาราเลยนะคะ” บรรยากาศผ่อนคลายลงมากภพที่ยังพูดน้อยเหมือนเดิมเอ่ยเพียงสองสามประโยค“ยินดีด้วยนะเจ”“ขอบคุณนะภพ” จะว่าไปเขาเป็นคนแรกๆก็ว่าได้ที่รู้ว่าพ่อในท้องของผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครเป็นการพบกันโดยบังเอิญไม่ว่าจะรถของหญิงสาวที่ท่านประธานคนใหม่ใช้อยู่เนืองๆไหนจะตอนที่คนทั้งสองไปซื้อของด้วยกันตอนแรกเขาทั้งตกใจและคาดไม่ถึง…ตอนแรกเขายอมรับว่าสนใจผู้หญิงคนนี้อยู่เหมือนกันแต่เหมือนเจ้าหล่อนก็ไม่เปิดโอกาสให้ใครหน้าไหนได้เข้าหามีกำแพงบางๆกั้นเอาไว้หากเธอไม่ท้องหรือมีครอบครัวไปเสียก่อนเขาก็ยังหวังว่าเราจะมีโอกาสได้สานต่อ…“แหมน้องภพมองตาละห้อยเชียวพ
ริวอิจิส่งข้อความมาบ้างแต่เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยตารางชีวิตแต่ละคนยุ่งสุดๆแต่แล้วความทรมานในการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อได้ยินเสียงกดออดที่หน้าห้องเมื่อเห็นในมอนิเตอร์ว่าเป็นใครฉันก็เปิดประตูให้อย่างเร็วรี่แม้ใบหน้าเขาจะเหนื่อยล้าสุดๆแต่กลับยิ้มแฉ่งเข้ามากอดและอุ้มฉันจนตัวลอย“ว้ายเล่นอะไรคะเนี่ย” ฉันแหวใส่เขาเมื่อถูกอุ้มจนเท้าไม่ติดพื้นแถมในตอนนี้เจ้าตัวน้อยเริ่มจะคว่ำแล้วคอกเด็กที่สั่งทำเอาไว้ก็ได้ฤกษ์ใช้เสียที“อากิระคุง” เสียงมาก่อนตัวริวอิจิที่สองมือหอบข้าวของพะรุงพะรังมามากมายก็ไม่ลืมที่จะรีบไปล้างมือหมายจะรีบมาอุ้มลูกชายแต่โดนฉันเบรกไว้ก่อน“ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าคะ” พ่อหมาทำหน้าละห้อยเหงื่อไหลโทรมกายขนาดนั้นอีกอย่างเชื้อโรคก็เยอะด้วยกันไว้ดีกว่าแก้เครื่องฟอกอากาศทำงานอย่างเงียบเชียบบริเวณข้างๆคอกเด็กฉันรีบไปอุ้มเจ้าก้อนมาไว้แนบอกนั่งหันหน้าออก“ปะป๊ากลับมาแล้วดีใจไหมครับ” เจ้าก้อนดิ้นดุ๊กดิ๊กมือเท้าปัดป่ายกลางอากาศอย่างน่ารักฉันอุ้มเขาไม่กี่อึดใจอากิระคุงก็ถูกริวอิจิอุ้มไปฟัดในคอกเด็กสองพ่อลูกคุยกันงุ้งงิ้งอยู่นานสองนานส่วนฉันก็รีบกลับมาเคลียร์งานที่ค้างไว้ต่อพี่ไผ่เองก็เก็บของเตรียมต
“แค่ก แค่ก ๆ” เมื่อเขาถอนออก ฉันสำลักหน้าดำหน้าแดง อีตาบ้ากดมาได้! ฉันทำได้เพียงก่นด่าเขาในใจเท่านั้น ไม่นานแผ่นหลังก็แนบติดกับประตู ชุดนอนกระโปรงถูกถกมากองไว้ที่เอว ขาข้างหนึ่งพาดบนท่อนแขนแกร่ง ยืนอย่างหมิ่นเหม่เพื่อให้เขาตอกอย่างถนัดถนี่“อื้อ” ฉันครางเครือแทบไม่เป็นภาษาเข็มยักษ์นี้ไม่รู้ว่าจะทำให้ฉันหายไข้หรือว่าป่วยเพิ่มกันแน่ยิ่งเข้าสุดออกสุดอย่างนี้ฉันจิกเล็บกับต้นแขนเขาอย่างแรงเมื่อเอวสอบเร่งจังหวะไม่ว่าจะเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายน้ำหล่อลื่นส่วนล่างที่เชื่อมต่อกันอยู่หรือเสียงเนื้อกระทบเนื้อต่างก็พาอารมณ์พุ่งทะยานสุดกู่ริมฝีปากจูบคลอเคลียกันไม่ห่างช่วงล่างเองก็เช่นกันฉันตบต้นแขนเขาเป็นเชิงให้เปลี่ยนท่าก่อนจะผลักเขาลงกับเตียงกว้างถอดชุดนอนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดีก้าวเข้าไปควบคี่กลายเป็นคนคุมเกมและจังหวะเสียเอง สองมือสอดประสานกันเพื่อให้ฉันพยุงตัวแถมเขายังกระเด้งเอวขึ้นมาตอบรับจังหวะของฉันอีกที “อึกอื้อ” เสียงปักปักของเนื้อกระทบเนื้อดังไปทั่วห้องนอนฉันหลับตาพริ้มคอเชิดแหงนเมื่อจุดกระสันถูกแทงย้ำๆอย่างไม่ปรานีย้ำๆจุดนั้นไม่กี่ทีฉันก็ตัวสั่นกระตุกหอบเสียงครางเครือเท้าแขนไว้ข้างศีรษะเขา