หรงจือจือลุกขึ้นถอยห่างออกมาสองสามก้าวเพื่อหลบมือเขาทันทีแววตาของฉีจื่อฟู่ทอประกายเศร้าเสียใจเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาจ้องไปที่นาง “เจ้าเกลียดข้ามากขนาดนั้นเชียวหรือ?”หรงจือจือไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น “ถูกต้อง”แววตาของฉีจื่อฟู่หมองหม่น เขาพูดอย่างขุ่นเคือง “แต่วันนั้นข้าอธิบายชัดเจนแล้ว เจ้ายกโทษให้ข้าสักครั้งจะเป็นอะไรไป?”“ตอนนั้นข้าอยู่แคว้นเจา ต้องกล้ำกลืนความอัปยศอย่างไร้ทางเลือก! อีกอย่าง ข้าก็บอกไปแล้วว่ารักเจ้ามาโดยตลอด”เดิมทีหรงจือจือคร้านจะพูดมาก แต่นางขบขันกับเขามากจริงๆ “ที่ควบคุมความปรารถนาของตัวเองไม่ได้จนไปทำให้อวี้ม่านหวาตั้งท้องนี่เรียกว่าไร้ทางเลือกหรือ? ที่ยืนกรานจะให้ข้าเป็นอนุให้ได้ก็เรียกว่าไร้ทางเลือกหรือ? ที่เกือบจะทำให้ท่านย่าของข้าต้องตายก็เรียกว่าไร้ทางเลือกเช่นกันใช่หรือไม่?”“ฉีจื่อฟู่ เพียงเพราะท่านมีความรู้สึกอันน้อยนิดให้กับข้า เรื่องต่างๆ ที่ท่านทำร้ายข้าจึงไม่นับว่ามีอยู่จริงอย่างนั้นหรือ?”“เพียงเพราะมีความรักอันไร้ค่าของท่าน ข้าก็เลยต้องยกโทษให้กับความเลวทราม ความโหดร้าย จอมปลอม เห็นแก่ตัว และไร้มโนธรรมของท่านกับครอบครัวของท่านอย่างนั้นหรือ
เดิมทีหรงจือจืออึดอัดเป็นอย่างมาก เสวนากับคนอย่างฉีจื่อฟู่ จะมีหน้ามาอารมณ์ดีเสียที่ไหน?ทว่าในจังหวะนี้เองกลับถูกคำพูดของเจาซีหยอกเย้าให้หัวเราะออกมาครั้นเห็นคุณหนูหัวเราะได้สักที เจาซีก็แค่นเสียงฮึก่อนจะกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ โชคดีที่คุณหนูไม่ได้ให้อภัยเขา! บ่าวเห็นท่าทางไร้เหตุผลของเขาแล้วก็เดือดปุด ๆ ขึ้นมา! เพียงแต่ หากเขาขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งอนุสองคนจริง ๆ วันข้างหน้าในจวนแห่งนี้คุณหนู...”หรงจือจือยกจอกชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชืด ๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นกังวล เราอยู่ได้ไม่กี่วันหรอก”เหตุการณ์ที่นางจะเอาชีวิตนางถาน และเหตุการณ์ที่อัครมหาเสนาบดีเฉินจะจับกลุ่มคนที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นที่ล่มสลายออกมา ใกล้จะจบลงแล้ว รอเพียงการสถานการณ์เอื้ออำนวยเท่านั้นหากไม่มีสถานการณ์เอื้ออำนวย หรงจือจือก็จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง!...หลังฉีจื่อฟู่ไปจากตรงนี้ ก็เก็บสีหน้าของตนทันที ไม่อยากให้คนอื่นเห็นท่าทางโดดเดี่ยวของตนพูดตามตรง ตอนแรกที่เขาล้มป่วยนอนอยู่บนเตียง ยังไม่เคยท้อแท้ใจอย่างเช่นวันนี้มาก่อนเลยเรื่องของความรู้สึก ทรมานใจคนจริง ๆครั้นเห็นชิวยี่เดินเข้ามา ฉีจื่อฟ
ฮ่องเต้หย่งอันได้ยินเช่นนั้นก็หน้าคล้ำดำเขียว ไม่เคยเห็นผู้ใดไม่ให้ความสำคัญกับอนาคตตัวเองขนาดนี้มาก่อน เสียแรงที่ตนเห็นว่าอีกฝ่ายสร้างคุณงามความดี ยังคิดจะหารือกับท่านอัครมหาเสนาบดีว่าจะเลื่อนขั้นให้อีกฝ่ายดีหรือไม่คิดไม่ถึงว่าฉีจื่อฟู่กำลังทำให้ตนผิดหวังในจุดนี้ อย่างที่ไม่เคยผิดหวังมาก่อน เรื่องที่ทำให้ตนรู้สึกโกรธนั้น ก็เรียกได้ว่าไตร่ตรองมาอย่างดี และใส่ใจทุกรายละเอียด!ผู้ตรวจการจางพลันเกรี้ยวกราดจนยืนไม่อยู่แล้ว เขาออกมากล่าวว่า “ใต้เท้าฉี ตั้งแต่โบราณมา มีที่ไหนภรรยายังอยู่ แต่เขียนฎีกาขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งฮูหยินตราตั้ง? กฎที่พึงปฏิบัติของบรรพบุรุษ ตอนนี้เจ้าไม่แยแสเลยแม้แต่น้อยหรือ?”ฉีจื่อฟู่กล่าว “ใต้เท้าจาง ข้าเพียงรู้สึกละอายต่อม่านหวาเท่านั้น หากไม่ได้เป็นเพราะข้ามีภรรยาเอกอยู่แล้ว นางเองก็คงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้”“อีกอย่างฮูหยินตราตั้งนี้ เดิมทีจือจือก็ไม่แยแสอยู่แล้ว นางคิดว่าขั้นหกต่ำเกินไป ไม่คู่ควรกับนาง!”ครั้นเขากล่าวออกไป ในท้องพระโรงก็พากันฮือฮาก่อนหน้านี้ในสายตาของทุกคน หรงจือจือคือแม่ศรีเรือนอันดับหนึ่ง ตอนนี้ฉีจื่อฟู่กลับบอกว่าอีกฝ่ายดูถูกฮูหยินตราตั้งนี้ จ
ขอตำแหน่งให้หรงจือจือ ทุกคนยังรู้สึกได้ว่าเขาเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่แน่ฝ่าบาทเองก็อยากให้โอกาสเขาอีกหน่อย ทว่าขอให้ม่านหวามันเรื่องอะไรกัน?ทว่ารั้งสายธนูไปแล้วมีลูกศรที่ไหนหันหัวกลับบ้าง? เขาจะกลับคำบอกว่าตนไม่ขอแล้วไม่ได้ฮ่องเต้หย่งอันยังลังเลอยู่เล็กน้อย “แต่ว่า...นี่มันไม่สอดคล้องกับกฎที่พึงปฏิบัตินะ!”แววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นเยียบ “ใต้เท้าฉีกระทำการโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ ไม่สนกฎพึงปฏิบัติ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เหตุใดฝ่าบาทต้องขวางด้วยเล่า? ในเมื่อเขาสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง ขอเพียงแค่รางวัลเช่นนี้ ฝ่าบาทสนองความต้องการก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นเขากล่าวเช่นนี้ออกมา สายตาถากถางของขุนนางในราชสำนักมากมาย ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉีจื่อฟู่แต่จะกระทำโดยไม่ยับยั้งชั่งใจบ่อย ๆ ไม่ได้หรือเปล่า?สีหน้าของฉีจื่อฟู่เองก็ซีดเผือด เข้าใจดีว่าภายใต้ความบุ่มบ่ามของตน และกระทำการเลอะเลือน อัครมหาเสนาบดีเฉินประเมินตนเช่นนี้ คิดว่าคงยิ่งไม่ชอบตนเข้าไปกันใหญ่แน่ ไม่ง่ายเลยกว่าตนจะสร้างความดีความชอบขึ้นมาได้ ไม่คิดเลยว่าจะถูกตนทำลายลง!ฮ่องเต้น้อยเบะปาก “ในเมื่อท่านอัครมหาเสนาบดียืนกร
มิน่าล่ะ ขอเพียงตนทำไม่ดีกับจือจือ ท่านอัครมหาเสนาบดีก็ไม่ชอบขี้หน้าตนถึงเพียงนี้นางก็จริง ๆ เลย! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดถึงปิดบังตน? ตกลงนางเห็นตนเป็นสามีบ้างหรือเปล่า?ครั้นฮ่องเต้หย่งอันได้ยินถึงตรงนี้ ก็เอ่ยปากกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีมีคุณูปการต่อแว่นแคว้น หรงจือจือเคยช่วยชีวิตท่านอัครมหาเสนาบดี ก็เท่ากับเคยช่วยต้าฉี ข้าจะแต่งตั้งหรงจือจือเป็นเสี้ยนจู่[1] มอบศักดินาหนานหยาง ให้ศักดินาที่ดินเป็นหนานหยาง ที่ศักดินาแปดร้อยหลังคาเรือน!”ครั้นฮ่องเต้กล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงทีแรกทุกคนคิดว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งตำแหน่ง รักษาหน้าตาของหรงจือจือก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะประทานศักดินาที่ดินและดินแดนให้จริง ๆ!ผู้ตรวจการหูกล่าวเตือนขึ้นว่า “ฝ่าบาท ในประวัติศาสตร์ต้าฉี มีเพียงองค์หญิงและจวิ้นจู่[2]เท่านั้นที่มีศักดินาที่ดิน เสี้ยนจู่ไม่เคยมีศักดินาที่ดินมาก่อน...”นโยบายของแคว้นต่างกัน แคว้นหมินที่ทั้งทำสงครามและเจรจาสันติกับพวกเขา ท่านหญิงจวิ้นจู่มีศักดินาที่ดิน ทว่าต้าฉีไม่เคยมีมาก่อนฮ่องเต้หย่งอันมองไปที่เขา “เช่นนั้นท่านหมายความว่า ข้าควรแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่?
หรงจือจือหัวเราะ “ดูท่า สถานการณ์เอื้ออำนวยที่ข้ารอก็มาถึงแล้ว!”ปกติแล้วหากไม่ใช่ขุนนางตำแหน่งสูงมีอำนาจมากระดับแถวหน้า ก็มีน้อยคนที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดอายุสี่สิบปีอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ที่จัดล้วนจัดงานเลี้ยงวันเกิดอายุหกสิบปีให้ผู้อาวุโสในบ้านทั้งนั้นนางหลิวทำเช่นนี้ อันธพาลผู้นั้นต้องเป็นคนยุยงเป็นแน่แต่เป้าหมายของอันธพาลผู้นั้นคืออะไร ชัดเจนไม่กว่านี้ไม่ได้แล้วมิใช่หรือ?อวี้หมัวมัวเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนู เราจะไปหรือไม่เจ้าคะ?”หรงจือจือ “มีเรื่องสนุกในตอนท้าย จะไม่ไปได้อย่างไรกัน? หวังก็แต่สามีน้อยที่นางหลิวเลี้ยง จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”อวี้หมัวมัวฉีกยิ้มตามพริบตาเดียวก็ถึงวันงานเลี้ยงวันเกิดของนางหลิวแล้วนางถานเสนอว่าช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่สู้ไปร่วมงานเลี้ยงกันยกบ้าน ได้สัมผัสความครึกครื้นเสียหน่อย ในใจจะได้ผ่อนคลายลงสองสามส่วน ฉะนั้นคนทั้งจวนจะออกเดินทางไปครั้นเห็นหรงจือจือปรากฏตัว นางถานก็กล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “หรงจือจือ เจ้ามาทำไม?”หรงจือจือตอบกลับด้วยน้ำเสียงจืดชืด “ท่านพ่อ ข้าไปไม่ได้หรือ?”ฉีอวิ่นรีบตอบกลับว่า “ไปได้สิ! ไปได้อยู่แล้ว!”หลังจากนั้นก
พูดคำพวกนี้จบยังไม่เท่าไรนางถานยังใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรั้งอวี้ม่านหวาเอาไว้ด้วย “ม่านหวา เจ้าวางใจ แม้เจ้าจะเป็นเพียงแค่อนุ แต่จื่อฟู่ก็รักและให้ความสำคัญกับเจ้า ขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งฮูหยินตราตั้งเพื่อเจ้า เจ้ามีหน้ามีตามากเสียยิ่งกว่าภรรยาเอกจอมปลอมบางคนเสียอีก!”อวี้ม่านหวาฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ท่านแม่ จิตใจของท่านพี่ ข้าย่อมรู้ดีที่สุด! เพียงแต่อย่างไรพี่หญิงก็แต่งเข้ามาก่อน แม้ว่าตอนนี้ฐานะของข้าจะอยู่เหนือกว่านาง แต่ข้าก็ยังยินดีให้หน้าบาง ๆ แก่พี่หญิงสองสามส่วน”“หากพี่หญิงอยากนั่งก่อนจริง ๆ เช่นนั้นก็นั่งเถิด! ข้าไม่ใช่คนกระเปิ๊บกระป๊าบเช่นนี้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้พี่หญิงจะให้ข้าเรียกท่านว่าฮูหยินให้ได้ ไม่ยอมให้ข้าเรียกพี่หญิง ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านรู้สึกอิหลักอิเหลื่อบ้างหรือไม่?”นางถานกลอกตาขาวทีหนึ่ง “หากข้าเป็นเจ้านะ คงหากระสอบมาคลุมหัวตัวเองแล้ว จะได้ไม่ต้องออกมาขายขี้หน้าคนอื่นเขา!”พวกนางแม่ผัวลูกสะใภ้ผลัดกันพูดไปมาพูดจนฮูหยินนางหนึ่งอดกลั้นไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่า นางหรงจะถูกแต่งตั้งเป็นท่านหญิงแล้วมิใช่หรือ?”นางถานตกตะลึง “ฮะ? เจ้าว่าอะไรนะ?”หา
นางถานยิ่งไม่เชื่อเข้าไปกันใหญ่ “ท่านอัครมหาเสนาบดีจำผิดคนหรือเปล่า?”นางสวีกล่าว “ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นคนระดับไหน? จำผิดกระทั่งผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตน? กลับกันฮูหยินฉีเจ้าแปลกยิ่งนัก ลูกสะใภ้ของตัวเองได้เป็นท่านหญิงแท้ ๆ กลับไม่ดีใจเลยสักนิด ยังทำราวกับว่าถูกโจมตีอะไรอีก!”สีหน้าของนางถานคล้ำดำหมองเป็นอย่างมากสีหน้าของอวี้ม่านหวาเองก็ไม่สู้ดีนักต่อให้ฝันก็ยังคิดไม่ถึงเลยว่า นางประสมโรงนางถานเพียงไม่กี่คำ ขยะแขยงหรงจือจือด้วยกัน ทว่าสุดท้ายกลับทำให้ตัวเองอับอายขายขี้หน้าจนหมดสิ้น มิน่าล่ะสองวันนี้ฉีจื่อฟู่ถึงดูแปลก ๆนางสวีกล่าวจบ ก็แสร้งมาคว้ามือของหรงจือจืออย่างสนิทสนมฉีกยิ้มพลางเอ่ยว่า “พอข้าเห็นเจ้า ก็รู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก! ตอนแรกเจ้าช่วยท่านอัครมหาสนาบดีเอาไว้ คิดว่าวิชาแพทย์ก็คงยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่?”หรงจือจือตอบกลับอย่างมีมารยาท “รู้งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ”นางถานเองก็นึกขึ้นได้ว่าหรงจือจือรู้วิชาแพทย์ พลันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แค่เจ้าบังเอิญโชคดีอีกครั้งก็เท่านั้นแหละ!”“ไม่แน่ว่าเดิมทีท่านอัครมหาเสนาบดีอาจจะไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว แต่เข้าใจผิดคิดว่า
เสิ่นเยี่ยนซูดวงตาเย็นยะเยือก และเดินไปตรงหน้าหรงเจียวเจียวเขามองนางด้วยสายตาที่เหนือกว่า พลางถามเสียงเย็นว่า “เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนชั้นต่ำ?”เขามักจะมีอำนาจในฐานะผู้เหนือกว่าอยู่เสมอ ทำเอาหรงเจียวเจียวตกใจสีหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและถอยหลังไปหนึ่งก้าว น้ำตาก็คลอเบ้า จนแทบจะไหลลงมาอีกครั้งนางกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ข้า ข้า ข้า...”ดวงตาที่เสิ่นเยี่ยนซูมองนาง มองราวกับเป็นของที่ตายแล้ว “วันนี้ข้าจะให้เกียรติมหาราชครูหรง”“เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่สองชั่วยาม ตบหน้าหนึ่งร้อยที ก็จะสามารถลุกขึ้นได้”“หากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก ลิ้นของเจ้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป องครักษ์หลงสิงมีวิธีดึงลิ้นออกมามากมาย เข้าใจหรือไม่?”หรงเจียวเจียวตกใจมากจนฉี่จะราดอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้ว่า ชายที่ตนเองชื่นชอบ มีด้านที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วย จึงกล่าวด้วยตัวสั่นเทิ้มว่า “เข้า เข้าใจเจ้าค่ะ!”เสิ่นเยี่ยนซูหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและจากไปหรงจือจือเห็นเช่นนี้ ยังตกตะลึงอยู่เล็กน้อยแม้ท่านย่าจะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่ค่อยออกไปด้านนอก ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่นางสัม
สายตาที่ประจบของฮูหยินหลี่ มองไปทางหรงจือจือ “จือจือ ได้ยินว่าเจ้าเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าแต่งกวีเสียหนึ่งบท จะได้เปิดหูเปิดตาให้พวกข้าด้วย!”หรงจือจือกล่าวเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้เตรียมตัว ให้คนอื่นแต่งดีกว่าเจ้าค่ะ”สีหน้าของฮูหยินหลี่ดูจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่แล้ว แต่ก็รู้ ว่าก่อนหน้านี้ตนเองประพฤติตัวไม่ดี หรงจือจือจะโกรธก็สมควร ดังนั้นจึงเดินไปตรงหน้าหรงจือจือเมื่อจับมือของนาง ขณะที่ยิ้มก็กล่าว “เจ้ามีความคิดที่ปราดเปรื่อง การแต่งบทกวีจำเป็นต้องเตรียมตัวเสียที่ใด? ตอนนี้สุ่มเขียนมาเสียหนึ่งบท คิดดูแล้วก็ดีมากแล้ว”หรงจือจือดึงมือของตนเองออกมาจากอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พูดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นป้าสะใภ้บอกว่า วันนี้ข้าไม่ได้รับเชิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ท่านเสนาบดี ทุกท่าน ขอให้เพลิดเพลินให้เต็มที่ ข้าขอตัวลาไปก่อนเจ้าค่ะ!”ขณะที่พูด หรงจือจือก็ลุกขึ้นเตรียมจะจากไปฮูหยินหลี่ตื่นตระหนกแล้ว จึงรีบกล่าว “นี่...จือจือ เข้าใจผิด! ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ป้าสะใภ้แค่เลอะเลือนไปชั่วขณะจึงพู
แม้หรงจือจือเห็นท่าทางของเซิ่งเฟิง ล้วนยังต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดมุมปากไว้เล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเยี่ยนซูไปหาคนที่มีอารมณ์ขันเช่นนี้มาจากที่ใดช่างน่าสนุกยิ่งนัก!เดิมทีหรงเจียวเจียวไม่สบายใจ ยังถูกเซิ่งเฟิงก่อเรื่องเช่นนี้อีก ก็เกิดความคิดอยากตายขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “ข้า ข้า...”คิดว่าวันนี้ชื่อเสียงของตนเองคงเสียหายเป็นแน่ นางจึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวไปเลย!ขณะมองหรงจือจืออย่างดุร้ายก็กล่าวว่า “หรงจือจือ เจ้าตั้งใจขโมยงานแต่งของข้าใช่หรือไม่? เจ้าก็แค่ไม่อยากให้ข้ามีชีวิตที่ดี เจ้า...”หรงจือจือยังไม่ทันได้เอ่ยปากเสิ่นเยี่ยนซูก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไร้สาระ! เดิมทีก็เป็นของของนาง เหตุใดต้องพูดถึงการขโมยด้วย? เจ้าไม่ลองดูใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเจ้า และคิดดูอีกทีว่าควรจะพูดจาไร้สาระต่อไปหรือไม่”เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้หรงเจียวเจียวสั่นสะเทือนแล้วจากสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนซู นางมองออก ว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่นกับนาง หากตนเองโวยวายต่อไป มีหวังโดนตบหน้าจริง ๆ แน่เห็นนางสงบลงได้เสียทีฮูหยินหนิงกั๋วกงก็ยิ้มพลางกล่าว “ครั้งก่อนข้าไปงานเลี้ยงของสกุลฉี เห็นสกุลฉีวุ่นวายไปหมด แม่นา
เขาเอ่ยเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน “คุณหนูสามหรง เจ้าฟังให้ดี ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่หน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็ยังไม่รู้ชัด ไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งเจ้าเป็นชายาเลยแม้แต่น้อย”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ข้าต้องการสู่ขอ ก็คือพี่สาวของเจ้ามาโดยตลอด หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ลองกลับไปสอบถามบิดาของเจ้าดูเถิด”หรงเจียวเจียวส่ายศีรษะไปมา ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้นางยังคงคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าหาใช่ความจริงไม่ แต่เป็นเพียงฝันร้ายอันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้น นางยิ่งร่ำไห้สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม “ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไร... เป็นไปไม่ได้...”ในชั่วขณะนั้นเอง บ่าวรับใช้ของจวนตระกูลหลี่ ก็ได้พาเหวินหมัวมัวเข้ามาด้านในพอเหวินหมัวมัวเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้วเป็นแน่เฉินเยี่ยนซูเหลือบมองเหวินหมัวมัวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าแล้ว เจ้าคงมาเพื่อจะบอกคุณหนูสามของเจ้ากระมัง ว่าแท้จริงแล้วผู้ที่ข้าต้องการหมั้นหมายด้วยคือผู้ใดกันแน่?”เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเอ่ยถาม มีหรือที่เหวินหมัวมัวจะกล้าไม่ตอบ? นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าซีดขา
ครานี้ ทุกผู้คนต่างตกตะลึงงัน สายตาตำหนิหลายคู่พลันจับจ้องไปยังฮูหยินหลี่อะไรกัน! ในเมื่อไม่ได้หมั้นหมาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาหลอกลวงพวกเรา? เช่นนั้นเมื่อครู่พวกเราก็ประจบเอาใจนางเสียเปล่าไปตั้งนานนะสิ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่พวกเราต้องสรรหาคำเยินยอหรงเจียวเจียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเมื่อครู่นั้น มันต้องสิ้นเปลืองความคิดอ่านไปมากเพียงใด? สมองแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!ฮูหยินหลี่เองก็ตกตะลึงงันไปเช่นกัน ตามเหตุผลแล้ว นาวหวังไม่น่าจะวิปลาสถึงขั้นกุเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้! เมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้คนจับจ้องมา นางจึงพยายามอธิบายอย่างตะกุกตะกัก “ไม่... ไม่ใช่! ข้า... เจียวเจียว นี่มันเรื่องอันใดกันแน่!”หรงเจียวเจียวมองไปยังเฉินเยี่ยนซู ด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอัครมหาเสนาบดี! ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้! ท่านเห็นข้าโกรธจนเอ่ยปากขอถอนหมั้น ท่านไม่คิดจะง้อก็แล้วไปเถิด แต่ยังจะกล่าวปดว่าไม่เคยมาสู่ขอข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ประกอบกับเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหรงเจียวเจียว ผู้คนก็เริ่มรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความกังขาจับจ้องสลับไปมาระหว่า
หรงเจียวเจียวชะงักไปครู่หนึ่ง “อ๊ะ?”จ้าวหมัวมัวกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีคงต้องการจะแสดงอำนาจความเป็นสามี ทั้งยังต้องการจะดูท่าทีคุณหนูด้วยว่าจะยอมอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ อย่างไรเสีย ฐานะฮูหยินของราชเลขาธิการผู้ทรงเกียรติ จะเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจตน พอเขาขุ่นเคืองก็เอาแต่ร้องขออภัยไปเสียทุกเรื่องไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”หรงเจียวเจียวมีสีหน้าลังเล “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”จ้าวหมัวมัวกล่าว “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่! คุณหนู ท่านต้องรู้จักแสดงความอ่อนแอบ้าง คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งและทรงอำนาจเช่นท่านอัครมหาเสนาบดี หรือจะยอมลดตัวลงมาง้อคุณหนูได้เล่าเจ้าคะ?”หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะอธิบายได้อย่างไรว่าเหตุใดท่านอัครมหาเสนาบดีจึงจงใจสร้างความลำบากให้คู่หมั้นของตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้เล่า?เมื่อสองนายบ่าวปรึกษาหารือกันเสร็จสิ้นในที่สุดหรงเจียวเจียวก็รวบรวมความกล้าได้ นางรอจนกระทั่งบัณฑิตผู้หนึ่งแต่งบทกวีเสร็จสิ้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี... ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ท่านจะโปรดให้ข้าลุกขึ้นได้หรือไม่เจ้าคะ เจียวเจียวปวดเข่าเหลือเกิน พื้นก็ทั้งเย็นทั้งแข็
ทุกคนย่อมเห็นแผ่นหลังของหรงเจียวเจียวที่กำลังหันหลังจากไป และพอจะเดาได้ว่านางกำลังแสดงความเอาแต่ใจออกมาบรรดาสตรีที่สนิทสนมกับหรงเจียวเจียวต่างแอบตำหนิอัครมหาอัครมหาเสนาบดีเฉินอยู่ในใจ ว่าช่างไม่รู้จักถนอมบุปผาเทิดทูนหยกล้ำค่าเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่รู้จักไว้หน้าคู่หมั้นของตนเองเช่นนี้?เฉินเยี่ยนซูสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหรงเจียวเจียวอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หยุดอยู่ตรงนั้น!”ฝีเท้าของหรงเจียวเจียวพลันชะงัก นางคิดในใจ ในที่สุดเขาก็เรียกข้าแล้ว หรือว่าในใจเขายังคงเป็นห่วงข้าอยู่?นางแค่นเสียงหึเบาๆ แล้วหันไปมองเฉินเยี่ยนซู “ในใจของท่าน ไม่ใช่มีเพียงแต่พี่สาวของข้าหรอกหรือ? แล้วจะมารั้งข้าไว้อีกด้วยเหตุใด?”กล่าวจบ นางก็เช็ดน้ำตาพลางหันเสี้ยวหน้าอย่างดื้อรั้นให้เฉินเยี่ยนซูมองนางเชื่อว่าเมื่อเขาเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จะต้องสำนึกได้แน่ว่าตนเองทำผิดไปแล้ว นางเคยส่องกระจกพิจารณาดูตนเองยามร้องไห้อย่างละเอียดแล้ว รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทางเช่นนี้จะยิ่งขับเน้นความงดงามแววตาของเฉินเยี่ยนซูเย็นชา “ในใจของข้ามีผู้ใดอยู่ ถึงตาเจ้ามาสอดปากวิจารณ์ด้วยหรือ?”หรงเจียวเจียวฟั
ถึงจะอยู่ที่บ้านตระกูลหลี่ แต่เมื่อนางทำผิด หากเฉินเยี่ยนซูไม่เอ่ยอนุญาต นางก็ไม่อาจนั่งได้เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งจากเฉินเยี่ยนซู หลี่เซียงเหยากลับยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นางรู้สึกราวกับว่าพี่เขยสาม ผู้นี้กำลังตบหน้านางอย่างแรง แล้วค่อยยื่นขนมหวานปลอบใจ ทว่าการตบหน้านี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกินนางร่ำไห้ออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อระคนน้อยใจ “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเจ้าค่ะ!”เมื่อครู่หรงเจียวเจียว ไม่ได้ออกหน้าช่วยนาง ตอนนี้จึงรีบเข้ามากล่าวกลบเกลื่อน “เหยาเหยา เห็นหรือไม่ ท่านอัครมหาเสนาบดียังคงให้ความสำคัญกับเจ้านะ ถึงได้อนุญาตให้เจ้าอยู่ในงานเลี้ยงแต่งบทกวีต่อ!”เฉินเยี่ยนซูเอ่ย “ย่อมต้องให้ความสำคัญ”หรงเจียวเจียวพลันยิ้มออก นางคิดว่าอย่างไรเสียท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องไว้หน้านางบ้าง แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินเยี่ยนซู จะเอ่ยประโยคถัดมาว่า “หากนางจากไปแล้ว ไม่มีนางอยู่ที่นี่เป็นข้อเปรียบเทียบ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าจุดจบของการลบหลู่ท่านหญิงเป็นเช่นไร?”ทุกคน “…”เหล่าสตรีที่เมื่อครู่ร่วมวงนินทาหรงจือจือ ตอนนี้ต่างรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ!ส่วนหรงเจียวเจียวยิ่งหน้าเขียวคล้ำ นางเข้าใจในท
วันนี้หรงจือจือถึงได้รู้ว่า อันที่จริงเฉินเยี่ยนซูคนผู้นี้ใจดำอำมหิตเป็นอย่างมาก บางทีก่อนหน้านี้ที่เขาไม่รู้จักเจียวเจียวอาจเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้ที่บิดเบือนความหมายของหรงเจียวเจียว เขาต้องจงใจเป็นแน่สายตาของทุกคนเองก็ตกไปที่ตัวหรงจือจือที่พวกเขากระแหนะกระแหนอยู่นานสองนานนี่...เหตุใดท่านเสนาบดีจัดการเรื่อง ไม่ให้หน้าหรงเจียวเจียวแม้แต่น้อยก็ช่างมันเถอะ ยังจะถามความเห็นของหรงจือจืออีก? นี่หากไม่รู้ ยังคิดว่าคู่ที่ดูตัวหมั้นหมายกัน เป็นหรงจือจือจริง ๆ เสียอีก!หรงจือจือทำทีท่าไม่เกี่ยวกับตน ตอบกลับชืด ๆ ว่า “เรื่องนี้ท่านเสนาบดีตัดสินใจก็พอเจ้าค่ะ”เฉินเยี่ยนซูพยักหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปที่หรงเจียวเจียว “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถูกตบปากไปด้วย?”จากสายตาของเขา หรงเจียวเจียวมองออกว่า เขาพูดจริง และไม่ได้ล้อเล่นกับตน สีหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดเข้าไปอีกนางรีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้า...ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”หลี่เซียงเหยามองพี่หญิงสามของตนอย่างยากจะเชื่อทีหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตนช่วยนางพูด ก็คงไม่ตกมาอยู่ในขั้นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากแยแสตนเฉินเยี่ยนซูกวาดสา