หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย
“ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก
“มีต้นมะลิด้วยรึ”
“เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ”
“เจ้าจะทำสระบัวรึ”
หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี”
“ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร”
หลินอวี่เหยานิ่งไปเล็กน้อยก่อนคลี่ยิ้มบางๆ “อาจเพราะปลดปลงกับชีวิตได้แล้ว จึงก้าวพ้นจากความทุกข์และตระหนักได้ว่าตนเองก็พอมีความรู้อยู่บ้าง”
“เจ้าเองก็ถูกครอบครัวทอดทิ้ง ไม่นึกโกรธแค้นพวกเขารึ”
ความทรงจำที่ได้รับมานั้น หลินอวี่เหยาก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย นางเกิดจากภรรยารองไม่น่าจะได้รับเลือกให้มาถวายตัวเช่นนี้ ควรจะเป็นพี่ใหญ่ของนางมากกว่า แต่กระนั้นเจ้าของร่างก็มิได้คัดค้านอันใด บิดาสั่งให้นางเข้าวังเพื่อคัดเลือกเป็นนางสนม นางก็มาแบบไม่คาดหวังทว่ากลับได้เลือกจริง เพราะไม่ได้รับความโปรดปราน ไร้ความโดดเด่น แม้อยากอยู่อย่างเจียมตัวแต่สุดท้ายก็ถูกใส่ร้ายก็ไม่มีใครมาช่วยแก้ต่างให้
คุกเข่าอ้อนว้อนทั้งน้ำตา สองมือถูกเครื่องลงทัณฑ์เจ็บปวดจนอยากตาย แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้นางตาย การลงทัณฑ์ครั้งแล้วครั้ง ร้องไห้จนดวงตาแทบมืดบอดสุดท้ายก็ถูกส่งมาอยู่ที่นี่
จู่ๆ ร่างนางก็สั่นระริกขึ้นมา ความหวาดกลัวนั้นยังเกาะกินหัวใจดวงนี้อยู่
“เป็นอะไรไปรึ” จื่อหนิงเห็นร่างเล็กนิ่งงันสั่นสะท้านขึ้นมา นางถอนหายใจแล้วยื่นมือไปวางบนศีรษะของนาง “เด็กดี มันผ่านมาแล้ว เจ้าอย่าเก็บมาคิดอีกเลย”
มือหยาบกร้านเพราะไร้การดูแลทว่ามอบไออุ่นให้ ทำให้หญิงสาวได้สติและยิ้มรับ
“เจ้าค่ะ มันผ่านมาแล้ว ข้าจะพยายาม...พยายามไม่เก็บมาคิดอีก”
“ดีแล้ว วันนี้เจ้ากลับไปก่อน ข้าอยากพักผ่อนเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ มื้อกลางวันข้าจะนำอาหารมาส่ง”
จื่อหนิงหัวเราะออกมา “เจ้าไม่ต้องแบ่งข้าวของเจ้ามาให้ข้าทุกวันก็ได้”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ไม่ได้กินข้าวกับท่านน้า ข้าปวดท้องแย่เลย”
“พูดจาไร้สาระ” จื่อหนิงหัวเราะอย่างเอ็นดู นานเพียงใดกันที่นางไม่ได้เป็นเช่นนี้
หญิงสาวยิ้มทะเล้นแล้วหิ้วตะกร้าอาหารเดินลัดเลาะกลับมาที่เรือนของตน ทว่าเมื่อมาถึงก็เห็นขันทีผู้หนึ่งยืนมองกล้วยไม้ที่แขวนไว้อยู่กับต้นไม้ใหญ่หน้าเรือน
“ห้ามคิดจะเอาไปเด็ดขาดนะ” นางส่งเสียงบอกแล้วเดินอาดๆ เข้าไปขวางไว้ “กว่าข้าจะชุบชีวิตขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“เหตุใดเจ้ามีกล้วยไม้ที่นี่” บุรุษในชุดขันทีปรายตามองนางเล็กน้อย
หลินอวี่เหยาแม้ยืดตัวเต็มความสูง แต่ศีรษะของนางยังแค่ปลายคางของคนผู้นี้ แม้สวมชุดขันทีเช่นเดียวกับจูซิน แต่บุคลิกดูองอาจงามสง่าผิดกับขันทีผู้อื่นที่นางเคยพบ
“มันถูกทิ้งแล้ว ...ข้าเก็บมา”
“เจ้าเก็บมา? เจ้าออกจากที่นี่ได้รึ”
ด้วยเกรงว่าเรื่องราวจะบานปลายทำให้ซูจินเดือดร้อน นางจึงแสร้งทำสติไม่ดี พูดด้วยน้ำเสียงสูงกว่าปกติ
“บังอาจ! เจ้าคนชั้นต่ำ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกล้าตั้งคำถามกับข้าเช่นนี้”
ดวงตาบุรุษหนุ่มวูบไหวเล็กน้อย เขามองปลายนิ้วที่ชี้มาใส่หน้า หากไม่เพราะหลบออกไปนอกวังต้องใช้เส้นทางนี้ซึ่งไม่ค่อยมีทหารเวรยามนัก เขาคงไม่บังเอิญเข้ามาที่นี่
หลินอวี่เหยากวาดตามองใบหน้าของขันทีรูปงาม นึกถึงที่ซูจินพูดไว้ว่าจะมีคนมาให้นางตรวจอาการ นางยื่นหน้าไปใกล้แต่อีกฝ่ายผงะถอยหลัง ทำให้หญิงสาวยื่นมือไปจับปลายคางแล้วบิดหน้าหันไปทางซ้ายและขวา เพราะไม่ทันตั้งตัวจึงยอมให้อีกฝ่ายพลิกหน้าไปมา
“ไม่มี”
“อะไรของเจ้า!” เขาปัดมือนางออก เขาคิดว่านางสติไม่ดีจึงคิดจะเดินออกไป ทว่ากลับได้กลิ่นอาหารอุ่นๆ โชยมา
“กลิ่นอะไร”
“กลิ่น...อ้อ น้ำแกงหัวไชเท้า” นางพูดขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้าง เขาก็คงเหมือนขันทีทั่วไปที่กินไม่อิ่มนักกระมั้ง “ยังไม่ได้กินอะไรสินะ นั่งสิ ข้ามีหมั่นโถวกับน้ำแกงหัวไชเท้า”
‘ของแบบนั้น มันกินได้ด้วยรึ’
ชายหนุ่มสงสัย ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอันใด ร่างเล็กก็วิ่งถลาหายไปทางห้องเล็กๆ ด้านข้าง เขายืนนิ่งเก้อเขินอยู่กลางลานกว้าง แปลกใจว่าในวังหลวงมีสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อสองเดือนก่อนเขาผ่านมาทางนี้ยังเป็นแค่ตำหนักเย็นรกร้างอยู่
“มาแล้วๆ นั่งเลยๆ” หญิงสาวร้องบอกแล้วยกถาดเก่าๆ ที่วางชามน้ำแกงและหมั่นโถว “เจ้าอย่าดูแคลนของตรงหน้า นี่คืออาหารเลิศรสที่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยเสวย”
‘ข้าไม่ได้โกหกนะ ฮ่องเต้จะมาเสวยอาหารแบบนี้ได้อย่างไร’
อาจเพราะรอยยิ้ม หรือน้ำเสียงที่อ่อนหวาน มิใช่เสียงแหลมเสียดแก้วหู ทำให้ใบหน้าจิ้มลิ้มนี้ชวนมอง เขาไม่ค่อยเห็นสตรีที่ฉีกยิ้มปากกว้างเช่นนี้นัก เขานึกขำและเอ็นดูจึงยอมนั่งลงที่เก้าอี้กลม เดิมทีก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหิว เพราะรีบเดินทางกลับ แต่พอได้กลิ่นน้ำแกงกลับหิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“นี่น้ำลอยดอกมะลิ ใช้ดอกมะลิลอยในน้ำส่งกลิ่นหอมละมุน ให้ความสดชื่นและผ่อนคลาย”
นางเตรียมตัวเป็นแม่ค้าเต็มที่ ต้องผูกไมตรีกับบรรดาขันที วันข้างหน้าต้องพึ่งพาพวกเขา หากชายผู้นี้เป็นขันทีตำแหน่งสูง นางอาจจะขอแม่ไก่จากเขาได้ ชายหนุ่มกินน้ำแกงและหมั่นโถว แน่นอนว่าเขาเคยกินของอร่อยกว่านี้ อาจเพราะหิวทำให้กินได้มาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนอย่างเขาต้องมาแย่งอาหารสาวใช้คนหนึ่ง
“กินเยอะๆ ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าเองต้องมีเรี่ยวแรงไว้รับใช้ผู้อื่น คนอย่างเราๆ แค่มีของกินอิ่มท้องก็ทำให้มีกำลังใจมีชีวิตต่อไป”
หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย
จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง
“ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา
“กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้
“ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ
“บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ