ホーム / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ /  ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

共有

 ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

last update 最終更新日: 2025-07-23 08:58:59

          จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ  นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง 

            “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?”   จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก

            “ใช่”  หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน

            “นี่อะไร”

            “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน”  นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี”

            ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก

            “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว”

            หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลงกุหลาบกับมะลิซึ่งเป็นของเดิมที่รอดตายจากฤดูกาลที่ผ่านมา สีเขียว นางชอบสีเขียวของใบไม้เป็นที่สุด ให้ความรู้สึกของการมีชีวิตเหลือเกิน  วันคืนเคลื่อนผ่านไม่นานจากตำหนักเย็นอันเงียบเหงาเปล่าร้างกลายเป็นสถานที่เขียวชอุ่ม อีกไม่นานดอกไม้ก็ผลิบาน

            “ท่านกงกงหาแม่ไก่ให้ข้าสักตัวสองตัวสิ”

            “เรื่องนั้น...”  เขาไม่กล้ารับปาก ครั้งก่อนขายเสื้อผ้าชุดผ้าไหมให้นางและซื้อของตามที่นางสั่งมาให้ มีเงินเหลือนิดหน่อย นางก็มอบให้เขาเป็นค่าตอบแทน  ยามนางทำอาหารก็มักเผื่อเขาเสมอ และยังมีนางกำนัลและขันตีขั้นต่ำที่แวะเวียนมาเคาะประตูเพื่อให้นางประเมินอาการเจ็บป่วยต่างๆ

            “ถ้ามีแม่ไก่ ก็จะมีไข่ไก่ ไข่ไก่ทำของกินอร่อยๆได้อีกเยอะเชียว”  นางแสร้งทำเป็นพูดลอยๆ แต่รู้ว่าดีว่าขันทีที่อยู่ในวัยสิบสี่สิบห้าคือช่วงเวลาที่กำลังเติบโต เขาต้องบำรุงร่างกายเช่นเดียวกับนางที่อยู่ในร่างของเด็กสาวอายุสิบเจ็ดผู้นี้  “หลังหิมะละลายข้าจึงเพิ่งรู้ว่าด้านหลังมีบ่อน้ำเล็กๆ เจ้าหาปลามาโยนใส่บ่อให้ข้าหน่อยสิ”

            “ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ”

            หลินอวี่เหยาเย้าแย่ขันทีน้อย นางรู้ว่าคนวัยนี้มิใช่เด็กน้อยอย่างในยุคของนาง  อาจเพราะอาหารการกินไม่สมบูรณ์นัก ซูจินจึงดูรูปร่างเล็กและผอมบาง นางเห็นเขาเป็นเหมือนน้องชายในขณะที่เขามองนางเป็นสนมตกอับ

            “เจ้ากล้วยไม้กิ่งนั้น ไม่ตายแล้วหรอกหรือ? เหตุใดมันกลายเป็นสีเขียวขึ้นมาได้”

            “ข้ามีเวทมนต์นะสิ”  นางพูดแล้วยกน้ำข้าวขึ้นดื่ม อ่า...ดีจัง วันนี้มีเม็ดข้าวติดมาด้วย

            “อย่าได้พูดจาส่งเดชไป จะนำเรื่องเดือดร้อนมาถึงเจ้า”

            “ข้ารู้ๆ”  นางยังคงยิ้มไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอันใด “จะเรียกว่ารอดตายก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เอาเป็นว่าต้องรอดูกันไปก่อน โดยทั่วไปแล้ว กล้วยไม้ส่วนใหญ่จะออกดอกในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว หรือฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่เติบโตในช่วงฤดูร้อนอย่างเต็มที่ ช่วงเวลาออกดอกที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดของกล้วยไม้แต่ละชนิดด้วย เลี้ยงให้รอดก่อนค่อยว่ากัน”

            หากเป็นยุคของนางมีการพัฒนาให้กล้วยไม้ออกดอกได้ตลอดทั้งปีเพื่อการค้าและส่งขายไปทั่วโลก นางเองก็เคยอยู่ในคณะทำงานพัฒนาสายพันธุ์กล้วยไม้ รวมทั้งเพาะพันธุ์กล้วยไม้ในเชิงอนุรักษ์  หลายปีก่อนคุณปู่หลินเป็นแกนนำในการเพาะพันธุ์กล้วยไม้ป่าที่เคยคิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วนำคือสู่ธรรมชาติ  จนกระทั่งได้ข่าวว่ามีคนพบ ‘กล้วยไม้บรรพกาล’ คุณปู่หลินถึงได้ตื่นเต้นมาก หากไม่เพราะตกบันไดก็คงเดินทางมาสำรวจด้วยตนเอง  ไม่ว่าจะเป็นโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตไว้ นางจึงได้มาอยู่ที่นี่

            “ได้ยินว่าเจ้าคารวะสนมจื่อหนิงเป็นอาจารย์”

            “ถูกต้อง สมแล้วกับเป็นขันทีน้อย เรื่องในตำหนักเย็นก็ปิดไม่มิด”  นางหัวเราะเบาๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอันใด “ข้าอยู่ว่างๆ จึงขอให้สนมจื่อหนิงช่วยสอนคัดอักษรและอ่านเขียน”

            “เจ้าอยากได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาทรึ”

            “เรื่องไม่อาจเอื้อมเช่นนั้นข้าไม่ปรารถนา” กล่าวไปเช่นนั้นแต่สิ่งที่นางต้องการมากที่สุดคือออกไปจากที่นี่ “เจ้าก็เห็น ลายมือข้าย่ำแย่แค่ไหน หากปล่อยไว้นานวันเข้าก็ยิ่งสร้างความอับอายให้แก่ตนเอง”

            “ก็จริง”  เขาพยักหน้าเห็นด้วย “อ่อ ข้าเกือบลืมไป สหายข้าปากเป็นแผล เขาจะมาให้เจ้าดูสักหน่อย จริงๆ ข้าก็อยากพาเขามาเองแต่ว่าช่วงเวลาว่างของเราไม่ตรงกัน”

            “ได้ ถ้าไม่เห็นข้าที่นี่ก็อยู่กับสนมจื่อหนิง”

            “สนม...”  ขันทีจูซินได้ยินแล้วก็ส่ายหน้าไปมา “คนที่นี่ล้วนเคยเป็นนางสนมที่ได้รับความโปรดปรานทั้งนั้น”

            “แผ่นดินผลัดเปลี่ยนผู้ปกครอง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ สนมที่เคยรับใช้ฝ่าบาทพระองค์ก่อนหากไร้โอรสหรือธิดาก็มักถูกส่งออกไปนอกวังไม่ใช่หรือ เหตุใดสนมจื่อหนิงจึงยังอยู่ที่นี่หรือนางทำผิดร้ายแรง”

            ซูจินกลอกตาไปมาจนมั่นใจว่าไม่มีผู้อื่นจึงพูดขึ้น

            “ข้ามาอยู่ที่นี่ก็ได้ยินว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะประสงค์ของไทเฮา สนมจื่อหนิงเคยช่วยสตรีนางหนึ่งไว้ทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง จึงให้อยู่ทรมานเช่นนี้”

          “ความโกรธแค้นของคนเราช่างน่ากลัวเหลือเกิน”  หลินอวี่เหยานึกถึงโลกที่นางจากมา ชีวิตนางไม่ยึดติดเรื่องความแค้นเคืองใด แต่ก็เห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ รวมทั้งในแวดวงสังคมทำงานของนางเอง  แย่งกันเอาหน้า ชิงงานวิจัย จากเดิมที่เป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อสนิทกลายเป็นศัตรูกัน

            คนอยู่กับต้นไม้มักใจเย็นใจ ก็ใช้ไม่ได้เสมอไป หลินอวี่เหยาได้แค่ยิ้มให้ตัวเอง  

            นางไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องที่ผ่านมามากนัก เพื่อความเป็นอยู่ที่นี่ หลังจากขันทีจูซินกลับไปแล้ว นางก็ยืนมองบ่อหน้าเบื้องหน้า แต่เดิมสถานที่นี้คงงดงามไม่น้อย มีบ่อน้ำขนาดเล็กเหมาะกับปลูกบัวนั่งชมความร่มรื่น แต่เมื่อถูกปล่อยรกร้างก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา บ่อน้ำที่นี่ไม่ลึกมากนัก นางลองใช้ไม้หยั่งดูแล้วปรากฏว่านางสามารถเดินลุยน้ำลงไปได้  ความสูงของน้ำแค่เอวนางเท่านั้น แค่นี้ก็พอให้นางได้ปลูกดอกบัวเผื่อเก็บดอกและเม็ดมาทำชาดีบัวได้แล้ว

           

           

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status