“แพทตี้ กลับมาแล้วหรอ” แอมมี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“อืม... เราเสียงดังทำเธอตื่นหรอ... ขอโทษนะแอมมี่” แพทตี้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“เห้ย!! เปล่า เราแค่ผล็อยหลับไปน่ะ ว่าแต่ดงชิกเป็นไงบ้าง เขาดีกับเธอใช่เปล่า”
แอมมี่อดที่จะถามถึงคนที่พาเพื่อนเธอออกไปไม่ได้ กลัวอีกฝ่ายจะทำให้แพทตี้หวั่นไหวอีกครั้ง
“อืม... ก็ดีนะ แอมมี่ไม่ต้องห่วงเราหรอก เราโอเคร กับดงชิกเรายังเป็นเพื่อนกันได้ เขาบอกถ้าเขายังอยู่พัทยาเขาจะมาเลี้ยงดื่มเราอีก แต่เราก็ไม่ได้สนใจหรอกนะ เขาจะมาไม่มาก็เป็นเรื่องของเขา เพราะการที่เขาผ่านเข้ามาในชีวิตของเราเดี๋ยวเขาก็ผ่านไป” แพทตี้เอ่ยออกมาให้เพื่อนสนิทสบายใจ เธอรุ้ดีว่าแอมมี่เป็นห่วงเธอถึงเอ่ยถามออกมาแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นง่วงเปล่า ง่วงก็มานอนด้วยกันสิ”
แอมมี่เอ่ยถาม เมื่อเห็นเพื่อนสาวพยักใบหน้างามที่แววตาดูร่วงโรยเหมือนกับคนอดหลับอดนอนมาหลายคืน หญิงสาวจึงเอ่ยชวนเพื่อนให้ขึ้นมานอนข้างๆ แพทตี้ฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะกระโดดขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ เพื่อนสนิท แอมมี่คว้าเอาร่างบางของแพทตี้เข้ามากอดจนสาวสวยนอนตัวเกร็ง
“ฝันดีแพทตี้ เย็นนี้ทำงานช่วยเราหาดื่มด้วยนะ เมื่อวานได้สองดื่มเอง”
แอมมี่บอกทั้งที่ยังหลับตาอยู่ แต่แขนเรียวของเธอกลับโอบกอดเพื่อนสนิทสาวเอาไว้
“อืม... ฝันดีแอมมี่ เย็นนี้เดี๋ยวเราช่วยเธอหาดื่มเอง ไม่ต้องห่วงนะ นอนเถอะ”
มือบางตบลงบนแขนของเพื่อนเบาๆ ก่อนที่เสียงลมหายใจของแอมมี่จะดังขึ้นมาสม่ำเสมอ แพทตี้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหลับตาลงเช่นกัน เธอยังเหนื่อยและรู้สึกว่าต้องการพลังในการไปทำงานเย็นนี้
ทันทีที่ดาวอะโกโก้สาวไปถึงร้านก็ได้รับสายตาหลายคู่ของทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันมองมาทั้งเป็นมิตรและไม่เป็นมิตร เธอสวย ขาว หุ่นก็เซ็กซี่เย้ายวน เรื่องนี้ทุกคนยอมรับและแน่นอนว่าถ้าอะโกโก้แห่งนี้ไม่มีแพทตี้สักคน ลูกค้าก็คงเข้าร้านน้อยลงกับเศรษฐกิจที่ค่อนข้างซบเซาแบบนี้ มาม่าซังพอเห็นลูกรักเดินเข้ามาในร้านก็เข้ามาถามไถ่ทันทีด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าลูกสาวจะเผลอใจให้กับลูกค้าหนุ่มเกาหลีที่บาร์ฟายเธอออกไปถึงสามคืนสองวัน
“สวัสดีค่ะแม่” แพทตี้เอ่ยทักทายพร้อมทั้งยกมือไหว้มาม่าซังที่คอยดูแลและห่วงใยเธอทันที
“สวัสดีลูก แม่ก็นึกว่าวันนี้หนูจะหยุดพักก่อน แล้วเป็นไงบ้างจ๊ะ ดงชิกเค้าดีกับหนูไหม”
“ก็ดีนะคะแม่ เขาบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับหนูต่อไป เห็นบอกว่าถ้ายังอยู่พัทยาจะมาเลี้ยงดื่มอยู่ค่ะ”
เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้มาม่าซังเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเธอสบายดี และไม่ได้หวั่นไหวไปกับหนุ่มเกาหลีคนนั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะลูก แม่ดีใจนะที่หนูแยกแยะความรู้สึกได้ดีขึ้น ผู้หญิงที่ทำงานแบบนี้มันหายากที่ใครจะมาจริงใจ อยากได้เราไปเป็นแฟน หรือเป็นภรรยา แม่ไม่อยากให้หนูเจ็บปวด”
จินตนาเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะพร่ำสอนเด็กสาวไม่ให้หลงใหลไปกับคำหวานของลูกค้าบางคนที่เข้ามาก็แค่ชั่วคราวแต่พูดจาเหมือนกับว่าอยากดูแลไปทั้งชีวิต พอได้ในสิ่งที่ต้องการพวกเขาก็ผ่านไป เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านเข้ามาและพัดผ่านออกไป จินตนาเห็นเด็กสาวมามากหน้าหลายตา หรือแม้แต่ลูกค้าเองเธอก็พบเจอมาทุกรูปแบบ
“ค่ะแม่จิน หนูจะจำเอาไว้ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ กับดงชิกหนูโอเคและไม่ได้รู้สึกกับเขาไปมากกว่าคนที่มาใช้บริการเท่านั้น” แพทตี้ยิ้มออกมาก่อนที่เธอจะขอตัวและเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
หกเดือนต่อมา
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ดาวอะโกโก้คนสวยนั้นเป็นที่นิยมและที่หมายตาของหนุ่มๆ ชาวต่างชาติทั้งหลาย อย่าว่าแต่หนุ่มต่างชาติเลย แม้แต่หนุ่มไทยที่ทำงานเป็นการ์ดของอะโกโก้ และอะโกโก้ข้างเคียงก็ยังแอบขายขนมจีบให้กับเธอ แต่จุดประสงค์ของแพทตี้นั้นไม่ได้มาที่พัทยาเพื่อใฝ่หาความรักแต่เธอมาเพื่อหาเงินให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและนั่นจึงทำให้เธอไม่คิดจะมองหนุ่มๆ คนไหนแบบจริงจังเลยสักคน
ด้านหน้าอะโกโก้มีแขกมากหน้าหลายตา หลากหลายเชื้อชาติเดินผ่านไปมา บางคนถูกพีอาร์สาวๆ คอยเหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้เข้าไปชมข้างในร้าน และดูเหมือนกลุ่มหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวที่เรียกได้ว่าหล่อเกือบทั้งกลุ่มก็กำลังเดินผ่านอะโกโก้ที่มีสาวสวยอย่างแพทตี้เป็นดาวเต้นอยู่ มีหรือที่พวกบรรดาพีอาร์จะปล่อยให้หนุ่มๆ กลุ่มนี้หลุดมือไป สาวๆ รีบทำหน้าที่เรียกลูกค้าหนุ่มๆ กลุ่มนี้ทันที
หนุ่มฝรั่งรูปหล่อ ตาฟ้า ผิวขาว ผมทองที่มีส่วนสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร แต่ทว่ารูปร่างของเขานั้นกลับหนั่นแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขาสวมเพียงเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนแบรนด์ดัง รองเท้าแตะเพียงเท่านั้น แต่ออร่าความหล่อเหลานั้นดึงดูดให้สาวๆ เข้าหาและดึงรั้งกล้ามแน่นๆ ของเขาไว้
“ฮัลโหล...สุดหล่อ ในอะโกโก้ของเรามีสาวสวยๆ กำลังเต้นโชว์อยู่ด้วยนะคะ เชิญเข้าไปชมข้างในก่อน ถ้าไม่ถูกใจจะออกมาก็ไม่ว่า”
เสียงหวานออดอ้อนหนุ่มฝรั่งสุดหล่อที่ตนดึงรั้งเอาไว้ได้ เพื่อนๆ ของหนุ่มหล่อคนนี้หันมาส่งยิ้มก่อนที่จะพูดคุยกันเป็นภาษาเยอรมัน แน่นอนว่าพีอาร์สาวบางคนนั้นฟังออกจากประสบการณ์ที่ทำงานด้านภาษามานานหลายปี
“เฮ้...สตีเว่น ลองเข้าไปดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่ถูกใจค่อยไปร้านอื่น”
เดนนิสเอ่ยทักเพื่อนที่เอาแต่ยืนอมยิ้มอยู่น้อยๆ สตีเว่นเป็นเจ้าของบริษัทไอทีในยุโรปที่อายุน้อยที่สุด และเขาไม่ชอบเป็นข่าวจึงทำให้คนนอกไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครและร่ำรวยมหาศาลขนาดไหน เขาชอบทำตัวติดดินเพื่อลองใจคนรอบกายโดยเฉพาะกับพวกสาวๆ ที่ส่วนมากคบกับเขาเพียงเพราะรูปกายและสมบัติ
“อืม...ลองเข้าไปดู เผื่อคืนนี้นายอาจจะถูกใจใครสักคน”
โอเว่นแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง สาวๆ ที่ยืนส่งยิ้มรออยู่จึงดึงหนุ่มๆ ให้ตามเข้าไปในอะโกโก้ที่อยู่ด้านหลังพวกเธอทันที
และทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นอายของแอลกอฮอล์ปะปนกับกลิ่นหอมหลากหลายชนิดทำให้สตีเว่นเวียนหัวอยู่ไม่น้อยจึงเตรียมจะก้าวออกประตูไป แต่เสียงของดนตรีที่เปลี่ยนจังหวะและสาวๆ กลุ่มใหม่ที่ขึ้นมาเต้นบนฟลอร์พอดีเรียกให้เขาหยุดมอง
สายตาคมมองไปที่สาวสวยผิวขาวผ่องในชุดบิกินีสีแดงเพลิง เธอกำลังทำหน้าที่ด้วยการเต้นไปตามจังหวะเพลงที่เย้ายวน หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกเต้นแรงจนแทบจะไม่เป็นจังหวะ แล้วความคิดที่จะออกไปก็กลับกลายเป็นเดินเข้าไปนั่งโต๊ะที่ยังว่าง ที่เหลือเพียงสองโต๊ะเท่านั้น สองหนุ่มมองเพื่อนอย่างงุนงง ปกติสตีเว่นไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ สงสัยที่นี่คงมีอะไรดีที่ทำให้เพื่อนเขาสองคนสนใจแล้วล่ะสิ
“หม่ามี๊ของผมเก่งที่สุด ผมภูมิใจในตัวหม่ามี๊นะครับ”แพรวาถึงกับน้ำตาซึมกับคำพูดของลูก คนอื่นดูถูกเธอไม่ว่า ขอเพียงลูกๆ ของเธอเข้าใจว่าอดีตที่ไม่ได้สวยงามของเธอนั้นเธอทำมันไปเพื่อใคร“ขอบคุณนะลูก ที่เข้าใจแม่” แพรวาเอ่ยออกมาด้วยความซึ้งใจก่อนที่จะกระชับอ้อมแขนสตีเว่นที่เดินจูงมือน้องอันนาวัยหกขวบเดินเข้ามาภายในห้องพักเห็นภาพของภรรยากอดกับบุตรชายอยู่ที่ระเบียงห้องก็ยกยิ้มออกมาที่มุมปาก ก่อนที่จะเดินไปที่เตียงเด็กแล้วก้มลงไปหอมแก้มนุ่มของบุตรสาวคนเล็กอายุหนึ่งขวบน้องอันนาเดินเข้าไปกอดกับมารดาและพี่ชายเช่นกัน หญิงสาวรวบร่างเล็กแต่ทว่าสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันของลูกๆ มาในอ้อมแขนก่อนที่จะกดจูบลงบนกระหม่อมของลูกน้อยทั้งสอง สตีเว่นเดินเข้ามาสมทบแล้วสวมกอดสามคนแม่ลูกเอาไว้เช่นกันชายหาดจอมเทียนยามเย็นครอบครัวของแพรวาและครอบครัวของแอมมี่มานั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกันที่ร้านอาหารริมหาดจอมเทียน เสียงคลื่นที่สาดซัดน้ำทะเลเข้าฝั่งนั้นยังดังไม่เท่ากับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่นั่งเล่นกันอยู่ตรงสนามเด็กเล่นที่ทางร้านทำมาพิเศษเพื่อลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว“ไม่คิดจะพากันย้ายมาอยู่ไทยบ้างเหรอแพร”แอมมี
สองปีต่อมาความโศกเศร้าที่ผ่านพ้นไปก็เปรียบเสมือนกับฟ้าหลังฝนที่ท้องฟ้านั้นมักจะสดใสเสมอ แพรวายังคงใช้ชีวิตอยู่กับสามีและลูกๆ ของเธอที่ประเทศเยอรมนี บิดาของเธอที่อาศัยอยู่ประเทศไทยเพียงลำพัง ตัดสินใจละทางโลกแล้วหันหน้าสู่ทางธรรมตั้งแต่สูญเสียภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไปเพียงหนึ่งปี ซึ่งก่อนหน้านั้นสองสามีภรรยาได้พาหลานๆ ไปเยี่ยมท่านถึงสามครั้งตามคำสั่งเสียของมารดาผู้ล่วงลับ“แอว๊ะ....อ้วก.....แอว๊ะ...”เสียงอาเจียนที่ดังขึ้นภายในห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ทำให้ฝรั่งหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วรีบวิ่งไปดูภรรยาทันที“ที่รัก... คุณเป็นอะไร ทำไมอาเจียนมาสองวันแล้วเนี่ย” เขาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาถึงความห่วงใย“เปล่าค่ะที่รัก มันเป็นเรื่องปกติ” สตีเว่นถึงกับมองหน้าภรรยาด้วยความไม่เข้าใจ“ปกติ... ปกติตรงไหนที่รัก คุณตื่นเช้ามาอาเจียนสองวันแล้วนะ ทำอาหารไม่สะอาดหรือเปล่า ผมว่าไปหาหมอกันดีกว่า”มือหนาพยายามประคองร่างบางให้ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะพาไปหาหมอ มือบางยกขึ้นมาวางบนมือหนาของสามีก่อนที่จะส่งยิ้มบางๆ ให้กับเขา“ได้ไปหาแน่ค่ะหมอ” เสียงหวานบอกสามียิ้มๆ“ใช่สิ...คุณดูอาการไม่ดีเลย หน้าซีดหมดแล้
“แพร.. ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วหนูพาหลานๆ มาเยี่ยมพ่อบ่อยๆ นะลูก”จู่ๆ นางอารีก็เอ่ยออกมาราวกับว่ากำลังสั่งเสียบุตรสาว แพรวาลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหามารดาทันที“แม่จ๋า... แม่พูดอะไรแบบนั้น แม่ต้องอยู่ไปอีกนาน หลานยังไม่โตเลยนะแม่” แพรวาเอ่ยออกมาน้ำตาซึมขณะที่รวบร่างผอมบางของมารดาเข้ามาในอ้อมกอด ปีนี้เธอรู้สึกว่ามารดาผอมลงไปเยอะจริงๆ นึกแล้วก็รู้สึกใจหายแปลกๆ“แม่แก่แล้ว อีกอย่างแม่ป่วยมานานแล้วนะลูก หนูก็รู้นี่นา...”นางอารีเอ่ยออกมาอย่างปลงกับชีวิต ในชีวิตนี้ของเธอพอแล้ว เธอพบกับความสุขแล้ว หากสวรรค์จะมาพรากเธอไปจากครอบครัว เธอก็จะไม่โลภมากอีกแล้ว เธอเหนื่อยและอยากพักผ่อนเสียทีใครจะไปคิดว่านั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายของนางอารี เช้าวันต่อมาเสียงร้องเรียกชื่อนางอารีดังมาจากสามีคู่ทุกข์คู่ยาก พราวนารีที่นอนอยู่ภายในห้องนอนกับสามีถึงกับผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังห้องของมารดาด้วยหัวใจที่หวาดหวั่น ร่างเล็กนอนนิ่งอยู่บนที่นอน เสียงร้องเรียกชื่อมารดาที่ดังมาจากปากของบิดาแทบกรีดหัวใจของเธอสตีเว่นรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามภรรยามาเห็นภาพตรงหน้าก็อดที่จะสงสารภรรยาไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าการบินกลับมาประเทศไทย
จังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทยร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อม่อฮ่อม กางเกงผ้าฝ้ายขาสั้นถึงเข่า เส้นผมสีทองถูกจัดทรงขับกับใบหน้าขาวผ่องให้ดูหล่อเหลายิ่งขึ้นเดินจับมือมากับเด็กหญิงตัวน้อยที่มีใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตา แต่งกายด้วยชุดไทยพื้นเมืองสำหรับเด็กผู้หญิง ทางฝั่งซ้ายมือหนาจับมือบางของภรรยาสาวที่สวมชุดไทยพื้นเมืองสีขาว หญิงสาวรวบผมยาวสีดำเอาไว้ทางด้านหลังเป็นทรงหางม้า ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบามือซ้ายของหญิงสาวกุมมือเล็กของเด็กชายวัยห้าขวบที่แต่งชุดคล้ายๆ กันกับผู้เป็นบิดาเดินเคียงข้างกันมา ทำเอาคนที่มองไปที่ครอบครัวนี้อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ เพราะถึงจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติ มีลูกๆ เป็นเด็กลูกครึ่ง แต่หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่เคยลืมวัฒนธรรม ประเพณีหรือแม้แต่การแต่งกายของบ้านเกิดเมืองนอนเลย ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก“หม่ามี๊ขา... อันนั้นอารายคะ”เด็กหญิงลูกครึ่งตัวน้อยเอ่ยถามออกมาเป็นภาษาไทย แพรวาสอนลูกให้พูดสามภาษาซึ่งมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาด๊อยซ์ (เยอรมัน)“อันนั้นเค้าเรียกว่าช้างค่ะ”เด็กหญิงวัยสามขวบเพิ่งจะเคยเห็นพี่ช้างตัวจริงเป็นครั้งแรกก็รู้สึกตื่นเต้น ต่างจากผู้เป็นพี่ชายที่เคยมา
“สามดอกหนึ่งร้อยบาทค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่มาช่วยมารดาขายดอกไม้เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม“เอาสามดอกจ้ะ”แพรวาบอกพร้อมกับส่งเงินให้ เด็กหญิงยกมือไหว้ก่อนที่จะรับเงินมาแล้วส่งดอกไม้ให้กับลูกค้าใจดี“ขอบคุณค่า...ขอให้คุณน้าสวยๆ รวยๆ ได้เป็นมาดามนะคะ”คำขอบคุณผสมคำอวยพรของเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับอินทัชเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูออกมาจากหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงกันข้าม แอมมี่ส่ายหน้าไปมาให้กับความใจดีของเพื่อนสนิท กับความไร้เดียงสาของเด็กขายดอกไม้“อันนี้หม่ามี๊ให้อินทัช อันนี้ให้น้องอันนา และอีกดอกให้ป้าแอมมี่กับน้องแองจี้ค่ะ”“ขอบใจจ้ะ..ขอให้ได้เป็นมาดาม คิกๆๆๆ”แอมมี่ไม่วายรับดอกไม้มาก่อนเอ่ยแซว แพรวายิ้มเขินส่งไปให้ คำว่ามาดาม มีคำจำกัดความมาจากอะไร เธอรู้ดี แต่เธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้เป็นมาดามของใครสักคนดีที่ว่าดอกกุหลาบทั้งสามมีพลาสติกสีสวยห่อหุ้มก้านจับอยู่ เธอเลยให้เด็กๆ ถือได้ แอมมี่เมื่อรับดอกไม้มาจากเพื่อนสาวแล้วจึงส่งให้กับบุตรสาว โชคดีที่ก้านกุหลาบไม่มีหนาม“ขอบคุณครับ/ค่ะ” สองพี่น้องเอ่ยคำขอบคุณมารดาพร้อมกัน“หม่ามี๊ครับ ทำไมเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องมาขายดอกไม้ด้วยล่ะครับ”อินท
ภาพของหนุ่มฝรั่งกับผู้หญิงไทยผิวขาวผมดำยาวคลุมแผ่นหลังไปถึงบั้นท้ายเดินจูงเด็กชายวัยห้าขวบกับเด็กหญิงวัยสามขวบเดินออกมาจากประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้า การเดินทางมารอบนี้สองสามีภรรยาไม่มีผู้ติดตามมาด้วยเป็นการเดินทางมาแบบครอบครัวเมียร์จริงๆ“ลุงโอเว่น ป้าแอมมี่ น้องแองจี้ สวัสดีครับ” เสียงเด็กชายวัยห้าขวบร้องเรียกชื่อของคนที่มารอรับ“โอ้โห... หลานชายป้าโตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเชียว” แอมมี่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างเล็กของหลานชาย ลูกชายคนแรกของเพื่อนสนิท“นั่นสิ.. โตแล้วหล่อเหมือนพ่อเรานะเนี่ย”โอเว่นเห็นด้วยก่อนที่จะยักคิ้วให้เพื่อนสนิทที่เดินเข็นรถเข็นที่มีกระเป๋าเดินทางหลายใบตามหลังภรรยาและลูกๆ มา“น้องอันนาก็โตวัยจังเลย ดูสิกลายเป็นสาวขี้อายไปแล้ว น่ารักจัง”อันนา บุตรสาวคนเล็กของแพรวากับสตีเว่นมีนิสัยต่างจากพี่ชาย เธอขี้อายแต่ทว่าเรียนรู้เร็ว ส่วนอินทัชนั้นช่างเจรจา ช่างซัก ช่างถามตามวัยของเขา“น้องแองจี้ก็โตแล้วนะครับ”แองจี้คือลูกสาววัยหนึ่งขวบของแอมมี่และโอเว่น ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันเมื่อสองปีที่แล้ว โดยโอเว่นขอเธอแต่งงานขณะที่ไปเยี่ยมแพรวาตอนครั้งที่แพรวาคลอดน้องอันนา ทั้งคู่แต่งงานก