LOGINเขาคือนายทุนใจร้าย ที่เข้ามาฮุบกิจการของครอบครัวเธอไปอย่างไม่เป็นธรรม ส่วนเธอคือทายาทเจ้าของโรงแรมดัง ที่อยากได้ของของเธอคืน การต่อสู้ของแม่นกน้อยที่มีดีแค่ความสวยกับพ่ออูฐแก่ที่มีดีแค่ความรวยจึงเริ่มขึ้น
View More“ที่พ่อพูดมาหมายความว่ายังไงคะ เราจะล้มละลาย? มีนายทุนต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการไปแล้วทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้?” ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเอ่ย
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมพรีมไม่ได้ยินข่าวอะไรก่อนหน้านี้เลย” ลูกสาวมองหน้าพ่อสลับกับแม่ ร่างเล็กยืนอยู่กลางห้องทำงานของผู้เป็นพ่อโดยมีแม่นั่งก้มหน้าอยู่โซฟา ส่วนพ่อนั่งเอามือปิดหน้าบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“พ่อผิดเองพรีม พ่อขอโทษนะที่ทำให้ลูกเดือดร้อน” มือหนาละออกจากใบหน้าแล้วมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อลูกและภรรยา “แต่พรีมไม่ต้องเป็นห่วงนะ พ่อจะไม่ทำให้พรีมลำบาก ถึงจะล้มละลายแต่ก็ยังพอมีเงินก้อนเล็ก ๆ ไว้ให้พรีมเรียนต่อจนจบ แล้วก็ใช้ช็อปปิงใช้เที่ยวกับเพื่อน ๆ ได้เหมือนดะ…”
“คิดว่าพรีมถามเพราะอยากฟังเรื่องนี้เหรอคะ!” เสียงลูกสาวดังก้องห้องทำผู้เป็นพ่อและแม่ชะงักไป พอตั้งสติได้สโรชาก็ชะงักไปเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขึ้นเสียงใส่บิดาบังเกิดเกล้าและทำกิริยาหยาบคายเช่นนี้ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “พรีมแค่อยากรู้ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่บอกอะไรพรีมเลย อย่างน้อย ๆ ก่อนจะมีปัญหาก็ควรบอกกันบ้างสิคะ จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข หรือที่ผ่านมาพรีมเป็นลูกสาวที่ทำให้พ่อกับแม่วางใจไม่ได้ เป็นลูกสาวที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะพรีม!” พ่อกับแม่ปฏิเสธพร้อมกันเสียงดัง “พ่อกับแม่ก็แค่ไม่อยากให้พรีมคิดมาก ยิ่งตอนนี้พรีมต้องเตรียมตัวฝึกงาน ถ้ารู้เรื่องนี้เข้าจะไม่มีสมาธิฝึกงานเอา” ประโยคนี้ผู้เป็นแม่พูดขึ้น
“พ่ออยากให้พรีมได้ใช้ชีวิตของพรีมอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้มาปวดหัวเรื่องธุรกิจเหมือนพ่อ”
“แต่พรีมก็ต้องรู้อยู่ดีนี่คะ ยังไงธุรกิจของครอบครัวเราก็ต้องส่งต่อให้พรีมดูแลอยู่แล้ว ใช่ว่าจะให้คนอื่นมาดูแลแทนแล้วให้พรีมถือหุ้นรอรับผลประโยชน์อย่างเดียวสักหน่อย” สาวน้อยมองพ่อกับแม่สลับกันพร้อมกับถอนหายใจออกมา ทว่าทั้งคู่กลับหลบตาและเอาแต่เงียบราวกับสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่นั้นถูกต้องทุกอย่าง
“…”
“…เดี๋ยวนะ! นี่พ่อกับแม่คิดจะให้พรีมนั่งกินนอนกินอย่างเดียวจริง ๆ เหรอคะ” เป็นอีกครั้งที่ลูกสาวเอ่ยถามด้วยความตกใจ “นี่พ่อกับแม่เห็นพรีมเป็นอะไรคะ ทุกคนคิดว่าจะเลี้ยงพรีมไปจนแก่เลยเหรอ”
“…”
“พรีมไม่ได้อยากเกิดมาเพื่อใช้เงินแล้วตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้พ่อกับแม่นะคะ”
“…”
“พอค่ะ! พอก่อนนะ พอ” มือเล็กคลึงขมับตัวเองเมื่อพ่อกับแม่เอาแต่เงียบ ศีรษะทุยปวดตุบ ๆ จนต้องขมวดคิ้วเมื่อได้รู้ความคิดของพวกท่าน “เราหยุดเรื่องนี้ไว้ตรงนี้แล้วคุยอีกเรื่องก่อนดีกว่าค่ะ” สโรชาเดินผ่านหน้ามารดาไปนั่งโซฟาอีกตัว ส่วนบิดาต้องลุกจากโต๊ะทำงานมาร่วมวงด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมีนายทุนเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของเราได้ล่ะคะ พรีมว่ามันกะทันหันไปนะ ถ้ามีคนที่ถือหุ้นมากกว่าคนในครอบครัวเรา เราก็ต้องรู้สิคะ” คำถามแรกของลูกสาวทำให้ผู้เป็นพ่อกุมขมับ
ปกติแล้วถ้ามีผู้ถือหุ้นคนไหนครอบครองหุ้นเพิ่มขึ้นทุกห้าเปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดในบริษัทฯ ฝ่ายที่ดูแลอยู่จะต้องรายงานผลให้ทราบทุกครั้ง ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกฮุบบริษัทฯ โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้
“ความจริงแล้วเรื่องนี้ฝ่ายที่ดูแลอยู่ก็ตกใจเหมือนกัน เพราะจู่ ๆ คนที่ถือหุ้นเกินห้าเปอร์เซ็นต์ก็ถ่ายโอนหุ้นพร้อมกันในคราวเดียวราวกับว่าเตรียมการมาแล้ว” คำพูดของพ่อทำให้สโรชาอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธี Hostile Takeover หรือพูดอีกอย่างก็คือฝ่ายนั้นเข้ามาครอบงำกิจการของเธอโดยวิธีที่ไม่เป็นมิตร ภาษาชาวบ้านก็ฮุบกิจการหรือบังคับขายกิจการโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจนั่นเอง ซ้ำร้ายยังมีหนี้ก้อนโตทิ้งไว้ให้หลังฮุบกิจการไปอีก นี่มันนายทุนหน้าเลือดชัด ๆ
“เราขอเจรจาใหม่อีกครั้งได้นี่คะ ตอนนี้ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ น่าจะพอมีทางออกอยู่นะ ถึงจะไม่ได้บริษัทคืนมาแต่ก็น่าจะขอเจรจาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายเราต้องแบกรับหลังถ่ายโอนบริษัทนะคะ”
“พ่อเองก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าได้คุยกับนายทุนตัวจริงเรื่องคงจบดีกว่านี้ แต่นี่คุยผ่านตัวแทน เขาก็คงทำตามหน้าที่ที่ได้รับมา ตัดสินใจอะไรเองมากไม่ได้แถมยังคุยด้วยยากสุด ๆ ไปเลย เสนออะไรไปก็ปัดตกทุกอย่าง จนเรากลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ส่วนนายทุนตัวจริงพ่อลองถามคนในวงการดูก็ไม่เคยมีใครเคยเจอเขามาก่อน” สองพ่อลูกคุยกันโดยที่ผู้เป็นแม่นั่งฟังเงียบ ๆ
“คนที่มาเจรจาทีแรกเป็นตัวแทนใช่ไหมคะ” ลูกสาวย่นคิ้วถาม
“ใช่ ยังหนุ่มอยู่เลย แต่บรรยากาศรอบตัวน่าอึดอัดอย่างกับคนที่ผ่านอะไรมามากมายนับไม่ถ้วน คำพูดคำจาก็เด็ดขาดจนพ่อฟังแล้วยังรู้สึกกดดันจนไม่กล้าแย้งอะไร”
“ถ้าพ่อที่เคยอยู่ในดงกระสุนดงปืนพูดแบบนี้ งั้นพวกเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดาสิ” เป็นอีกครั้งที่ลูกสาวมองพ่อกับแม่สลับกัน “เป็นศัตรูของพ่อกับแม่หรือเปล่าคะ” สโรชาถามต่อเพราะคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย
อดีตของบิดาคือพ่อค้าอาวุธสงคราม เป็นมาเฟียค้าอาวุธแห่งดินแดนทะเลทราย ส่วนแม่ของเธอนั้นก่อนจะมาเป็นเลขาของพ่อและรักกันจนถึงทุกวันนี้ก็เคยเป็นนักฆ่าของฝ่ายตรงข้ามที่แฝงตัวเข้าหาพ่อมาก่อน พอทั้งคู่รักกัน แต่งงานกันและมีเธอ จึงวางมือจากธุรกิจอันตรายมาทำธุรกิจโรงแรมและอสังหาฯ ใช้ชีวิตที่เมืองไทยอยู่ยี่สิบกว่าปีจนได้สัญชาติไทยมาครอบครอง ทั้งสองท่านเคยใช้ชีวิตมาแบบนั้น พอมีเธอซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียวจึงเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ทะนุถนอมราวกับเป็นนกน้อยในกรงทอง
“ไม่รู้เลยลูก สืบยังไงก็หาอะไรไม่เจอ พิมพ์ชื่อลงอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่มีอะไรขึ้นมา เห็นเงินหนาขนาดนั้นพ่อก็นึกว่าจะเป็นคนดังพอให้ได้ติดตามข่าวคราวดูบ้าง แต่กลับเงียบทุกช่องทางจนน่าแปลกใจ”
“เขาชื่ออะไรคะ”
“นายทุนตัวจริงพ่อไม่รู้ แต่ตัวแทนที่มาเหมือนจะชื่อ คาริบ”
“เป็นคนที่ไหนคะ”
“อาหรับเอมิเรตส์”
“…คนบ้านเดียวกับคุณปู่เหรอคะ”
“ใช่”
“งานหยาบเลยนะเนี่ย ยิ่งเราตัดขาดจากคุณปู่กับคุณย่าแล้วยิ่งไม่มีทางออกเลย” เพราะการตัดสินใจก้าวออกมาจากโลกสีเทาของผู้เป็นพ่อทำให้ต้องตัดขาดจากญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องที่เคยสนิทกัน ตอนนี้จึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย
“พ่อสืบมารู้แค่ว่าเจ้านายของเขามีธุรกิจอย่างอื่นที่นี่ด้วย เป็นบริษัทนำเข้าซูเปอร์คาร์ ชื่ออาเมียร์คานอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ชื่อประธานตัวจริงและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถูกปกปิดเป็นความลับทั้งหมด เลยหาอะไรไม่เจออีก”
ครืด ครืด ครืด
ยังไม่ทันที่สามพ่อแม่ลูกจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นพ่อก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวพ่อรับสายนี้ก่อนนะ กลับบ้านแล้วค่อยคุยกันใหม่” ผู้เป็นพ่อเอ่ยก่อนจะกดรับสายแล้วเดินแยกตัวออกไป ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้น
“ถ้างั้นพรีมเข้าบ้านก่อนดีกว่าค่ะ เราค่อยคุยกันอีกทีก็ได้” ลูกสาวฉีกยิ้มให้แม่เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมีธุระก่อนจะแยกย้ายกัน
@แชต
สโรชา : ยัยโย
สโรชา : ฉันได้ที่ฝึกงานแล้ว พรุ่งนี้ไปขอหนังสือแนะนำกัน
โยธกา : ที่ไหน ฉันไปด้วย
สโรชา : อาเมียร์คาน ซูเปอร์คาร์
สาวน้อยยกยิ้มเมื่อกดหาชื่อบริษัทฯ ตามที่บิดาบอกไว้ แล้วในประเทศไทยมีที่นี่ที่เดียวโผล่ขึ้นมา
“จะต้องเจอให้ได้ อย่างน้อยในช่วงฝึกงานก็ต้องมีสักวันที่เจ้าของตัวจริงต้องเข้าบริษัทแหละนะ เป็นต่างชาติก็จริงแต่เพิ่งฮุบกิจการคนอื่นไปก็ต้องมาดูอะไรแถวนี้เองบ้างแหละ ถึงจะไม่ได้พบหน้ากันตรง ๆ เพราะเราเป็นแค่เด็กฝึกงาน แต่ได้เห็นรถเขาหรือประตูห้องทำงานเขาก็ยังดี แม่จะพุ่งชนไปเลย”
ติ๊ง!บานประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในชุดนักศึกษารัดรูปเดินสะพายกระเป๋าออกมา สิ่งหนึ่งที่สโรชาสัมผัสได้คือบรรยากาศในชั้นยังเงียบสงบเหมือนเดิม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือวันนี้ไม่มีใครเอาปืนมาจ่อหัวเธอเสียงรองเท้าส้นเข็มสีดำดังกระทบพื้นมันวาวตามจังหวะเยื้องย่าง ร่างน้อยเดินผ่านหน้าบอดี้การ์ดหนวดเฟิ้มนับสิบที่ยืนนิ่งไม่กระดิก และไม่สนใจเธอนับตั้งแต่ก้าวขาออกจากลิฟต์ เหลือบมองแต่ละคนที่เดินผ่านหากบอกว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้งเอามาตั้งไว้ก็คงเชื่อ“ก็นะ เจ้าชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์บ่อน้ำมันที่รั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองรัฐ คงไม่จ้างคนธรรมดามาเป็นบอดี้การ์ดหรอก” เสียงแผ่วพึมพำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่เคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะยกมือเคาะ บานประตูที่ปิดอยู่ก็เปิดออกราวกับรู้ว่าเธอมาถึงแล้ว“ท่านอาซิซบอกให้รีบเข้าไปครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มที่เปิดประตูออกเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือเข้าไปด้านใน ขณะที่สโรชาเดินเข้าไป เขาและเพื่อนอีกคนที่เคยยืนประจำอยู่ก็ออกมาและปิดประตูลง“สวัสดีค่ะ กลับมาเร็วจังเลยนะคะ” เรียวปากสวยเอ่ยทักทายร่างกำยำที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวสีขาวพันรอบเอวไว้ เจ้าของห้องนั่งอ้าขาโ
อีกด้านหนึ่ง...“เหมือนจะไม่รู้ว่าถูกคนอื่นหมั่นไส้นะครับ ไม่รู้ด้วยว่าโดนแขวะ” คาริบพูดกับเจ้านายขณะยืนกอดอกมองหน้าจอขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพโซนหนึ่งของออฟฟิศ “ก็นายบอกเองนี่ ว่าเด็กคนนี้เหมือนโตมาในทุ่งลาเวนเดอร์ มองอะไรก็คงเห็นเป็นดอกไม้นั่นแหละ” ชีคหนุ่มกระตุกยิ้มเบา ๆ ขณะมองภาพสาวน้อยบนหน้าจอ “หรือไม่ก็อาจจะรู้แต่แสร้งไม่รู้แล้วหาทางตลบหลังอยู่ก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยต่อขณะดวงตาคมจับจ้องไปที่ต้นขาขาวเนียนของคนที่นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าเล่น“งั้นก็หายห่วงนะครับ เพราะต่อไปคุณสโรชาคงมีข่าวลือแปลก ๆ กับท่านอาซิซ” แค่หญิงสาวที่เข้ามาดูแลเจ้านายเขาแบบชั่วครั้งชั่วคราวยังโดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ และถูกพูดถึงด้วยเรื่องเสื่อมเสียมากมาย แล้วสโรชาที่เป็นเด็กฝึกงานในบริษัทฯ ล่ะจะเหลืออะไร “ว่าแต่ท่านอาซิซให้คนเตรียมโต๊ะทำงานในนี้ทำไมครับ” องครักษ์หนุ่มหันไปมองมุมหนึ่งของห้องแล้วก็สงสัย ทันทีที่เดินทางกลับถึงเมืองไทย นายเหนือหัวของเขาก็ให้จัดโต๊ะทำงานในห้องเพิ่มอีกตัว“เอาไว้ให้เด็กฝึกงาน”“ห๊ะ เด็กฝึกงานจะมาทำอะไรในห้องนี้ครับ”“ก็ฝึกงานน่ะสิ หนุ่มพรหมจรรย์อย่างนายจะไปรู้อะไร”“…” คิ้วเข้มขององครักษ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา…“พรีมไปแล้วนะคะ ต่อไปแม่กับพ่อไม่ต้องรอกินมื้อเย็นแล้วนะ ช่วงนี้ที่ออฟฟิศเตรียมเปิดตัวซูเปอร์คาร์ใหม่ พรีมอาจกลับช้าเพราะต้องอยู่ช่วยเตรียมงาน” เสียงหวานเอ่ยกับแม่ที่ออกมายืนส่งหน้าบ้าน ส่วนพ่อออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว“จ้ะ ต่อไปพ่อกับแม่เองก็จะยุ่งมากขึ้นเหมือนกัน น่าจะไม่มีเวลาให้พรีมด้วยเพราะบริษัทฯ อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง พรีมต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก”“รับทราบค่ะ แม่กับพ่อไม่ต้องห่วงพรีมนะ แล้วก็ต่อไปไม่ต้องให้คนขับรถไปรับไปส่งแล้วนะคะ พรีมอยากลองใช้ชีวิตแบบพนักงานออฟฟิศดูค่ะ ว่าจะเริ่มตั้งแต่เย็นนี้เลย” สาวน้อยส่งยิ้มให้แม่ก่อนจะเดินขึ้นรถที่คนขับเปิดประตูรออยู่ “ลองใช้ชีวิตพนักงานอะไรล่ะ ลุงอูฐคนนั้นให้บอดี้การ์ดมาคอยตามประกบต่างหาก” ร่างน้อยเอนตัวลงเบาะอย่างคนหมดแรง ดีหน่อยที่ลีมูซีนคันงามมีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร คนขับรถเลยไม่เห็นท่าทางของคุณหนูในตอนนี้“ชีวิตพนักงานออฟฟิศมันมีอะไรให้น่าทดลองกัน แม่ก็ไม่เอะใจเลย สงสัยคงจินตนาการว่าลูกสาวกำลังโตแล้วแน่เลย ฮือ” สองขาเรียวชูขึ้นเหนืออากาศแล้วถีบทึ้งไปมาราวกับเด็กน้อยเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้รับจากเบอร์ป
“มีอะไร? ทำหน้าเหมือนตัวเองเสียผลประโยชน์” เจ้าของใบหน้าคมเข้มเอ่ยถามคนที่นั่งขมวดคิ้วมองกระดาษสีขาวในมือ ตอนนี้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาที่ทั้งคู่นั่งอยู่มีเอกสารหลายแผ่นวางไว้ ซึ่งแต่ละแผ่นสโรชาอ่านมาแล้วทุกตัวอักษร“เรื่องเทคโอเวอร์กับรายละเอียดการจัดการบริษัทฉันเข้าใจค่ะ ไม่มีอะไรโต้แย้ง เรื่องที่คุณให้คนนัดวันเจรจาใหม่กับพ่อก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องมีคนติดตามหรือบอดี้การ์ดด้วย” คิ้วเรียวย่นชนกันพร้อมเงยหน้าไปสบตาเขาอย่างไม่เข้าใจ “หรือคุณกลัวว่าฉันจะหนี”“ทำไมต้องกลัว” ริมฝีปากหนามีเคราอ่อน ๆ ปกคลุมเอ่ยพร้อมช้อนตามองสาวน้อยตรงหน้า “ยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้นอยู่ดี” ความมั่นใจในตัวเองของเขาทำสโรชาหมั่นไส้ แต่ก็ต้องทนไว้เพราะข้อตกลงของเขามันเป็นผลดีต่อกิจการของครอบครัว“ตอบให้ตรงคำถามสิคะ จู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้มาติดตามทุกฝีก้าว คุณไม่คิดว่าพ่อแม่ฉันจะสงสัย หรือคนอื่นจะมองแปลก ๆ เหรอคะ”“งั้นจะให้ตามห่าง ๆ ก็แล้วกัน” “เหตุผลที่ฉันต้องมีบอดี้การ์ดส่วนตัวคืออะไรคะ”“คิดว่าเป็นผู้หญิงของฉันแล้วชีวิตเธอจะปลอดภัยหรือไง เธอไม่ได้เข้ามาคืนเดียวแล้วแยกย้ายเหมือนผู้หญิงคนอื่นนะ เราต้





