เข้าสู่ระบบ“บี๋ไม่อยากได้เขาจริงเหรอ?”
“แม่!”
คราวนี้เธอถึงกับหลุดอุทานตาโต เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลั่นวาจาออกมาแบบนั้น
นี่แม่ของเธอกำลังคิดอะไรกันแน่!
“ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นพ่อของลูกบี๋ในอนาคตจริงๆ ก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ บี๋ไม่มีทางทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่”
บูรณิมาเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะนึกถึงเขา ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนทั้งสิ้น จริงๆ เธอไม่ควรจะนำเอาบุรุษที่มีภรรยาแล้วมามโนเป็นพระเอกนิยายของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากว่าไม่หลวมตัวตามคำเว้าวอนของศรีจิตตราก็คงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากมายถึงเพียงนี้
“แค่ไม่มีเมียเขา ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว…จริงไหม?”
ท้ายน้ำเสียงของแม่กดลึกชวนใจสะท้านชอบกล
“ไม่ค่ะ ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”
แค่คิดก็ผิดแล้ว
ผิดมากๆ
ผิดอย่างมหันต์
“แต่อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ”
แม่ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งงงไปใหญ่
แล้วบูรณิมาก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง
“ยิ่งแม่พูดอย่างนี้ บี๋ยิ่งสงสัยว่าแม่มีอะไรปิดบังบี๋อยู่ หรือตอนที่บี๋ความจำเสื่อมมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง” คราวนี้เธอเอ่ยถามอย่างเครียดๆ ขณะจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตา
“ฮื่อ…แม่ก็แค่พูดเล่นไปงั้น บี๋คิดเป็นตุเป็นตะไปได้”
นางบูรณาบอกปัด พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ทำให้คนฟังนึกโล่งอก
“เฮ้อ…ว่าแล้ว ว่าแม่ต้องแกล้งบี๋”
“ถ้าไม่สบายใจ ก็หยุดคิดถึงเรื่องความฝันพิลึกนั่นได้แล้ว”
“ค่ะ บี๋จะพยายาม อาจเป็นอย่างที่แม่เคยบอกก็ได้ ว่าบี๋เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับนิยาย แต่เดี๋ยวมันก็หายไปค่ะ แม่ยังไม่รู้อะไร ลูกสาวของแม่มีสามีทิพย์หลายคนแล้ว นิยายเรื่องไหนบี๋ก็บ้ามโนว่าตัวเองเป็นนางเอกหมดแหละ แต่เดี๋ยวเขียนเรื่องใหม่บี๋ก็ได้ผู้ชายมโนคนใหม่แล้ว แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ว่าความฝันบี๋จะผูกติดอยู่กับเขา”
“งั้นแม่ค่อยสบายใจหน่อย”
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางๆ ยื่นมือไปรับขนมปังที่แม่เพิ่งทาแยมสับปะรดให้ อ้าปากกัดคำโตๆ เคี้ยวหมุบหมับจนแก้มกลมๆ พองชวนหยิก ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น เมื่อข้อความเฟสบุ๊คดังขึ้นแจ้งเตือน
“นนนี่ส่งข้อความมา ว่ามีเรื่องด่วนอยากคุยกับแม่อีกแล้วค่ะ แต่ติดต่อแม่ไม่ได้”
หลังจากกลืนขนมปังลงคอ ตามด้วยน้ำเต้าหู้อึกใหญ่ สาวน้อยก็กวาดนัยน์ตากลมโตอ่านข้อความ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยบอกคนที่นั่งในฝั่งตรงข้าม
“แม่ปิดโทรศัพท์น่ะ”
“เอ่อ…นอกจากเรื่องหนี้สินของพ่อแล้ว แม่มีอะไรกับนนนี่อีกหรือเปล่าคะ”
“ไม่นะ สงสัยเขาคงโทรมาปรึกษาเรื่องอาการป่วยล่ะมั้ง”
นางบูรณาบอกปัด
“จะว่าไปช่วงนี้นนนี่ก็แปลกนะคะ โทรหาก็ไม่ค่อยอยากรับอยากคุย” เธอเอ่ยเป็นเชิงชวนคุย
“เขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้”
“เอ้อ…หนูเกือบลืมบอกแม่ไปเลยค่ะ ช่วงสองสามวันมานี้หนูเห็นมีคนมาทำลับๆ ล่อๆ แถวหน้าบ้านเรา”
คนฟังมีท่าทีชะงักงันไปชั่วขณะ
“คงเป็นพวกมาทวงหนี้เงินกู้ป้าบ้านข้างๆ ล่ะมั้ง แต่ออกไปไหนมาไหนก็ระวังด้วยล่ะ อยู่บ้านก็ปิดประตูดีๆ”
สาวน้อยพยักหน้ารับคำเตือนของมารดาอย่างแข็งขัน ไม่ซักไซ้อะไรมากไปกว่านั้น ด้วยพื้นนิสัยเป็นคนร่าเริงสดใส ง่ายๆ สบายๆ ไม่มีพิษมีภัย วันๆ ยุ่งอยู่แต่กับนิยายและเรื่องกิน โดยเฉพาะอย่างหลังนี่รู้สึกเธอจะคลั่งไคล้มากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเลิฟอาหารการกินเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยนิสัยชอบกิน และชอบลองของกินหลากหลาย เพราะต้องการลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ แบบว่าเกิดมาครั้งเดียวก็อยากลองมันทุกอย่าง บางอย่างลองแล้วถึงกับท้องเสีย แต่เธอก็ไม่เข็ด หนำซ้ำยังชอบลองของใหม่ไปเรื่อย จนไปๆ มาๆ กระเพาะของเธอก็แข็งแรงขึ้นโดยปริยาย ไม่เคยท้องเสีย ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ มีแต่เป็นโรคกระเพาะเพราะเครียดเรื่องนิยาย โดยเฉพาะตอนที่รีไรท์นิยายช่วงโค้งสุดท้าย
“แม่ไปทำงานแล้วนะ”
หลังจากยกแก้วน้ำส้มคั้นขึ้นดื่มนางบูรณาก็เอ่ยบอกลูกสาว พลางลุกขึ้นคว้ากระเป๋ามาคล้องไหล่
“ค่า เดี๋ยวตอนเย็นบี๋ทำกับข้าวรอนะคะ เอาเป็นแกงส้มสายบัวปลาทู ยำขนมจีน ตำป่า แล้วก็หมูทอดแดดเดียว แล้วกันนะคะ บี๋ใกล้จะเป็นเมนส์แล้ว อยากกินอะไรเผ็ดๆ แซ่บๆ มากกกก…”
คนช่างกินแถมยังทำอาหารเก่งและอร่อยสาธยายถึงเมนูในใจอย่างกระตือรือร้น
“บี๋ทำกินเลย ไม่ต้องรอแม่หรอก อาทิตย์นี้แม่อยู่เวรเกือบทั้งอาทิตย์”
“เคค่า โทรหาบี๋ด้วยน้า บี๋คิดถึง”
เสียงใสรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะลุกไปกอดแม่อย่างอ้อนๆ คนเป็นแม่ดันตัวลูกสาวออกห่าง มองแก้มกลมๆ แล้วดึงแรงๆ อย่างมันเขี้ยว ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“จ้ายายลูกหมูน้อย”
“แม่อะ…”
อาการพ้อปากยื่นๆ แก้มพองๆ ของลูกสาวทำให้คนเป็นแม่หลุดหัวเราะ ยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะผละห่าง แล้วมุ่งหน้าออกจากบ้าน
คล้อยหลังมารดา บูรณิมาก็กลับไปนั่งลงจัดการกับมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย เธอเป็นสายกิน ที่กินทุกอย่างที่โปรดปราน ลองแทบทุกอย่างที่ยังไม่เคยลอง ยกเว้นเปิบพิศดาร เธอมีความสุขกับการกิน ถึงแม้จะไม่ได้อ้วนลงพุง ไม่ได้มีไขมันส่วนเกินมากมายจนดูน่าเกลียด แต่ก็ทำให้หน้าอกหน้าใจใหญ่เกินตัว พอๆ กับสะโพกที่ผายออกจนดูเทอะทะ หากแต่มีผู้หญิงหลายคนมองว่านี่แหละมันคือหุ่นในฝันชัดๆ หุ่นมดตะนอย ตัวไม่สูงมาก อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกบึ้ม และก้นเด้งน่าฟัด แถมผิวพรรณยังเปล่งปลั่งจากการกินอาหารและทานผักผลไม้ครบห้าหมู่
“บี๋ไม่อยากได้เขาจริงเหรอ?”“แม่!”คราวนี้เธอถึงกับหลุดอุทานตาโต เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลั่นวาจาออกมาแบบนั้นนี่แม่ของเธอกำลังคิดอะไรกันแน่!“ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นพ่อของลูกบี๋ในอนาคตจริงๆ ก็ได้”“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ บี๋ไม่มีทางทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่”บูรณิมาเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะนึกถึงเขา ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนทั้งสิ้น จริงๆ เธอไม่ควรจะนำเอาบุรุษที่มีภรรยาแล้วมามโนเป็นพระเอกนิยายของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากว่าไม่หลวมตัวตามคำเว้าวอนของศรีจิตตราก็คงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากมายถึงเพียงนี้ “แค่ไม่มีเมียเขา ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว…จริงไหม?” ท้ายน้ำเสียงของแม่กดลึกชวนใจสะท้านชอบกล “ไม่ค่ะ ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”แค่คิดก็ผิดแล้วผิดมากๆผิดอย่างมหันต์ “แต่อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ”แม่ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งงงไปใหญ่ แล้วบูรณิมาก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง“ยิ่งแม่พูดอย่างนี้ บี๋ยิ่งสงสัยว่าแม่มีอะไรปิดบังบี๋อยู่ หรือตอนที่บี๋ความจำเสื่อมมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง” คราวนี้เธอเอ
ทั้งที่จริงๆ แล้วความทรงจำของเธอควรจะขาดหายไปแค่ช่วงที่ประสบอุบัติเหตุเท่านั้น แต่น่าแปลกที่เธอดันจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนไม่ได้ด้วย ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้างเธอไม่มีทางรู้เลย ต่อให้จะเพียรถามพ่อแม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยได้ความกระจ่างแจ้งเสียที เพราะทุกครั้งที่เธอเอ่ยปากถามพ่อกับแม่ก็จะตอบแค่ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าที่พวกท่านเล่าให้ฟัง ซึ่งบูรณิมาก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ลึกๆ ในใจกลับค้านว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น และความลับนั้นอาจเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ไม่อยากให้เธอล่วงรู้ก็เป็นได้ อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออก ว่าชีวิตตัวเองไปเชื่อมโยงกับผีน้อยตนนั้นได้อย่างไร แต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวเนื่องอะไรกันสักอย่าง ไม่งั้นเธอคงไม่ฝันถึงผีเด็กหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็น่าแปลกเอามากๆ หากว่าวิญญาณเด็กจะเป็นลูกของเธอจริงๆ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะเข้ามหา’ลัย ยังโสดสนิท ไม่เคยมีแฟน แล้วเธอจะมีลูกได้ยังไง ตอนแรกคิดว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ก็มีผีเด็กคอยตามขอส่วนบุญ แต่ไม่ว่าจะไปดูดวง ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล หรือไปหาพระ กี่ครั้งต
‘นี่อย่าเพิ่งไปสิ! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!’ ร่างอวบอิ่มสะดุ้งเฮือก ตื่นจากห้วงฝันด้วยสภาพใบหน้าชื้นเหงื่อ ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมิด ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ความฝันพิลึกพิลั่นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตรงข้ามมันเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่เธอไม่เคยชินสักครั้ง เมื่อตัวเองต้องกลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของความฝัน หลังจากฟื้นคืนสติจากการประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสตอนอายุเกือบย่างยี่สิบ บูรณิมาก็ฝันประหลาดในลักษณะเดิมซ้ำๆ ตอนแรกเลือนลาง แต่นานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้น ที่น่าพิลึก และสุดแสนจะน่าอาย ก็คือผีน้อยในฝันของเธอตนนั้นจะทึกทักว่าเธอคือแม่ตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏในความฝันจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันอีกฝ่ายก็ยังพร่ำบอกว่าเธอคือแม่ ต่อให้จะไล่ จะขอร้องไม่ให้ตามรังควาน จนถึงขั้นยกมือไหว้ ผีเด็กก็ยังตามวอแวไม่เลิก แรกๆ เธอจิตตกหนักมากจนถึงขั้นไปหาหมอดู ไปบูชาของดีจากวัดดังๆ เพื่อหวังจะขับไล่ผีเด็กไปให้พ้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวอะไรเลยสักอย่าง ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แถมยังมาหาเธอบ่อยขึ้นไปอีก แต่ที่น่าตกใจสุดก็คงเป็นการมาของผีน้อยในค่ำคืนนี้ มันต่างออกไป
‘แม่จ๋า…แม่…แม่บี๋จ๋า…’เสียงออดอ้อนแกมเรียกร้องความสนใจ ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาปั่นต้นฉบับหัวฟูอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กสะดุดกึก มือที่รัวแป้นคีย์บอร์ดเพราะสมองกำลังแล่นฉิวพลันชะงักไปชั่วขณะ ‘เฮ้อ…’บูรณิมา กิตศิลปาจารย์ สาวน้อยหน้าใส วัยยี่สิบสาม เจ้าของส่วนสูงน่ารักร้อยห้าสิบห้าเซ็นติเมตร เรือนร่างอวบอิ่ม แก้มป่อง ขาวโอโม่ หน้าอกและสะโพกสะบึมเกินตัว จนเจ้าตัวมองว่าน่าอาย เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความระอาแกมเหนื่อยใจ เงยหน้าขึ้น ถอดแว่นกรองแสงวางไว้ข้างโน้ตบุ๊กบนโต๊ะญี่ปุ่น ขยับตัวหันไปนั่งเผชิญหน้ากับร่างอ้วนจ้ำม่ำของวิญญาณเด็กผู้หญิงวัยประมาณสี่ขวบ ไม่ก็ห้าขวบ หรือหกขวบ ก่อนจะเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ ‘จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งหือ ว่าพี่ไม่ใช่แม่ของหนู’ อย่าว่าแต่ลูกเลย แฟนสักคนในชีวิตเธอยังไม่เคยมี ‘ช่ายยยยยย…’หนูน้อยทำปากยื่นเถียงกลับ ‘ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่’‘ช่าย แม่บี๋ เป็นแม่หนู’วิญญาณเด็กหญิงตาแป๋วแก้มป่องยังคงยืนยันคำเดิมอย่างดื้อดึงจนน่าดึงแก้มย้วยๆ นั่นให้หลุดติดมือ จากนั้นตัวแสบก็โผเข้ากอดเธอ แล้วลดแก้มกลมๆ ลงมาถูแขนเรียวอย่างออดอ้
บูรณิมาไม่รู้ว่าตนไปได้รอยแผลเป็นดังกล่าวมาได้อย่างไร โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นมันเหมือนเป็นรอยผ่าตัดอะไรสักอย่าง แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก อีกทั้งไม่เคยได้มีโอกาสปริปากสอบถามหมอ เพราะแม่บอกว่าหมอที่รักษาเธอในตอนนั้นได้ย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแล้ว และแม่ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ารอยแผลเป็นทั้งหมดนั้นเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่เธอประสบ ซึ่งบูรณิมาก็ไม่มีข้อโต้แย้ง เนื่องจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้เธอแค่ปางตาย แต่ยังส่งผลให้ความทรงจำบางช่วงขาดหายไปด้วย หลังจากกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ บูรณิมาก็ตัดสินใจไปสักลายดอกทานตะวัน ให้มองว่าออกแนวอาร์ตๆ ดูไม่น่าเกลียด และไม่แสลงใจอย่างที่รู้สึกอยู่ลึกๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่พิลึกชวนสงสัยเอามากๆ แต่เธอก็มิอาจรู้ว่าต้นตอของไอ้ความรู้สึกที่ว่าคืออะไรกันแน่ ครั้นบูรณิมาก้าวออกมาจากหลังที่กั้นในสภาพมิดชิดในนาทีต่อมา สาวน้อยก็ต้องเม้มปากแน่น เมื่ออีตาลุงบ้านั่นยังไม่ไปไหน หนำซ้ำยังมีหน้าหันมาจ้องเธอเขม็ง “คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง?” เจ้าของพวงแก้มแดงเรื่อเอ่ยถามเสียงแข็งๆ ขณะหรี่ตาจ้องหน้าเขาไม่ลดละ ท่าทางเอาเรื่องของ
ภูผาเอ่ยเตือนสติในตอนท้าย เพราะไม่เคยเห็นพื่อนรัก ‘เสียอาการ’ แบบนี้เลยสักครั้ง ถึงจักรพรรดิจะขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ แต่เวลาคบใครก็คบทีละคน พอมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เลิกหมด ไม่เคยชายตาแลหญิงอื่นให้เมียต้องขุ่นข้องหมองใจ แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเผลอลืมตัวมองสาวน้อยหุ่นน่าฟัดที่เพิ่งเดินผ่านไม่วางตา “แค่รู้สึกคุ้นหน้า”คนโดนย้อนทำเพียงไหวไหล่เบาๆ จักรพรรดิรู้สึกเหมือนเคยเจอสาวน้อยคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก แถมสมองยังเอาแต่ควานหาว่าเขาเคยรู้จักเธอหรือไม่ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเจอ เคยเห็นหน้า เคยสัมผัส เคยใกล้ชิดมันน่าประหลาดเอามากๆ แม่ง! แค่เจอหน้า ทำไมต้องเอาแต่คิดเรื่องของยายเด็กนั่นด้วยวะ“เฮ้ย! เด็กเลี้ยงมึงหรือเปล่าวะ” “นั่นมันมึง ไม่ใช่กู กูไม่เคยเลี้ยงเด็ก กูไม่ชอบเด็ก”มาเฟียหน้าตายสวนกลับทันควัน“งั้นก็เป็นอดีตคู่ควง”“จะต้องให้ย้ำอีกกี่หน ว่ากูไม่ชอบเด็ก ไม่เหมือนมึงที่ชอบพรากผู้เยาว์”คราวนี้คนโดนไล่ต้อนเริ่มกดเสียงต่ำ ส่วนคนถูกหลอกด่าสองดอกติดๆ ทำเพียงไหวไหล่ไม่ยี่หระ“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมมึงมองเขา ‘ต







