เข้าสู่ระบบคะนึงนิจฝันถึง “ชาติก่อน” อีกครั้ง...
ในความฝันนั้น เธอเห็นภาคินทร์ ลูกชายของเธอ กำลังร้องไห้อยู่ข้างศพของตัวเธอเองที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาว หลังจากวันที่เธอเสียชีวิตได้เกือบสองสัปดาห์ ภาคินทร์ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ แจ้งข่าวการเสียชีวิตของแม่ให้ทราบ เขารู้สึกเหมือนโลกแตกสลายเมื่อได้รับข่าว ภาคินทร์โทษตัวเองที่ไม่ดูแลแม่ให้ดี ครั้งก่อนที่เขานัดว่าจะมาหาแม่นั้น เพียงคืนก่อนหน้าวันนัด เขายังตั้งใจว่าจะมาหาและจะได้มีเวลาอยู่กับแม่ทั้งวันทั้งคืน แต่แล้วก็พบว่า สำนักงานใหญ่ในต่างประเทศเรียกตัวให้เขาเข้าประชุมด่วน เพราะมีปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข เขาจึงส่งข้อความทางไลน์บอกเลื่อนนัดแม่แทน โดยไม่ทันเอะใจว่า แท้จริงแล้ว แม่ของเขาไม่ได้อ่านข้อความนั้น เนื่องจากเขารู้ดีว่าแม่ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือ
กระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบสองสัปดาห์ เพื่อนบ้านเริ่มสงสัยเพราะไม่เห็นคะนึงนิจออกจากบ้านเลย อีกทั้งตอนกลางคืนก็ไม่เคยเห็นแสงไฟส่องลอดหน้าต่างออกมา จนในที่สุด พวกเขาตัดสินใจแจ้งตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ จึงพบความจริงอันน่าสะเทือนใจ เธอเสียชีวิตไปแล้วจากการพลัดตกบันไดในบ้าน ศพของเธอเริ่มเน่าเปื่อย ท่ามกลางความเงียบงันที่ยาวนาน
ฝันถัดไป....เธอสวมชุดคลุมท้องสีชมพูอ่อน ก้าวเข้าสำนักงานของ “ภูวินทร์” สามีผู้เป็นเจ้าของบริษัท หลังจากเพิ่งไปดูโรงเรียนอนุบาลให้ลูกชายที่ทั้งคู่ตั้งใจจะส่งเข้าเรียนเมื่ออายุครบสามขวบ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้โลกนอกบ้านและมีสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกัน
เธอแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็น “จันทร์รวี” เลขานุการส่วนตัวของภูวินทร์ซึ่งควรจะอยู่หน้าห้องตามปกติ จันทร์รวีนั้นเป็นรุ่นน้องมหาวิทยาลัยและยังเป็นหลานรหัสที่เธอเองเป็นคนแนะนำเข้ามาทำงานกับสามีของเธอเมื่อเกือบสองปีก่อน หลังจากรุ่นน้องโทรมาขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง เพราะต้องลาออกจากที่ทำงานเก่า อันเนื่องจากถูกเจ้านายลวนลาม และยังถูกภรรยาของเจ้านายตามมาอาละวาดจนไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้
คะนึงนิจผลักประตูห้องทำงานของสามีเข้าไป เสียงกระซิบกระซาบที่ลอดออกมาก่อนหน้านั้นพลันชัดเจนขึ้น ภาพตรงหน้าทำให้โลกทั้งใบแทบถล่มลงมา ภูวินทร์กำลังกอดจันทร์รวีไว้แนบแน่น ริมฝีปากแนบซอกคออย่างเร่าร้อน
“กรี๊ด! พี่นิจ! พี่อย่าเข้าใจผิดนะคะ!” จันทร์รวีร้องเสียงหลงเมื่อหันมาเจอเธอที่ยืนตะลึงอยู่เกือบกลางห้อง
ภูวินทร์สะดุ้ง รีบผละออกแล้วหันมามองภรรยาด้วยแววตาตื่นตระหนก
“นิจ! มาได้ยังไง แล้วลูกล่ะ?”
น้ำตาร้อนผ่าวคลอเบ้า คะนึงนิจถามเสียงสั่น
“พี่ภูกับจันทร์...มีอะไรกันมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมถึงทำกับนิจแบบนี้?”
เธอหันไปมองรุ่นน้องที่เคยเอ็นดูแทบจะเหมือนน้องสาวแท้ ๆ “แล้วเธอล่ะจันทร์...ทำไมถึงหักหลังพี่ได้ลงคอ”
หัวใจเธอแทบแตกสลาย คนที่เธอรักที่สุด และคนที่เธอไว้ใจที่สุด กลับทรยศซ้ำเติมอย่างไม่อายฟ้าอายดิน
คะนึงนิจวิ่งถลาออกจากห้อง ภูวินทร์รีบวิ่งตามมาติด ๆ เธอกดปุ่มลิฟต์อย่างร้อนรน แต่เมื่อเห็นว่ามันมาช้าเกินไป เธอตัดสินใจกระโจนเข้าไปในบันไดหนีไฟแทน
“นิจ! ฟังพี่ก่อน!” ภูวินทร์คว้าแขนเธอไว้ทันขณะที่เธอกำลังจะก้าวลง แต่คะนึงนิจสะบัดอย่างแรงเพื่อดิ้นหนี แขนที่ถูกกระชากออกอย่างแรงทำให้เธอเสียหลัก เท้าพลิก ร่างทั้งร่างกลิ้งตกลงบันไดอย่างรุนแรง
ความเจ็บปวดแล่นบาดกลางท้อง ร้าวไปถึงช่วงล่าง เลือดจำนวนมากไหลทะลักออกมาอย่างน่าสยดสยอง
…
คะนึงนิจผวาสะดุ้งตื่น หอบหายใจแรงเหมือนเพิ่งกลับจากความตาย
เธอไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง กลัวจะถูกมองว่าเพ้อเจ้อ หรือเสียสติ แต่เธอรู้ดีในใจว่านี่ไม่ใช่ฝันธรรมดา หากคือความทรงจำจากชาติที่แล้ว เพราะเธอ “เคยตายมาแล้ว” ครั้งหนึ่ง และนี่คือโอกาสครั้งที่สอง ที่ฟ้าส่งเธอย้อนเวลากลับมายังช่วงที่ยังสาว ก่อนที่เธอจะพลาดชักนำ “มือที่สาม” เข้ามาทำลายชีวิตแต่งงานด้วยตัวเอง
คะนึงนิจทอดสายตามองรอบห้องนอนของลูกชายวัยเกือบหนึ่งขวบซึ่งกำลังหลับสนิทข้างกายเธอ มือบางค่อย ๆ ลูบไล้ผนังด้านข้าง สัมผัสกับความเรียบลื่นเย็นสบาย ก่อนจะหลับตาลงเพื่อซึมซับบรรยากาศบ้านหลังนี้ บ้านที่เธอเฝ้านึกถึงมาตลอดกว่าสามสิบปีในชาติภพก่อน ตั้งแต่วันที่มันยังเป็นเพียงที่ดินเปล่า วันที่เริ่มถมดิน ตอกเสาเข็ม จนค่อย ๆ ก่อร่างขึ้นเป็นบ้านในฝันที่เธอกับภูวินทร์ร่วมออกแบบกับสถาปนิก ทุกอิฐทุกเสา ล้วนสอดแทรกด้วยความทรงจำอันอบอุ่นของเธอกับภูวินทร์ และเสียงหัวเราะใส ๆ ของลูกชาย จนกระทั่งเมื่อเขาอายุได้เกือบสามขวบ เธอและลูกก็จำต้องพรากจากบ้านแสนรักและอบอุ่นหลังนี้ไป
เธอเติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพ่อกับแม่ตลอดช่วงชีวิตของแม่ พ่อของเธอมักจะต้องโยกย้ายที่ทำงานตามคำสั่ง ส่วนแม่ของเธอเป็นแม่บ้านเต็มตัว คอยดูแลเธอตั้งแต่ลืมตาดูโลก แม่ยอมสละอาชีพการงานที่กำลังเติบโตเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงดูเธอและน้องชาย ในขณะที่พ่อก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนได้ตำแหน่งใหญ่โต
ทว่าทุกครั้งที่ย้ายไปทำงานในที่ใหม่ ๆ พ่อกลับมีพฤติกรรมเจ้าชู้ มีผู้หญิงอื่นอยู่แทบทุกตำบลทุกอำเภอ แม่จึงต้องคอยตามราวี คอยติดตามพ่อที่ออกไป “หาเศษหาเลย” นอกบ้านอยู่เสมอ คะนึงนิจเองก็มักจะสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่า หากพ่อไม่ได้รักแม่แล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมปล่อยให้แม่เป็นอิสระ ไม่ยอมปลดปล่อยหรือหย่าให้แม่ได้มีชีวิตใหม่
พ่อกลับเหมือนเด็กเกเรที่ชอบก่อเรื่องให้แม่ไม่สบายใจไม่รู้จบ จนท้ายที่สุด แม่ของเธอก็ตรอมใจเสียชีวิตเมื่อคะนึงนิจอายุเพียง 15 ปี บางทีอาจเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะตามราวีพ่อ หรือไม่ก็เพราะหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อในโลกใบนี้แล้ว
เธอมักเกิดคำถามในใจอยู่เสมอเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานของพ่อแม่กับสิ่งที่พ่อทำต่อแม่ ความหลายใจ ความเจ้าชู้ และการที่แม่ต้องคอยตามราวี จับผิดเรื่องชู้สาว เรื่องเมียน้อยไม่รู้จบ สิ่งเหล่านั้นทำให้คะนึงนิจทั้งเศร้าและเจ็บปวด จนตั้งมั่นกับตัวเองว่า ชีวิตของเธอจะต้องไม่ซ้ำรอยพ่อแม่ เธอจะเลือกผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว ร่วมสร้างครอบครัวที่อบอุ่น มีพร้อมทั้งลูกชายและลูกสาว และใช้ชีวิตคู่กับสามีไปจนวันตาย
แต่ความจริงกลับไม่เป็นดังฝัน ภูวินทร์ ชายหนุ่มที่เธอคบหามาตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย หลังดูใจกันอยู่นานถึงห้าปี เธอจึงตัดสินใจแต่งงานและเริ่มต้นชีวิตคู่กับเขา เมื่อเธอตั้งครรภ์ คะนึงนิจยอมลาออกจากงานซึ่งเธอกำลังดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ปล่อยให้สามีมีเวลาและพลังทั้งหมดไปทุ่มเทกับการสร้างธุรกิจ ที่เริ่มต้นจากบริษัทสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ก่อนค่อย ๆ เติบโตเป็นบริษัทที่มั่นคงทีละก้าว เธอเลือกเป็น “ช้างเท้าหลัง” ที่คอยดูแลบ้านและครอบครัว เพื่อให้ภูวินทร์ไร้กังวล เธอไม่เคยจับผิด ไม่เคยระแวง และมอบความเชื่อใจให้เขาเต็มหัวใจ
ทว่ากาลเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ความรักที่เคยมั่นคงกลับสั่นคลอน และความไว้ใจของเธอก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น
วันที่เธอสูญเสียลูกสาวในครรภ์ที่มีอายุครรภ์เพียงสี่เดือนเศษจากอุบัติเหตุตกบันไดเป็นวันเดียวกับที่เธอพบภาพบาดตา ภูวินทร์กำลังกอดผู้หญิงคนนั้น คนที่เธอดึงเข้ามาใกล้ชิดกับสามีของเธอเองด้วยความหวังดี บาดแผลในใจครั้งนี้ทำให้คะนึงนิจตัดสินใจหย่าขาดจากภูวินทร์ พร้อมขอสิทธิ์เลี้ยงดูลูกชายแต่เพียงผู้เดียว ด้วยความหยิ่งทะนง เธอไม่รับค่าเลี้ยงดูใด ๆ และย้ายออกจากบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นรังอุ่นของครอบครัว
โชคดีที่เธอยังมีป้า พี่สาวของแม่ คอยดูแลและให้ความช่วยเหลือมาตลอด อีกทั้งยังมีน้องชายที่เพิ่งจบการศึกษาและเริ่มทำงานได้ไม่นาน คะนึงนิจจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอกลับมาทำงานเต็มตัว รับทุกงานที่พอจะทำได้ ไม่ว่าจะหนักหรือเหนื่อยเพียงใด เพื่อแลกกับรายได้ที่จะเลี้ยงดูภาคินทร์ ลูกชายคนเดียวที่เป็นดั่งลมหายใจของเธอ
บ่อยครั้งที่เธอต้องทำงานจนดึกดื่น บางคืนลากยาวถึงตีสองตีสาม เพียงเพราะไม่อยากให้ลูกต้องขาดสิ่งใดในชีวิต เธออดทนทุกอย่าง ยอมเหนื่อย ยอมลำบาก เพียงเพื่อเห็นรอยยิ้มของลูกชาย
เธอหลีกเลี่ยงการมีครอบครัวใหม่ ไม่ว่าจะมีแม่สื่อแม่ชักคอยแนะนำผู้ชายดี ๆ ให้ เพื่อให้เธอกับลูกมีที่พึ่งพิงก็ตาม ในการทำงาน เธอพบเจอผู้คนมากมาย และมักมีชายหนุ่มทั้งที่แต่งงานแล้วและยังโสดเข้ามาเกี้ยวพาราสี แต่คะนึงนิจกลับปฏิเสธและปิดโอกาสในการคบหาผู้ชายคนใหม่อยู่เสมอ เพราะเธอคำนึงถึงลูกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เธอคิดว่า ถ้าได้พบผู้ชายที่ดีและรักลูกของเธอด้วย ก็ถือว่าเป็นโชคดี เหมือนถูกรางวัลลอตเตอรี่ แต่หากโชคร้ายไปพบคนไม่ดี ที่อาจทำร้ายลูกของเธอ ลูกก็จะตกอยู่ในอันตราย ดังเช่นข่าวที่มักเห็นอยู่บ่อย ๆ ว่าพ่อเลี้ยงทำร้ายลูกเลี้ยงจนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
นอกจากนี้ หากเธอมีสามีใหม่และมีลูกคนใหม่ขึ้นมา ภาคินทร์ ลูกชายของเธอกับสามีเก่า อาจรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก และเกิดปมในใจที่ติดตัวไปตลอดชีวิต
เมื่อภาคินทร์เติบโตขึ้น เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มที่ขยันและมุ่งมั่น เขาทำงานหนักเพื่อสร้างฐานะของตัวเอง จนบางครั้งความห่างเหินค่อย ๆ แทรกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ทว่าคะนึงนิจยังคงอุ่นใจเสมอ เพราะแม้ลูกจะยุ่งเพียงใด เขาก็ยังหาเวลาแวะมาเยี่ยมทุกสองถึงสามเดือน แม้ในวันที่มีครอบครัวของตัวเองแล้วก็ตาม
คะนึงนิจยังคงยืนยันที่จะอยู่ในบ้านหลังเก่า บ้านที่เธอกับลูกเติบโตมา ขณะที่ภาคินทร์จำเป็นต้องย้ายไปอยู่คอนโดใจกลางเมือง เพื่อความสะดวกของภรรยาในการทำงาน และเพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนในโรงเรียนชื่อดัง
แม้คะนึงนิจจะจากโลกนี้ไปด้วยความโล่งใจที่ได้เห็นลูกชายเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่และกำลังสร้างครอบครัวที่อบอุ่นดังที่เธอเคยฝัน แต่ลึกลงไปในใจ เธอยังคงมีสิ่งที่ติดค้างอยู่ ความรู้สึกผิดที่ไม่อาจมอบชีวิตที่สมบูรณ์แก่ลูกได้
ภาคินทร์ต้องเติบโตโดยปราศจากการสนับสนุนจากพ่อ ขณะที่อดีตสามีของเธอกลับก้าวหน้าในเส้นทางธุรกิจ จนสร้างบริษัทเทคโนโลยีให้กลายเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำของประเทศ เขาแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนนั้น และมีลูกชายอีกคนไว้สืบสกุล ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ความสะดวกสบาย และรอยยิ้มที่ไม่เคยหวนกลับมาทางเธอและลูกอีกเลย
ในทางกลับกัน ภาคินทร์ ลูกชายของเธอ ต้องพยายามดิ้นรนด้วยตัวเองตั้งแต่วัยหนุ่ม เขาทำงานหนักเพื่อยืนหยัดบนลำแข้ง เพราะแม่ไม่มีสมบัติพัสถานใด ๆ จะส่งต่อ ไม่มีเส้นสาย ไม่มีทุนทรัพย์ มีเพียงความรักและแรงใจที่มอบให้เขาอย่างหมดหัวใจเท่านั้น
และนั่นเอง...คือสิ่งที่คะนึงนิจไม่เคยปล่อยวางได้ตลอดชีวิต...ความรู้สึกผิดที่ไม่อาจมอบชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ลูกชาย ความค้างคาในใจที่ตามหลอกหลอนเธอ แม้ในยามลมหายใจสุดท้าย
ขณะนี้ ในชาติใหม่ที่เธอกลับมา ลูกชายของเธอมีอายุเกือบหนึ่งขวบ เป็นช่วงเวลาก่อนที่เธอจะชักนำผู้หญิงคนนั้นเข้ามาเป็นเลขาฯ ของภูวินทร์ คะนึงนิจครุ่นคิดหนัก หาหนทางที่จะรับมือและป้องกันไม่ให้เรื่องราวเลวร้ายซ้ำรอยดังเก่าเหมือนในอดีตชาติ
ภูวินทร์ลืมตาขึ้น เมื่อเสียงลมแรงพัดกระทบกระจกหน้าต่างดังแผ่ว ๆ ความคิดของเขาถูกดึงกลับจากอดีตอันขมขื่นสู่ปัจจุบัน เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับอยากระบายบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกให้หลุดออกไปกับลมหายใจนั้นชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนของลูกเพื่อดูความเรียบร้อย แสงไฟจากโถงทางเดินลอดผ่านประตูแง้มเข้าไป เผยให้เห็นภาคินทร์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเล็ก ใบหน้าไร้เดียงสาของลูกชายทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของเขาอ่อนยวบลง“ฝันดีนะ...ลูกพ่อ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวลูกให้มิดชิด ก่อนจะปิดประตูห้องอย่างเบามือจากนั้น เดินกลับไปยังห้องนอนใหญ่ของตนกับคะนึงนิจ เสียงน้ำจากฝักบัวดังคลอเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบลง ภูวินทร์เช็ดตัว ลูบผมให้แห้ง แล้วเอนกายลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาคะนึงนิจนอนอยู่ด้านหนึ่งของเตียง แสงไฟสีอบอุ่นจากโคมหัวเตียงอีกฝั่งหนึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าสงบนิ่งยามหลับสนิทของเธอบางส่วน เขามองภาพนั้นนิ่งก่อนจะดับไฟที่โคมหัวเตียงข้างตัว ขยับตัวเข้าใกล้ วาดแขนโอบรอบร่างของภรรยาอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลงช้า ๆคืนนี้ เขายังมีเธออยู่ตรงนี้ มีลูกน้อยที่รอการปกป้องอยู่
ตอนสายของวัน ภูวินทร์เดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ เสียงหัวเราะสดใสของภาคินทร์ดังแว่วออกมาจากมุมห้องนั่งเล่นคะนึงนิจนั่งอยู่บนโซฟา กำลังอ่านนิทานให้ลูกชายฟัง เมื่อเห็นสามีก้าวเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มอ่อนโยนตามเคย“พี่ภูกลับมาแล้วเหรอคะ นิจเป็นห่วงทั้งคืนเลย” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลภูวินทร์หลบสายตา ก่อนฝืนยิ้มตอบจาง ๆ “จ้ะ... เมื่อคืนขอโทษด้วยนะ พอดีดื่มมากไปหน่อย กลัวจะกลับมากวนทั้งนิจกับลูก พี่เลยนอนค้างที่ออฟฟิศ เพราะอยู่ใกล้กับที่จัดเลี้ยง มือถือพี่ก็ดันแบตหมด พี่ไม่ทันดูตอนเผลอหลับไปก่อนจะโทรบอกนิจ”น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อยเหมือนพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ ทว่ามีบางอย่างในแววตาและท่าทางนั้น...ไม่เหมือนเดิม คล้ายคนที่กำลังปิดบังบางสิ่งไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนล้าและคำแก้ตัวที่พยายามอธิบายอย่างเบี่ยงประเด็นเขาพูดพลางย่อตัวลงจูบหน้าผากลูกน้อยเบา ๆ ภาคินทร์ยิ้มกว้าง ก่อนจะโผเข้ากอดคอพ่อแน่นด้วยความดีใจ“นิจก็เป็นห่วงอยู่พอดี โชคดีที่พี่ภูบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีงานเลี้ยง พี่ภูขึ้นไปอาบน้ำก่อนไหมคะ เดี๋ยวนิจเตรียมข้าวเช้าให้”“อืม...พี่ทานมาแล้ว พอดีวิทยามาออฟฟิศแต่เช้า เลย
ภูวินทร์นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน ข้างกายมีขวดวิสกี้วางอยู่ เงาแสงจากโคมไฟสะท้อนบนแก้วที่เหลือวิสกี้อยู่ค่อนแก้ว ใบหน้าของเขาดูนิ่งสงบ แต่แววตาเหม่อลอยคล้ายคนหลงอยู่ในภวังค์เบื้องนอก หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แม้แต่แสงดาว มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาแต้มเงาบางบนพื้นห้องทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะภูวินทร์เอนหลังลงบนโซฟา ปล่อยให้แอลกอฮอล์ไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ๆ ความอุ่นจากของเหลวในลำคอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อยเขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ความคิดค่อย ๆ ลอยย้อนกลับไปทีละน้อย ความทรงจำที่ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึก ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจในอดีตชาติ...“นิจ วันนี้พี่ได้รับรางวัล สตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งปี จากกระทรวงพาณิชย์ด้วยนะ นี่ไง...โล่รางวัลของพี่”ภูวินทร์ในชุดสูทดำเรียบหรูพอดีตัวเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชูโล่รางวัลขึ้นให้ภรรยาสาวดู ดวงตาเปล่งประกายด้วยความดีใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาล้มลุกคลุกคลานไม่น้อยกว่าจะพาบริษัทก้าวมาถึงจุดนี้ได้ วันที่ทุกอย่างเริ่มมั่นคง แล
ภาคินทร์หันซ้ายหันขวาอยู่ในอ้อมแขนของภูวินทร์ เด็กน้อยดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัว สีสันสดใสจากร้านรวงและของตกแต่งดึงดูดสายตาเขาให้หันมองไม่หยุดภูวินทร์อาสาอุ้มลูกเอง เพราะไม่อยากให้ลูกน้อยนั่งรถเข็นอยู่ลำพังโดยมองไม่เห็นพ่อแม่ ถึงลูกจะเริ่มตัวโตและหนักขึ้น แต่ในอ้อมแขนของเขากลับรู้สึกเบาสบาย เขามีความสุขที่ได้อุ้มลูกไว้แนบอก คอยชี้ชวนให้ดูนั่นดูนี่ระหว่างเดินบางครั้ง ภาคินทร์ก็พูดเลียนเสียงพ่อออกมาสั้น ๆ หนึ่งหรือสองพยางค์ เสียงใส ๆ นั้นทำให้ภูวินทร์หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู หัวใจของเขาอิ่มเอมจนพองโตที่ได้ใกล้ชิดลูกในวันนี้“เฮ้ย ภู มาได้ยังไงเนี่ย ฉันก็นึกว่านายเข้าออฟฟิศซะอีก เลยฝากเอกสารไว้กับเลขาฯ นายไปแล้ว”เสียงของวุฒิดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง หญิงสาวที่เดินเคียงข้างมากับเขารีบปล่อยมือที่เกาะแขนชายหนุ่มไว้แทบจะทันที“อ้าว วุฒิ บังเอิญจริง” ภูวินทร์เอ่ยเรียบ ๆ พลางยกคิ้วเล็กน้อย “วันนี้พอดีมีธุระตอนเช้า ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง ก็เลยบอกวิทยาไว้ก่อนว่าไม่เข้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบดูเอกสารให้นะ”“สวัสดีครับ นิจ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” วุฒิหันมาทักคะนึงนิจด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง“สวัสดี
“แล้วก็...ป้าลืมบอกนิจไป พรุ่งนี้ป้าจะไปโรงพยาบาลกับภูนะ”ป้าสร้อยพูดขึ้นพลางตักข้าวเข้าปาก “ภูคุยกับป้าเมื่อวานซืน ว่าอยากให้ป้าไปตรวจสุขภาพบ้าง ป้าว่าก็ดีเหมือนกันเลยตกลงไป ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ท้องอืดบ่อย แล้วก็มีอาการท้องเสียถี่ ๆ ด้วย ป้าเลยว่าจะให้หมอตรวจดูให้แน่ใจ”“แล้วมีอาการอื่นที่ผิดปกติอีกไหมคะป้า”คะนึงนิจถามพลางวางช้อนในมือลง เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตกใจและเป็นห่วงเธอรู้สึกตื่นตระหนก หัวใจเหมือนถูกบีบรัดทันทีที่ได้ยินคำว่า ท้องอืดบ่อย...ท้องเสียถี่ความทรงจำจากชาติที่แล้วแล่นวาบเข้ามาในหัว ครั้งนั้น กว่าที่จะรู้ว่าป้าสร้อยป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ก็สายเกินกว่าที่จะรักษาไปแล้ว ระยะสุดท้าย...หมอก็บอกได้เพียงให้เตรียมใจในชาติก่อน เธอวุ่นวายอยู่กับงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะหันมามองคนใกล้ตัวด้วยงานที่หนักและวุ่นวาย จนเวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับการทำงาน คะนึงนิจผลักภาระการดูแลลูกให้ป้าสร้อยแทบทั้งหมด โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เธอรักมากที่สุด...กำลังเจ็บป่วยอยู่เงียบ ๆและในชาตินี้ เธอกลับกำลังทำสิ่งเดิมซ้ำอีกครั้งความรู้สึกผิดแล่นวูบขึ้นในใจ คะนึงนิจเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยด้วยเสียง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จันทร์รวีเริ่มเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของภูวินทร์อย่างเงียบ ๆเธอศึกษาทุกอย่าง ตั้งแต่เวลาที่เขาเข้าหรือออกจากสำนักงาน ช่วงที่เขาออกไปประชุม หรือแม้กระทั่งนิสัยส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มณีรัตน์ เลขาฯ หน้าห้องมักเผลอหลุดปากเล่าให้ฟังระหว่างพักกลางวัน“คุณภูเป็นคนตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ ขนาดประชุมที่ว่าด่วนแค่ไหน ก็ไม่เคยให้ลูกน้องรอนาน” มณีรัตน์เคยพูดอย่างชื่นชมจันทร์รวีเพียงยิ้มบาง “แหม ผู้ชายแบบนี้สิคะ ที่น่าชื่นชม”ในขณะที่มือเรียวกำลังถือแก้วกาแฟ เธอแอบสังเกตสายตาของเลขาฯ สาวที่พูดถึงเจ้านายด้วยน้ำเสียงชื่นชอบเกินกว่าความเคารพตามหน้าที่มณีรัตน์เองก็คงชอบเขาอยู่สินะ...แต่เธอไม่ทันฉันหรอก จันทร์รวีคิดพลางยกแก้วจิบเบา ๆเธอเริ่มวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนเริ่มจากการปรากฏตัว “โดยบังเอิญ” ตามจุดต่าง ๆ ที่เขาผ่าน เช่น ล็อบบี้บริษัท ห้องอาหารชั้นล่าง หรือแม้แต่ลิฟต์โดยสารที่เธอคำนวณเวลาไว้ล่วงหน้าเขาแทบไม่มองเธอเลย แต่เธอก็ไม่เร่งรีบ จันทร์รวีรู้ดีว่า ผู้ชายอย่างเขา...ต้องการเวลาและช่องว่างที่พอดีให้ความสนใจค่อย ๆ เติบโตจนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ภูวินทร์กำลังรอรถอยู่หน้าตึก เ







