อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน
“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”
พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน
“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”
แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”
จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วย
สองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากข้างล่างจึงเดินไปเปิดประตูห้องแล้วเงี่ยหูฟัง มีเสียงน้ำไหลจากก๊อก และเสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ราวกับมีใครบางคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับสองเท้าที่ก้าวเดินเร็ว ๆ ลงบันไดไปชั้นล่างแล้วตรงดิ่งไปทางห้องครัวทันที
ทว่าเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวแล้ว ใบหน้าที่เกือบมีรอยยิ้มของเขาก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม
“อ้าว พี่มะลิเองหรือ มาทำไร”
“ถามได้ว่ามาทำอะไร อิฉันก็มาทำความสะอาดให้น่ะสิคะคุณชาย แล้วก็เอากับข้าวมาเสิร์ฟให้ด้วยเจ้าค่ะ” มัลลิกาค้อนให้น้องชาย ผู้ซึ่งไม่เคยแตะต้องงานบ้านงานครัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ไม่เห็นต้องทำเลย เย็นนี้แม่บ้านก็จะเข้ามาทำอยู่แล้วนี่” ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบพลางเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม ขณะที่ผู้เป็นพี่สาวนั้นมองน้องชายที่นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวด้วยความแปลกใจ
“แล้วนี่แกจะรีบลงมาทำไมนักหนาเสื้อผ้าก็ไม่ใส่ อ๋อ...รู้แล้ว สงสัยคิดว่าพี่เป็นหนูพราวล่ะสิถึงได้รีบขนาดนั้น”
นฤบดินทร์เหลือบมองพี่สาวแต่ไม่พูดอะไร ทำทีเป็นเปิดฝาชีเพื่อดูกับข้าวที่อีกฝ่ายเอามาฝาก ขณะที่มัลลิกาได้แต่ยิ้มที่พูดแทงใจดำน้องชายได้ ทว่าเธอก็ต้องเอ่ยปากเตือนชายหนุ่มบ้าง
“เฮ้อ...ไอ้ดินนะไอ้ดิน นี่ดีนะที่เป็นพี่มายืนอยู่ตรงนี้น่ะ ถ้าเป็นหนูพราวมาจริง ๆ แล้วแกวิ่งลงมาทั้งผ้าขนหนูแบบนี้ละก็คงดูไม่จืด หนูพราวเป็นสาวแล้วนะ และใครเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าแกกับหนูพราวไม่ได้เป็นญาติสายเลือดเดียวกัน ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้า เขาคงได้เอาไปพูดกันสนุกปากแน่ว่าลูกสาวบ้านโน้นกับลูกชายบ้านนี้มาแอบทำอะไรกันลับ ๆ ล่อ ๆ”
นฤบดินทร์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “รู้แล้วน่ะ ย้ำอยู่นั่นแหละ”
มัลลิกายักไหล่ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งแล้วพูดต่อ “ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรหรอก เพราะอย่างที่บอกนั่นแหละว่าแกกับหนูพราวไม่ใช่น้าหลานกันจริง ๆ แต่มันจะโอเคกว่านี้มากถ้าหนูพราวสลัดชุดนักเรียนม.ปลายออกแล้ว อีกแค่ปีเดียวเองแกก็ทนเอาหน่อยเถอะ พี่รู้ว่าแกเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหมไอ้ดิน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดอะไรกับ...” เขายังพูดไม่จบ มัลลิกาก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“แกอย่ามาปฏิเสธฉัน ฉันเป็นพี่สาวแกมากี่ปีทำไมฉันจะเดาใจแกไม่ออก”
“เดาผิดแล้ว”
“ไอ้คนปากแข็ง!” มัลลิกาชี้หน้าน้องชายอย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่คิดคาดคั้นให้อีกฝ่ายยอมรับหัวใจตัวเองเพราะรู้จักนิสัยของนฤบดินทร์ดีว่าถ้าเขาไม่ต้องการพูด ต่อให้เอามีดมาจ่อคอเขาก็จะไม่ปริปากพูดอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มเดินหนีขึ้นห้องของตัวเองเพื่อใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย โดยมีสายตาของพี่สาวมองตามหลังพลางส่ายหน้าช้า ๆ อย่างคิดไม่ตก
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่านฤบดินทร์คิดกับพราวนภาอย่างไรกันแน่เพราะชายหนุ่มแทบจะไม่แสดงท่าทีอะไรเลย ทว่าตั้งแต่พราวนภารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ นฤบดินทร์ก็ดูเหมือนจะแคร์ความรู้สึกของหลานนอกไส้คนนี้ไม่น้อย แม้เขาจะไม่เคยพูดอะไรที่เป็นการบอกความรู้สึกของตน แต่สายตาและการกระทำนั้นเริ่มจะปิดไม่มิดเสียแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าภาวิน บิดาของพราวนภาย่อมต้องมองออกแน่นอน ถึงได้พยายามกันไม่ให้ชายหนุ่มอยู่ตามลำพังกับบุตรสาวสุดที่รักของตัวเองนัก
“ไอ้ดินเอ๊ย ถ้าว่าที่พ่อตาของแกเป็นพี่วินจริง ๆ ละก็ แกเตรียมลับสมองเอาไว้ประลองปัญญากับเขาได้เลย”
พูดถึงตรงนี้มัลลิกาก็อดขำไม่ได้ เนื่องจากวันก่อนที่พราวนภาขอให้บิดาขับรถไปส่งที่บ้านของจันทร์เจ้านั้น ภาวินรีบตอบรับทันทีพร้อมกับบอกบุตรสาวอีกด้วยว่าไปค้างนาน ๆ ได้เลย กลับมาตอนเปิดเทอมได้ยิ่งดี เพราะนฤบดินทร์จะเดินทางเดือนหน้านี้แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ยังปิดเทอมอยู่ สามีของเธอกะจะไม่ให้พราวนภาได้เจอกับนฤบดินทร์อีกเลยกระมัง
แต่จะว่าไปแล้ว การที่ภาวินทำแบบนี้ก็มีข้อดีเช่นกัน เพราะไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าในอีกสามปีข้างหน้า ความรู้สึกของหนุ่มสาวคู่นี้จะยังคงเดิมกันอยู่หรือไม่ เวลานี้ต่างอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่ ควรห่างกันสักพักเพื่อไปทบทวนความรู้สึกของตัวเองแล้วค่อยกลับมาเจอกันก็ยังไม่สาย เมื่อถึงเวลานั้นหากทั้งสองยังมั่นคงต่อกัน ต่อให้มีกี่สิบภาวินก็ไม่สามารถกีดกันคนทั้งคู่ได้อีกแล้ว
นฤบดินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีเมื่อถึงห้อง ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นข้อความที่เคยได้รับทุกวันจากสาวน้อยข้างบ้าน จะว่าไปแล้วตลอดสามวันที่ผ่านมาตั้งแต่พราวนภาไปนอนบ้านมารดา เธอก็ไม่เคยส่งข้อความ หรือโทรศัพท์มาหาเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“โกรธอะไรรึเปล่าวะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางนึกทบทวนว่าก่อนหน้านี้ตนเผลอพูดจาไม่ดี หรือทำอะไรให้พราวนภาไม่พอใจหรือเปล่า ทว่านึกเท่าไรก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
และด้วยความอึดอัดที่เกาะกินใจ สุดท้ายนฤบดินทร์จึงเป็นฝ่ายส่งข้อความไปหาเธอเสียเอง
Din : กลับวันไหน
หลังจากกดส่งข้อความไปแล้วเขาก็วางโทรศัพท์เอาไว้แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่ เสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่หน้าจอว่าหญิงสาวตอบกลับมาหรือยัง แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจเพราะข้อความที่เขาส่งไปนั้น พราวนภาอ่านมันแล้วแต่ไม่ยอมตอบกลับมา
ขณะเดียวกัน พราวนภาก็มองโทรศัพท์ของตัวเองด้วยรอยยิ้มเต็มวงหน้า แต่เพราะเวลานี้เธอกำลังติดสายคุยกับเพื่อนสนิทอยู่ และหัวข้อสนทนาก็ไม่พ้นเรื่องของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของข้อความที่ส่งมานั่นเอง
“แพม! พี่ดินส่งข้อความมาเว้ย กรี๊ด! ดีใจ วิธีของแกได้ผลจริงด้วย” พราวนภาพูดด้วยความปลาบปลื้ม ขณะที่ปลายสายก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า
อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หากทั้งคู่คบหากันตั้งแต่ตอนนี้ และถ้าวันข้างหน้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเจอคนที่ใช่กว่า สุดท้ายคงไม่พ้นต้องเลิกรา และมองหน้ากันไม่ติดทั้งสองบ้านแน่นอน“เชื่อแม่นะหนูพราว ถ้าหนูกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริง ๆ ยังไงก็ต้องได้อยู่ด้วยกันอีกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่ ต่อให้เราดึงดันยังไงมันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำ ตอนนี้แม่อยากให้หนูใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่มากกว่า”พราวนภายิ้มพลางลุกขึ้นนั่งแล้วกอดจันทร์เจ้าอย่างออดอ้อน“ค่ะคุณแม่ หนูพราวเชื่อคุณแม่ค่ะ”แต่แล้วหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยให้ “แต่หนูพราวขอร้องคุณแม่อย่างหนึ่งนะคะ อย่าบอกเรื่องที่หนูชอบพี่ดินให้คุณพ่อกับแม่มะลิรู้เชียวนะ คุณแม่มะลิน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่คุณพ่อนี่สิถ้ารู้ละก็ระเบิดลงแน่”จันทร์เจ้าหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับปาก ทั้งที่ตนอยากบอกเหลือเกินว่าทุกคนน่าจะรู้กันหมดแล้ว รวมทั้งภาวิน คุณพ่อจอมหวงนั่นก็ด้วยสองวันถัดมา นฤบดินทร์เดินออกจากห้องน้ำโดยนุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเปิดตู้เสื้อผ้านั้น เขาก็ได้ย
พราวนภาหยิบผ้านวมมาห่มให้รุ้งจันทราอย่างเบามือเพราะเด็กน้อยค่อนข้างตื่นง่าย เป็นเวลาเดียวกับที่จันทร์เจ้า ผู้เป็นมารดาของรุ้งจันทราเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี หญิงสาวจึงพูดโดยไม่มีเสียงว่า“หลับปุ๋ยแล้วค่ะ”จันทร์เจ้ายิ้มพลางเดินเข้ามาดูบุตรสาวตัวน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเตียงข้างพราวนภาแล้วพูดว่า“หนูรุ้งน่ะเหมือนหนูพราวตอนเด็ก ๆ เลยนะรู้ไหม ดูสิเนี่ย ชอบเอาตุ๊กตามานอนเรียงเป็นเพื่อนกัน แล้วยังไม่ชอบกินแคร์รอตเหมือนกันอีกด้วย”“แต่ตอนนี้หนูกินแคร์รอตแล้วนะ และกินผักเก่งมากเลยด้วยคุณแม่ก็รู้นี่นา” พราวนภายิ้มกว้างอย่างประจบ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักผู้เป็นน้า แต่ตนเรียกอีกฝ่ายว่าแม่มาตั้งแต่จำความได้จันทร์เจ้ายิ้มพร้อมกับลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู สายตาที่มองพราวนภายังคงมีแต่ความรักไม่แปรเปลี่ยนแม้ว่าตนจะมีบุตรสาวและบุตรชายของตัวเองแล้วก็ตาม“เป็นอะไรล่ะฮึ จู่ ๆ ก็มาอ้อนแม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของจันทร์เจ้า ทำให้พราวนภายกแขนขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายไว้“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หนูพราวแค่รู้สึกว่าอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจัง ไม่อยากโตเป็น
“ใช่ครับ คนจีบพี่พราวเยอะมากเลย เวลาพีทไปเล่นข้างนอกก็มีแต่คนถามหาพี่พราว เนอะพายเนอะ”“แล้วไปยังไง เรียกแท็กซี่หรือพ่อเราไปส่ง” ชายหนุ่มยังถามต่อ“แท็กซี่ครับ/มีคนมารับค่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน แต่คำตอบไปคนละทางจนทั้งคู่ต่างหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่ผู้เป็นน้าอย่างนฤบดินทร์ได้แต่ถอนหายใจที่คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากหลานตัวแสบเป็นแน่“ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าไปถามแม่เราเองก็ได้” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทร. ออก แต่สองพี่สองรีบโบกมือห้ามเป็นพัลวัน“อย่านะคะน้าดิน พี่พราวสั่งเอาไว้ว่าห้ามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าพี่พราวไปเที่ยวกับแฟน ไม่งั้นคุณพ่อจะดุเอาได้ น้าดินอย่าถามคุณแม่นะคะ ขอร้องล่ะ นะคะน้าดิน” ภัทร์นรินท์ยกมือไหว้ปะหลก ๆ พร้อมกับทำตาสลดอย่างน่าสงสาร ภานุภัทร์เห็นอย่างนั้นจึงทำตามบ้าง“ใช่ครับน้าดิน เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ พี่พราวอุตส่าห์ไว้ใจให้พวกเราเก็บความลับ พีทไม่อยากให้พี่พราวถูกดุครับ นะครับน้าดิน”ชายหนุ่มลอบยิ้ม “ก็ได้ ไม่ถามก็ไม่ถาม น้าเข้าบ้านก่อนนะ พวกเราก็เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกมันร้อน”เขาเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่จู่ ๆ หลานสาวตัวดีก็ยื่นมือมากระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ คร
“แล้วแกล่ะ จะไม่คิดถึงหนูพราวบ้างหรือ” มัลลิกาอมยิ้ม แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย“คิดถึงทำไม ปกติก็ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย”“ถามจริง! แกไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์หนูพราวบ้างเลยรึไง สามปีเชียวนะที่จะไม่ได้เจอกัน” มัลลิกายังคงเย้าไม่เลิกจนชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาราวกับหงุดหงิดเต็มทีก่อนพูดว่า“แล้วไง ต่อให้สามปีหรือสามสิบปีก็ไม่มีอะไรแตกต่าง มันก็ชีวิตใครชีวิตมันอยู่แล้ว พี่เลิกชงเถอะ ไม่ได้ผลหรอก”“ชิ!” ไอ้คนปากแข็ง!มัลลิกาเบ้ปากใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านฤบดินทร์เองก็ใจหายและคงคิดถึงพราวนภาไม่น้อย แต่ไม่ยอมพูดความจริงออกมา เธอเป็นพี่น้องกับชายหนุ่มตรงหน้ามายี่สิบกว่าปีมีหรือจะเดาใจอีกฝ่ายไม่ออก เพราะหากนฤบดินทร์ไม่สนใจพราวนภาจริง เจ้าตัวก็จะแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย ไม่ต่อปากต่อคำมาหลายประโยคแบบนี้แน่“ก็ดี พี่จะได้เลิกกั๊กหนูพราวไว้ให้แก คราวนี้ถ้ามีคนมาจีบหนูพราวอีกพี่จะได้ปล่อยเลยตามเลย ไม่กันท่าไว้ให้แกแล้วเพราะแกเอ็นดูหนูพราวเหมือนน้องสาว โธ่เอ๊ย...นี่พี่เข้าใจผิดไปเองหรือเนี่ย”เมื่อมัลลิกาพูดจบก็ได้รับส
แม้ช่วงแรกจะเอ่ยปากชม แต่สุดท้ายภาวินก็อดเกทับอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่เขาอายุยี่สิบต้น ๆ แม้จะมีปาร์ตี้และเที่ยวกลางคืนบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเมามายจนไม่มีสติเลยสักครั้งกว่าสิบปีที่เขารู้จักนฤบดินทร์มาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนจนกระทั่งเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัว เขาเห็นว่าน้องภรรยาคนนี้จัดว่าเป็นผู้ชายที่ครบเครื่องคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อเหลาจนบางมุมแทบจะเรียกได้ว่าสวยด้วยซ้ำ รูปร่างก็สูงโปร่งพอกันกับเขา นิสัยก็เงียบขรึม และมีความสุขุม ทุกอย่างดูดีไปหมดเสียอย่างเดียว สายตาที่มองพราวนภานั้นดูจะร้อนแรงมากเกินไปหน่อยราวกับต้องการกลืนกินบุตรสาวของเขาไปทั้งตัว เขาไม่ชอบเอาเสียเลย!พราวนภายังเด็ก อายุเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังไม่จบมัธยมปลายเลย แต่บุตรสาวของเขาดันหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อีกไม่กี่ปีก็จะเติบโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง ขณะที่นฤบดินทร์ก็เป็นหนุ่มเต็มตัว และสองคนนี้มักใกล้ชิดกันบ่อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในบ้าน“ทำไงได้ ผมมันพวกคออ่อนซะด้วยสิ” นฤบดินทร์พูดยิ้ม ๆ พลางชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของภาวินแล้วพูดว่า“เดี๋ยวผมเอ
ในห้องที่ปิดไฟจนมืดสลัว นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศแล้วก็มีเพียงเสียงสวบสาบของผ้าห่มและเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงนอนหลังใหญ่ ผู้ที่อยู่ใต้ผ้าห่มพลิกตัวไปมาบ่อยครั้งราวกับคนที่กำลังมีเรื่องกลัดกลุ้มเกาะกินใจจนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้พราวนภานอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดอยู่บนเตียงนอนของตน หญิงสาวไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใด แต่คิดว่าน่าจะล่วงเข้าวันใหม่แล้วเพราะก่อนนอนเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิทร่วมชั่วโมงกว่า และเพิ่งวางสายไปตอนห้าทุ่มเศษ เนื้อหาของบทสนทนานั้นก็เป็นเรื่องเดิม ๆ คือปรึกษาปัญหาหัวใจ เพราะต่างคนก็ต่างมีชายหนุ่มให้แอบรักเป็นของตัวเองหญิงสาวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนตะแคง สายตาจึงตกที่ตุ๊กตาหมีสองตัวที่นอนเคียงคู่กันอยู่บนพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ชายหญิงคู่นี้นฤบดินทร์ซื้อให้เธอเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุครบสิบสามปีหมีผู้ชายใส่ชุดเอี๊ยมกางเกงลายสก๊อตสีน้ำเงินกับเสื้อสีขาว หมีผู้หญิงใส่ชุดเอี๊ยมกระโปรงลายสก๊อตสีแดงกับเสื้อสีขาวเช่นกัน เธอรักมันมาก ไม่ว่าจะนอนที่บ้านนี้ หรือบ้านของแม่จันทร์เจ้า ผู้เป็นน้าสาว เธอก็จะนำตุ๊กตาหมีคู่นี้ไปนอนข้างกายด้วยทุก
ร่างสมส่วนในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีดำที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วจากการเล่นโรลเลอร์สเกตอยู่กลางถนนของหมู่บ้านนั้น เรียกความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าต่างห้องนอนของตัวเองได้ทันที เขาลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอ่ยตัดบทกับคู่สนทนาแล้วกดวางสาย จากนั้นก็เดินออกจากห้องนอนลงไปยังสวนสาธารณะของหมู่บ้านเพื่อไปดักเจอหญิงสาว อุปกรณ์ป้องกันก็ไม่ใส่ บอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่รู้จักจำ! แม้ในใจจะบ่น แต่ก่อนออกจากบ้านนฤบดินทร์ก็ยังอุตส่าห์หยิบน้ำดื่มขวดเล็กจากตู้เย็นติดมือไปด้วย เพราะเท่าที่เขาเห็นตอนมองจากหน้าต่างเมื่อครู่ พราวนภาไม่ได้พกน้ำหรืออะไรติดตัวเลยแม้แต่อย่างเดียวชายหนุ่มดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เลยสิบแปดนาฬิกามาได้ครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ท้องฟ้ากลับเริ่มสลัวลงราวกับเป็นช่วงหัวค่ำทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแต่กลับมืดเร็วกว่าปกติ เพื่อนบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีหลายคนต่างพากันจูงลูกจูงหลานทยอยกลับบ้านใครบ้านมัน เขายกมือไหว้คนเหล่านั้นเพื่อทักทายก่อนจะหย่อนตัวบนม้านั่งแล้วรออย่างใจเย็นไม่นานนัก นฤบดินทร์ก็เห็นร่างคุ้นตาเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวมาจา