บทที่ 1
ลูกเจี๊ยบกับหลุมล่อแมว
.
.
.
“แล้วเฮียมันว่าไง”
พินรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคำถามของเจ้าสาวป้ายแดง “บอกว่ายังโตไม่พอ”
เรียวคิ้วสวยได้รูปของวลีมุ่นเข้าหากันเป็นปม “ฮะ?”
ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักขึ้นลงอย่างหมดแรง “อื้อ พอถามว่าแล้วต้องโตแค่ไหนถึงจะพอ เฮียเขาก็บอกว่าไม่มีวันพอ แล้วก็เดินไปเลย”
วลีผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่ายหน้าไปมาด้วยรู้สึกไม่เข้าท่าขึ้นทุกวัน “พอๆ คบกับหมอขลุ่ยเถอะ ช่างหัวไอ้พวกขี้เก๊ก เล่นตัวอย่างกับหล่อมากอะ”
“นั่นเฮียเธอด้วยซ้ำ”
“ก็เพราะยังมีคำว่าเฮียค้ำคอถึงพูดแค่นี้ไง ถ้าไม่ได้เป็นพี่น้องกันฉันคงว่าแรงกว่านี้”
พินรีก้มหน้าลงไปตอบข้อความลูกค้าที่ส่งเข้ามาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของน้ำหอม เสร็จสรรพจึงเงยหน้าขึ้นมาต่อบทสนทนากับเพื่อนสนิท “หรือมันเพราะฉันดูไม่โตจริงๆ”
“ไม่เกี่ยวกันพิ ที่เฮียมันพูดคือต่อให้เธอโตกว่านี้ เป็นสาวกว่านี้ มันก็ไม่สน อย่าเสียเวลาเลย”
เจ้าของ Larimar Jewelry ทราบดีอยู่แล้วว่าต่อให้พูดอย่างไรก็ไม่เข้าหูแม่ค้าน้ำหอม หากเข้า ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พูดอะไรไปมิเคยนำพาเพราะพินรีหาทางปีนขึ้นจากหลุมรักของพี่ชายตัวเองไม่ได้ เธอก็อยากให้เพื่อนสมหวัง ได้เข้ามาเป็นพี่สะใภ้ของตัวเอง แต่มันก็ตึงมือเกินไปในเมื่อวสุค่อนข้างไร้เยื่อใยเลยทีเดียว
“เธอกับพี่เคทจะไปฮันนีมูนกันวันไหนนะ” พอหล่อนเลี้ยวเข้าเรื่องให้ตัดใจ พินรีก็เสเปลี่ยนเรื่อง
คนเป็นเพื่อนระบายลมหายใจหนักๆ “สัปดาห์หน้าแหละ ช่วงที่ฉันไม่อยู่อาจจะเหงาหน่อยนะ ร้านก็ปิด”
เพราะปกติพินรีชอบมาหมกตัวอยู่ที่ร้านเครื่องประดับของวลี อย่างที่ตอนนี้เธอก็นั่งอยู่ในร้าน คนฟังผงกศีรษะรับอย่างว่าง่าย “อื้อ ก็อยู่บ้าน ช่วยพ่อกับแม่ขายของ แพ็กของ นู่นนี่นั่น”
“ถ้ายอมใจอ่อนให้หมอขลุ่ยป่านนี้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไม่ต้องทนเหงาแล้ว มีแฟนเป็นหมอเชียวนะ หน้าตาก็ดี นิสัยก็สิบผ่าน เพื่อนๆ มีใครคัดค้านที่ไหน”
เจ้าหล่อนเอ่ยด้วยสุ้มเสียงหนักแน่น “ฉันไม่ได้ชอบเขา”
“แล้วชอบใคร”
“เฮียสี่”
“แล้วเฮียสี่มันชอบเธอไหม”
พินรีอ้อมแอ้มตอบ “ไม่รู้”
เพื่อนสนิทปล่อยเสียงหัวเราะอย่างนึกขบขัน “มาไม่รงไม่รู้อะไร มันไม่ชอบจ้ะพิ ถึงฉันจะอยากได้เธอมาเป็นพี่สะใภ้แต่ก็นะ อยากเห็นเธอไปเจอคนที่ดีกว่าเฮียสี่อะ”
“แล้วเฮียสี่ไม่ดีตรงไหน เขาน่ารักออก ถึงเดี๋ยวนี้จะขรึมไปสักนิด”
“เธอทำกรรมมาหนักจริงๆ ถึงได้ต้องใช้เวรใช้กรรมไปกับการชอบคนแบบนั้น”
พินรีกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอดีใจที่ได้รักวสุ จนตอนนี้ก็ยังไม่คิดเปลี่ยนใจ แต่ก็อย่างที่เพื่อนๆ พะวงว่าเธอไม่มีทางทำอะไรให้สถานการณ์ระหว่างตนและพี่ชายเพื่อนเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้เลยสักอย่าง
เธออาศัยอยู่ที่บ้านเกิด แม้บ้านจะไม่ได้ห่างกันมากแต่เขาก็หาได้อยู่ให้พบหน้า วสุทำงานในเมืองหลวง นานทีปีหนจะกลับบ้านสักครั้ง และต่อให้ทุกครั้งที่เขากลับมาจะมีสายคอยรายงานแต่ก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์มันดีขึ้น ตอนนี้เขายังครองโสดแต่เธอไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อีกสักกี่น้ำ เขารูปหล่อ การศึกษาดี ฐานะการเงินคล่องมือ สำหรับพินรีแล้ววสุไร้ที่ติ ถ้าเธอยังชอบเขาหัวปักหัวปำขนาดนี้ แม่สาวชาวกรุงสักคนก็อาจจะชอบเขาเช่นกัน
ถ้าวันไหนที่วสุกลับบ้านพร้อมพาคนรักมาเปิดตัว เธอคงต้องตระเวนหาใบบัวบกทั่วปราจีนมาคั้นเพื่อดื่มแก้ช้ำใน
ครั้นจะให้ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาก็เป็นไปได้ยาก เธอไม่ได้มีสภาพคล่องทางการเงินจนทำอะไรตามใจตนเองได้ปานนั้น
ตอนยังเป็นเด็กแม่ของเธอไปค้ำประกันหนี้ให้ญาติ สุดท้ายเขาหนีไปไหนก็มิอาจทราบ จึงจำเป็นต้องขายที่ดินของยายเพื่อใช้หนี้แทน ตอนขายก็ไม่กี่แสน แต่บทจะซื้อคืนดีดไปเป็นล้าน พ่อแม่ของเธอไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลยเพราะเจ็บช้ำน้ำใจที่ต้องเสียที่ดินไป การจะซื้อคืนก็ยากเย็น เหมือนเป็นแผลในใจที่แค่ไม่สะกิดก็ไม่เป็นอะไร แต่ไม่ใช่กับพินรี เธอมีความฝันที่จะเก็บเงินซื้อที่ดินคืน
เจ้าของคนใหม่เปลี่ยนจากป่าละเมาะเป็นสวนไผ่เพื่อเก็บหน่อไม้ขาย ตอนที่เธอไปคุยเรื่องอยากซื้อที่ดินคืน เธอรู้ตัวว่ากำลังโดนรำคาญจากครอบครัวนั้น พวกเขาจึงเรียกราคาสูงๆ เพราะมั่นใจว่าคนอย่างเธอคงไม่มีปัญญาจะจ่าย
มันเป็นที่ที่มีคุณค่าทางจิตใจ เป็นที่ที่เธออยากมอบคืนสู่มือบุพการี เพราะฉะนั้นหนึ่งล้านห้าไม่ถือว่าแพง แต่ตอนนี้ยังไม่มี
สำคัญเลยไปอยู่กรุงเทพฯ จะได้เจอกับเขาหรือ มันง่ายแบบนั้นเสียเมื่อไร
พินรีมีสีหน้าสลด ก้มหน้าก้มตาลงไปตอบข้อความลูกค้าเงียบๆ ไม่พูดไม่จา วลีเห็นแล้วก็ใช่ว่าจะสบายใจ แต่ก็สุดกำลังจะช่วยได้ แม้ว่าเธอจะอยากช่วยมากแค่ไหนก็ตาม ด้วยพินรีคือคนที่คอยสมานรอยรั่วของความรักเธอมาตลอด ทุกครั้งที่มีปัญหากับแทนคุณก็ได้พินรีเป็นตัวกลาง หล่อนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พยายามใช้เหตุและผลเพื่อประคองความสัมพันธ์ของเธอกับแฟนหนุ่ม ที่บัดนี้ขยับสถานะมาเป็นสามี แต่พอเพื่อนมีปัญหาเธอกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย
มันทำให้ความรู้สึกละอายใจตีตื้นขึ้นมาในอก
“พิ ทำไมเธอถึงชอบเฮียสี่ขนาดนั้น มันก็แค่ความรักของเด็กๆ”
“ไม่รี่ ฉันรักเฮียสี่จริงๆ และฉันสารภาพว่าไม่อยากถูกมองเป็นเด็ก มันไม่เกี่ยวว่าเป็นแค่เด็กหรืออะไรนะ ความรู้สึกฉันน่ะ มันคือรักแบบที่ผู้ใหญ่เขาก็รักกัน”
วลีเอ่ยเสียงอ่อย “ขอโทษ ไม่ได้จะหมายถึงแบบนั้น แค่อยากให้มูฟออนเพื่อตัวเธอเอง”
“ไม่ได้ว่าอะไร แค่อธิบายว่ามันไม่ใช่รักประเดี๋ยวประด๋าว”
ฝ่ามือบางแตะลงที่ลาดไหล่พลางลูบไปมาอย่างแผ่วเบา “ถ้าเธอมั่นใจว่ารักจริงๆ จะลองสู้ดูสักตั้งไหม ผลเป็นไงก็ช่าง”
แม่ค้าน้ำหอมผินหน้ามามองเจ้าของประโยคด้วยความฉงน ทั้งยังซ่อนประกายความหวังไว้ในดวงตาสีอัลมอนด์จนปิดไม่มิด “หมายถึงยังไงนะ”
“มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทาง แต่ไม่รู้ว่าจะเวิร์คหรือเปล่าแค่นั้นเอง”
“ทางที่ไม่รู้ว่าจะเข้าท่าไหมกับทุกวันนี้ที่เป็นทางตัน ฉันเลือกทางแรกนะ”
วลีหัวเราะน้อยๆ “เออ แต่เธอก็ต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยนะที่จะทำให้เฮียสี่มันยอมเปิดใจให้น่ะ ฉันคงช่วยทั้งหมดไม่ได้”
“ได้ แล้วเธอจะทำยังไง”
Ry: เฮีย ช่วยอะไรรี่หน่อยได้ปะคุณยี่: ไม่ได้Ry: ไม่รู้ว่ายังจำได้ไหม ตอนม.หกที่เฮียแอบเอารอยัลเอ็นฟิลด์คันโปรดของพ่อออกไปขี่แล้วสีถลอกจนพ่อองค์ลง วันนั้นรี่ไม่ได้บอกพ่อว่าใครเป็นคนทำ แต่วันนี้คงต้องบอกคุณยี่: จะให้เฮียช่วยอะไรRy: ฟ้องแม่ให้หน่อยว่าเฮียสี่ทำตัวแย่บัดซบมากคุณยี่: ได้คุณยี่: ที่จริงถ้าเธอบอกเฮียตั้งแต่แรกว่าให้ทำอะไร เธอไม่ต้องเสียเวลาฟื้นฝอยหาตะเข็บด้วยซ้ำคุณยี่: แล้วจะให้ฟ้องระดับไหน เอาแบบตัดค่าขนมหรือตัดแม่ตัดลูกRy: ระดับ MAX ชนิดที่ว่าคุณนายวิไลรับกับพฤติกรรมไม่ได้จนอยากเขี่ยออกจากกองมรดกคุณยี่: ถนัดเลยRy: เน้นเรื่องผู้หญิง ประมาณว่าชอบพาสาวมากก หลงจนโอนเงินให้เยอะๆ สักวันเฮียสี่มันจะโดนสูบเลือดจนสิ้นเนื้อประดาตัวคุณยี่: นั่นพฤติกรรมเฮียด้วยซ้ำRy: อี๋ น่าเกลียดคุณยี่: แต่รี่ แม่จะเชื่อเหรอ เฮียสี่มันเค็มเหมือนเกลือRy: ถึงต้องยกเรื่องผู้หญิงมาไง ผู้ชายร้อยทั้งร้อยพอเป็นเรื่องผู้หญิง โง่หมดคุณยี่: ว่าเฮียด้วยปะRy: อย่างเฮียต้องรอให้ถึงเรื่องผู้หญิงด้วยหรือไงRy: เอาตามนี้นะ ฟ้องแม่ยังไงก็ได้ให้แม่รู้สึกว่าสถานการณ์ของเฮียสี่กำลังวิกฤต หมัดเด็ดอยู่ตรงนี้ บอกแม่ว่าควรให้ใครสักคนที่ไว้ใจได้เข้าไปอยู่กับเฮียสี่เพื่อสอดส่องพฤติกรรม ก่อนที่มันจะฉาวโฉ่แล้วทำให้วงศ์ตระกูลเราด่างพร้อย บอกไว้ก่อนว่ารี่ไม่อยากมีพี่ที่ถูกสาวหลอกจนหมดตัวหรอกนะ เรียนมาก็สูง โดนหลอกเมื่อไรจะเหยียบให้จมคุณยี่: รี่อย่าอิน นั่นเธอแค่เมคขึ้นมาใส่ไฟเฮียมันRy: อ้อ เรื่องโดนสาวหลอกรี่หมายถึงเฮียนั่นแหละคุณยี่: นี่ยังอยากให้ช่วยปะRy: โมโห? คืออยากให้บอกพ่อเรื่องรอยัลเอ็นฟิลด์ว่างั้นคุณยี่: เปล่าครับคุณยี่: แล้วจะให้แม่ส่งใครมาอยู่กับเฮียมันล่ะRy: ว่าที่พี่สะใภ้พวกเราไง♡⃛ ──────── ♡⃛
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้