LOGINนันท์ลินีคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เมื่อหลายปีก่อน เธอจำได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ได้เจอกับภาคภูมิเป็นครั้งแรก อันที่จริง เขาก็ไม่ได้หล่อไปกว่าชลาธิปเลยสักนิด แต่หลังจากเรียนจบมัธยมภาคภูมิก็ผันตัวเข้าสู่วงการบันเทิง ส่วนพี่ชายร่วมบ้านของเธอเรียนบริหารธุรกิจ ถึงแม้จะเดินกันคนละเส้นทางแต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่เช่นเดิม
ส่วนเธอเองช่วงหลังก็ได้จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในวงการเดียวกันกับภาคภูมิด้วยเช่นกัน เขาจึงกลายเป็นทั้งเพื่อนสนิทของชลาธิป เป็นรุ่นพี่ในวงการบันเทิง รวมถึงเป็นผู้ชายที่เธอแอบชอบ
“น้องอัน....ถึงคิวแต่งหน้าทำผมแล้วค่ะ” ผู้จัดการกองถ่ายเรียกตัวให้นันท์ลินีเดินไปแต่งหน้า
คนตัวเล็กเหลือบตาดูเวลาในโทรศัพท์ก่อนจะเห็นว่า สายไปครึ่งชั่วโมง
“สายไปครึ่งชั่วโมงนะคะ” น้ำเสียงของนันท์ลินีแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ “เพราะอะไรล่ะคะ ทุกคนก็รู้ว่าอันเป็นคนรักษาเวลา” ผู้จัดการกองถ่ายหน้าเสีย ไม่รู้จะบอกกับนางร้ายคนนี้ยังไงดี
เพราะถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก และออกจะขี้วีนขี้เหวี่ยง แต่เรื่องความเป็นมืออาชีพต้องยอมให้กับนันท์ลินี
หากนัดนันท์ลินีตอนแปดโมงเช้า เธอจะมาตอนเจ็ดโมงครึ่งเพื่อเตรียมตัวและเมื่อถึงคิวของแม่นางร้าย เธอจะสามารถเริ่มงานได้ทันที นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้จัดละครหลายคนเลือกจะใช้งานเธอ ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของหญิงสาว เรื่องนิสัยแย่ ๆ จะโด่งดังมากแค่ไหนก็ตาม
คนตัวเล็กสวมเสื้อผ้ากองถ่ายอันเป็นชุดที่ต้องถ่ายต่อจากเมื่อวาน เธอเดินไปยังเต็นท์แต่งหน้าสีขาวที่อยู่ตรงหน้าของนันท์ลินี เสียงหัวเราะคิกคักดังลั่นมาจากเต็นท์ ทันทีที่นันท์ลินีเปิดม่านผ้าใบเข้าไปด้านในถึงได้รู้ว่าใครคือตัวต้นเหตุของเรื่องนี้
“สวัสดีค่ะพี่อัน” ดนิตาทักทายเสียงใส “แก้วตาขอโทษด้วยนะคะที่มาสาย ทำให้ทั้งกองวุ่นวายไปหมด” ดาราสาวผู้รับบทนางเอกหันไปขอโทษขอโพยคนอื่น ๆ ในกองถ่าย
“ก็นึกว่าใครที่แท้ก็แม่นางเอกสายเสมอนี่เอง” นันท์ลินีไม่ได้รับไหว้ แต่เดินไปนั่งเก้าอี้กองถ่ายอันเป็นตำแหน่งที่นั่งแต่งหน้า ต่อจากแม่นางเอกคนดัง
บรรยากาศในกองถ่ายเริ่มมาคุและดูอึดอัดขึ้น ทุกคนรู้ดีว่านักแสดงทั้งสองคนเป็นอริกัน โชคดีที่ละครเรื่องนี้ถ่ายมาได้จนถึงกลางเรื่อง โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะยังไม่ใช่ฉากที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน จนกระทั่งวันนี้
“แก้วตาขอโทษค่ะที่ทำให้ทุกคนลำบาก แก้วตาเลยไถ่โทษด้วยการเลี้ยงอาหารพี่ ๆ ทั้งกองเลยนะคะ” ดนิตาพยายามซื้อใจทีมงานคนอื่น ๆ
“ขอโทษแต่ทีมงาน แต่ไม่ขอโทษรุ่นพี่ในวงการหน่อยเหรอ ทำไมถึงกล้าทำตัวแบบนี้กันนะ” นันท์ลินีลุกขึ้นจากเก้าอี้ เป็นเพราะไม่ทันระวังเธอจึงไปโดนโต๊ะอุปกรณ์แต่งหน้า ของทุกชิ้นจึงหล่นลงพื้นแตกกระจายไปหมด
“น้องอัน” ช่างแต่งหน้าผู้เป็นเจ้าของอุปกรณ์ทั้งหมดหน้าเสีย
คนตัวเล็กหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหางตา แต่ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ทำไมทุกคนถึงเห็นสิ่งที่ดนิตาทำเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้กัน
“จำไว้นะ เวลาของทุกคนเป็นเงินเป็นทอง ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำแตกต่างกันออกไป คิดจะอยู่ในวงการนี้ช่วยทำตัวให้มันเป็นมืออาชีพหน่อยเถอะ รู้หรือเปล่าว่าคนทั้งกองถ่ายรอเธออยู่คนเดียว” นันท์ลินีพูดโพล่งออกไปโดยไม่ได้สนใจว่าคนอื่น ๆ จะมองเธออย่างไร
“ตายจริงพี่เกรซหนูช่วยเก็บของค่ะ” ไม่เพียงแต่ดนิตาไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่นักแสดงรุ่นพี่กล่าวเตือน เธอยังลงไปนั่งคุกเข่าวุ่นวายกับการช่วยเก็บข้าวเก็บของที่นันท์ลินีทำพัง “แย่จังเลยนะคะ เครื่องสำอางพี่เกรซพังหมดแล้ว บรัชออน อายชาโด้ตกแตกปนกันไปหมดเลย เดี๋ยวกลับไปแก้วตาซื้อให้ใหม่นะคะ” เธอบอกกับช่างแต่งหน้า
“นี่ไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเหรอ”
ผู้ที่รับบทนางเอกไม่ใช่ไม่ได้ยินในสิ่งที่นันท์ลินีกล่าว แต่ตั้งใจจะเมินเฉยต่างหาก
“ขอโทษนะคะพี่อัน พี่อันรู้ไหมคะว่าแก้วตาไม่มีผู้จัดการ แก้วตาเดินทางมากองถ่ายด้วยรถสาธารณะ แล้วที่พักของแก้วตาก็อยู่ไกลจากที่นี่มาก” ดนิตาพูดแล้วก็เริ่มหลั่งน้ำตา คำพูดของเธอมีน้ำหนักเพียงพอจะให้ทุกคนแสดงความสงสารและเห็นอกเห็นใจได้อยู่เสมอ “แก้วตาไม่ได้มีคนขับรถคอยมารับมาส่งเหมือนพี่อันนี่คะ เวลาแก้วตากลับก็กลับกับรถกองถ่าย”
“จริงค่ะน้องอัน น้องแก้วตากลับรถกองถ่ายตลอดเลย แล้วที่มาสายแบบนี้ทุกครั้งก็เป็นเพราะน้องแก้วตาไม่มีรถกลับ อะไรหยวนได้ก็หยวนไปเถอะนะคะ” ผู้จัดการกองถ่ายพยายามหาทางลงให้กับทุกฝ่าย
“ถึงแม้ว่าจะทำให้พวกพี่เสียเวลาน่ะเหรอคะ อันได้ยินว่างานมันช้ามากแล้วนะคะ” นันท์ลินีอยากให้ทุกอย่างเสร็จตรงตามกำหนด เวลาทุกวินาทีมันมีค่า เธอไม่ได้อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
“ขอโทษด้วยนะคะ แก้วตาขอโทษค่ะ” ดนิตาร้องไห้จนตาแดง ภาพที่เห็นออกมาดูน่าสงสาร สร้างความเห็นอกเห็นใจให้กับทุกคน และนันท์ลินีในเวลานี้ก็ดูเป็นนางร้ายที่ร้ายทั้งในบทและชีวิตจริง
สายตาของทุกคนมองมาที่นันท์ลินีที่กำลังยืนตัวสั่นเพราะความโกรธด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจนัก มันกลายเป็นความผิดของเธอเสียอย่างนั้น คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด หญิงสาวมองทุกคนโดยรอบ ก่อนจะเหลือบไปเห็นพี่ช่างแต่งหน้าที่เธอจำชื่อไม่ได้ กำลังนั่งอาลัยอาวรณ์ต่ออุปกรณ์ทำมาหากินที่นันท์ลินีเป็นคนพัง
หญิงสาวไม่รู้จะเถียงอะไรต่อ ในเมื่อทุกคนเห็นดีเห็นงามกับการทำผิดไม่รักษาเวลาของดนิตา ท้ายที่สุดในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว เธอจึงเป็นฝ่ายเดินออกไปจากตรงนั้นเอง
นันท์ลินีคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เมื่อหลายปีก่อน เธอจำได้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ได้เจอกับภาคภูมิเป็นครั้งแรก อันที่จริง เขาก็ไม่ได้หล่อไปกว่าชลาธิปเลยสักนิด แต่หลังจากเรียนจบมัธยมภาคภูมิก็ผันตัวเข้าสู่วงการบันเทิง ส่วนพี่ชายร่วมบ้านของเธอเรียนบริหารธุรกิจ ถึงแม้จะเดินกันคนละเส้นทางแต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่เช่นเดิมส่วนเธอเองช่วงหลังก็ได้จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ในวงการเดียวกันกับภาคภูมิด้วยเช่นกัน เขาจึงกลายเป็นทั้งเพื่อนสนิทของชลาธิป เป็นรุ่นพี่ในวงการบันเทิง รวมถึงเป็นผู้ชายที่เธอแอบชอบ“น้องอัน....ถึงคิวแต่งหน้าทำผมแล้วค่ะ” ผู้จัดการกองถ่ายเรียกตัวให้นันท์ลินีเดินไปแต่งหน้าคนตัวเล็กเหลือบตาดูเวลาในโทรศัพท์ก่อนจะเห็นว่า สายไปครึ่งชั่วโมง“สายไปครึ่งชั่วโมงนะคะ” น้ำเสียงของนันท์ลินีแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ “เพราะอะไรล่ะคะ ทุกคนก็รู้ว่าอันเป็นคนรักษาเวลา” ผู้จัดการกองถ่ายหน้าเสีย ไม่รู้จะบอกกับนางร้ายคนนี้ยังไงดีเพราะถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่า
ชลาธิปเดินจูงมือน้องสาวร่วมบ้านไปจนถึงจุดที่รถยนต์จอดรออยู่ พี่เลี้ยงของเด็กทั้งสองคนเมื่อเห็น เด็กหญิงอยู่ในสภาพไม่น่าดูนักก็รีบลงจากรถเข้ามาดูแล“คุณอันเป็นอะไรคะ ทำไมเสื้อผ้าถึงเลอะเทอะมอมแมมแบบนี้” ดาวใจรีบหยิบกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดเสื้อผ้าให้กับเด็กหญิงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นันท์ลินีไม่อยากตอบคำถาม ผู้เป็นน้องจึงสะกิดให้เด็กหนุ่มเป็นคนตอบ“ล้มน่ะครับ สะดุดก้อนหินล้มเลยมอมแมมไปหน่อย” เขารู้ว่านันท์ลินีคงไม่อยากพูดความจริง จึงไม่ได้บอกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้พี่เลี้ยงและคนขับรถรับรู้“เป็นแบบนั้นเหรอคะ” ดาวใจยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ชลาธิปพูดนัก“ค่ะ อย่างที่น้ำบอก” นันท์ลินีเออออไปกับอีกฝ่ายโชคดีที่เขาหัวไว คิดเรื่องโกหกออกมาได้แนบเนียน และยิ่งออกมาจากปากของเด็กหนุ่มคนนี้ใคร ๆ ก็พร้อมจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหมดเมื่อเห็นว่าดาวใจเชื่อในสิ่งที่เขาพูด ชลาธิปจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เด็กหนุ่มจึงเดินไปขึ้นรถฝั่งที่ตัวเองนั่งประจำรถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวออกมาจากจุดจอดรถไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเด็กทั้งสองคนมาช้าไปราว 20 นาที นั่นก็เพียงพอจะทำให้ ทั้งหมดติดแหงกอยู่บนท้องถนนของเมืองหล
“น้ำ น้องสาวนายนี่ก็เอาเรื่องดีเหมือนกันนะ”ภาคภูมิสะกิดไหล่เพื่อนสนิท“อือ” ชลาธิปรับคำสั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมไกล ๆ แต่ไม่รู้ว่าตรงนั้นกำลังสนทนาอะไรกันและเขาเองก็รู้ว่า ยายเด็กนั่นต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ตอนที่ภาคภูมิบอกให้เขาแสดงตัวไปช่วยเหลือเธอ จึงไม่ได้คิดจะออกไปช่วยตั้งแต่แรก“แต่ยังไงก็ระวังเอาไว้บ้างก็ดีนะ ในโรงเรียนไอ้หมอนั่นอาจจะทำอะไรน้องนายไม่ได้ แต่นอกโรงเรียนก็ระวังหน่อย ฉันได้ยินว่าครอบครัวมันทำงานสีเทา ๆ” ภาคภูมิเป็นห่วงน้องสาวของเพื่อนสนิท มีไม่กี่คนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนันท์ลินีและชลาธิปว่าเป็นอะไรกัน“เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มยังคงเฉยชาอยู่เช่นเดิม แต่ก็ยอมรับฟังคำเตือนของเพื่อนสนิทถึงเวลาเลิกเรียน เพราะไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอและชลาธิป นันท์ลินีกับเขาจึงตกลงกันเอาไว้ว่าให้รถของที่บ้านจอดอยู่ห่างจากโรงเรียนไปอีกสักหน่อย เธอที่อยู่ในระดับมัธยมต้นจะได้รับการปล่อยให้ออกจากโรงเรียนก่อนจะเดินไปรอเขาที่นั่น พอเขาเลิกเรียนแล้วก็ค่อยให้เขาตามมาทีหลังในตอนแรกทั้งนพดลและสาวิตรีก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยนักเพราะเป็นห่
หลังจากเสร็จงานศพของบิดามารดาของชลาธิป นพดลและสาวิตรี ต้องต่อสู้กับการพาตัวเด็กชายเข้ามาอยู่ในการอุปการะ ทั้งข้อกำหนดทางกฎหมายและญาติพี่น้องที่ทำตัวเป็นเหลือบไร พอไม่มีบิดามารดาของชลาธิปแล้วพวกนั้นก็หมดที่พึ่งพิง สุดท้ายก็ตั้งใจเตรียมตัวจะฮุบทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของเด็กชายและดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาที่จากไปแล้วนั้นจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ และไว้ใจให้เพื่อนสนิทอย่างนพดลและสาวิตรีเป็นผู้พาเด็กชายไปเลี้ยงดู ส่วนทรัพย์สินที่ควรจะเป็นของเด็กชาย ผู้ปกครองตามกฎหมายอย่างคุณน้าทั้งสองจะเป็นผู้ดูแลให้โดยไม่แตะต้อง แต่อาจจะมีการนำบางส่วนไปลงทุนให้กับเด็กชาย จนกว่าชลาธิปจะบรรลุนิติภาวะเด็กชายวัย 12 ปี จำต้องย้ายที่อยู่จากบ้านริมน้ำเงียบสงบในต่างจังหวัด เข้ามาอยู่ในกรุงเทพสภาพแวดล้อมทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลายปีผ่านไป...“อันฉันได้ยินว่าพี่น้ำที่อยู่ ม.6 เป็นพี่ชายของอันเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งถามนันท์ลินีอย่างใคร่รู้เด็กหญิงวัยมัธยมต้นหน้าบึ้ง ทันทีที่เพื่อนสนิทในกลุ่มพูดถึงเด็กชายที่ที่บ้านของเธออุปการะ“ใครบอกพวกเธอ” นันท์ลินีคิ้วขมวด มือเรียวเล็กกดปิดหน้าจอโทรศัพท
นพดลพาเด็กชายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ตั้งใจจะให้เด็กชายอยู่ร่วมกันแบบเจ้านายคนหนึ่งของบ้าน เขาไม่ต้องการให้ชลาธิปรู้สึกด้อยไปกว่าเด็กคนอื่น ๆ เขารับปากเพื่อนสนิทของภรรยาเอาไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรนพดลก็ต้องทำให้ได้ อย่างน้อย ๆ ตอนที่ภรรยาเขาลำบากบิดามารดาของเด็กชายก็เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ทั้งเขาและสาวิตรี ร่วมถึงบิดาของตนนั้นไม่เท่าไหร่ ติดปัญหาอยู่ที่เด็กหญิงตัวแสบนั่นมากกว่า เขายังคิดเสียใจที่เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นแบบนี้ ถ้าเขากล้าดุหรือสั่งสอนเธอสักหน่อยเรื่องคงไม่ดำเนินมาถึงขั้นนี้“เป็นยังไงน้ำ เราอยู่ได้ไหม” นพดลถามไถ่เด็กชายยิ้มและตอบรับอย่างมีมารยาท“ครับ ดีกว่าที่ผมเคยอยู่ซะอีก” เขาตอบ ถ้าให้เทียบกับบ้านริมน้ำที่เคยอยู่ร่วมกันกับครอบครัว ที่นี่นับว่าดีมาก“เพราะว่าที่บ้านเรา ไฟมันไหม้ไปหมดแล้ว ก็คงไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะ หลังจากเสร็จงานศพของพ่อกับแม่เรา น้าจะพาไปซื้อเสื้อผ้าใส่นะ แล้วก็จากนี้คงต้องย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพด้วยกัน” สาวิตรีปลอบประโลมเด็กชายบิดาและมารดาของเด็กชายเสียชีวิตเมื่อวันก่อน และก่อนที่พวกเขาจะจากไปได้ขอร้องให้สาวิตรีช่วยดูแลเด็กชาย ผู้เป็นนายหญิงของบ้านรู้ว่าช
เด็กหญิงผมเปียใบหน้าน่ารักสมวัยสีหน้าไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ยินว่าบิดาของตัวเองพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจากเด็กข้างถนน เด็กหญิงนันท์ลินีไม่ค่อยชอบใจนัก เธอต้องการเป็นจุดศูนย์รวมของความรักของคนทั้งบ้าน ไม่ได้ต้องการมีพี่น้องหรือสมาชิกอื่นใด เพิ่มเข้ามาในครอบครัวอีก“น้องอันทำไมทำหน้าแบบนั้นละคะ” สาวิตรี ผู้เป็นมารดาเห็นหน้าของบุตรสาวบึ้งตึงจึงเข้าไปปลอบประโลม“ไอ้เด็กนั่นเป็นใครคะ” เธอรู้อยู่แล้วว่ามารดาจะต้องถามคำถามนี้“เด็กนั่น!! ทำไมน้องอันพูดไม่เพราะเลยล่ะคะ” ผู้เป็นมารดาดุ เธอจำได้ว่าไม่เคยสอนให้เด็กหญิงมีนิสัยเช่นนี้“แล้วมันเป็นใครล่ะคะคุณแม่” นันท์ลินียังคงรอคำตอบจากปากของมารดาสาวิตรีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ที่เด็กหญิงตัวน้อยมีท่าทางเช่นนั้น คงเป็นเพราะเธอตามใจบุตรสาวมากจนเกินไป เพราะในอดีตกว่าที่เธอจะตั้งครรภ์นันท์ลินี ก็ใช้เวลาเฝ้ารออยู่หลายปี เมื่อเด็กหญิงถือกำเนิดขึ้นมา ทั้งครอบครัวเลยค่อนข้างตามใจแม้จะรู้ว่าในอนาคตเด็กหญิงจะต้องเสียคนอย่างแน่ ๆ แต่ทั้งผู้เป็นบิดาและมารดายามเมื่อเห็นน้ำตาของเด็กหญิง ทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน“ใจเย็น ๆ นะ







