ตอนที่
[3] ทำไมไม่เคยชนะ หลังจากที่สามารถต่อรองกับฮ่องเต้หน้ายักษ์สำเร็จ ซูซีหลินก็นอนแผ่กายบนเตียงอย่างไม่รักษากิริยาใด ภาพนี้ทำให้จินจูทนไม่ไหวต้องรีบไล่เหล่านางกำนัลออกไปด้วยไม่อยากให้เกิดเสียงซุบซิบเกี่ยวกับกุ้ยเฟยที่ไม่ดีออกไป แม้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับกุ้ยเฟยที่คนภายนอกตำหนักกล่าวถึงในยามนี้จะไม่ค่อยดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ทว่าตั้งแต่ที่กุ้ยเฟยตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ไหนจะข้อตกลงกับฝ่าบาทนั่นอีก พระนางจะยอมจากไปจริงหรือ นับตั้งแต่ที่ตนได้มีโอกาสรับใช้อีกฝ่ายมา ซูกุ้ยเฟยนั้นเอาใจผูกติดกับตำแหน่งมารดาแผ่นดินมากเพียงใดเหตุใดตนจะไม่รู้ จินจูใช้สายตาลอบมองผู้เป็นนายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะรีบหลุบสายตาลง ซูซีหลินไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของนางกำนัล นางเพียงทบทวนเรื่องราวของนิยายและข้อมูลเกี่ยวกับซูซีหลิน เพื่อจะได้วางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซูซีหลินคือบุตรสาวคนรองของแม่ทัพซู ซูซีซาน แม่ทัพใหญ่ของแคว้นที่ประจำการอยู่ที่เมืองชายแดนอย่างเจินโจว เพื่อรักษาความสงบที่นั่น นานทีปีหนถึงจะได้เข้ามาเมืองหลวง อาจจะเพราะด้วยเจ้าตัวไม่ได้ชื่นชอบบรรยากาศของเมืองหลวงมากนัก อยู่ที่เมืองชายแดนดูจะสงบสุขมากกว่าดูการเชือดเฉือนไปมาระหว่างเหล่าขั้วอำนาจต่าง ๆ ในเมืองหลวง แต่ทว่าเมื่อหลายปีก่อนที่แม่ทัพซูได้พาครอบครัวกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จหลังจากปราบปรามเผ่าเมิ่งหนึ่งในศัตรูที่สร้างความรำคาญให้แคว้นมาเนิ่นนาน ในตอนนั้นเองซูซีหลินที่ติดตามบิดามาได้พบกับองค์รัชทายาทรูปงามที่อายุไม่ห่างจากตนมากนักเป็นครั้งแรกราว ๆ สามสี่ปี แม้ว่าจะอายุเพียงห้าหนาว แต่เด็กน้อยก็รู้ว่าผู้ใดหน้าตาดี ความประทับใจยามแรกพบของซูซีหลินต่ออวี๋กงซู่ฮ่องเต้ หรือยามนั้นคือองค์รัชทายาทอวี๋กงซู่ก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เวลาผันผ่านไปหลังจากนั้นอีกแปดปี อดีตฮ่องเต้ได้มีรับสั่งให้องค์รัชทายาทมาฝึกการทหารพร้อมทั้งสังเกตการณ์แคว้นหมิงที่มีแววว่าจะบุกมารุกรานแคว้นหลิวหยวนได้ทุกเมื่อกับแม่ทัพใหญ่ที่เมืองเจินโจว นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ซูซีหลินได้พานพบกับเขาอีกครั้ง ยิ่งเห็นว่าเขาเติบโตขึ้นมาแล้วสง่างามเปี่ยมด้วยบารมีของผู้สูงศักดิ์มากเพียงใด ในใจก็ยิ่งสลักชื่อของเขาลงลึกในใจมากเท่านั้น ทว่าในยามที่หญิงสาวพยายามที่จะเริ่มอยากจะสานสัมพันธ์กับเขา หลังจากที่ติดตามเขามาครึ่งค่อนวันเข้าไปในป่า ในยามนั้นก็ปรากฏว่ามีทหารแคว้นหมิงได้ลอบโจมตีอวี๋กงซู่เสียก่อน ทำให้องครักษ์ของเขาต้องกระจายกำลังออกไปเพื่ออารักขาผู้เป็นนาย แต่ไม่รู้ว่าอารักขาอย่างไร จึงเหลือเขาที่กำลังบาดเจ็บอยู่เพียงลำพังผู้เดียว ในยามนั้นซูซีหลินร้อนใจเป็นอย่างมากที่คนที่ตนมีใจให้บาดเจ็บ จึงได้รีบเข้าไปให้การช่วยเหลือ…. แต่อนิจจาที่ซูซีหลินนั้นวัน ๆ เอาแต่สนใจแค่เรื่องประทินโฉม ผัดแป้งแต่งตัว ความรู้รอบตัวจึงมีไม่มากนักเพราะเจ้าตัวไม่พยายามฝักใฝ่ แม้เป็นถึงบุตรีของแม่ทัพใหญ่ แต่จะให้จับอาวุธ ขี่ม้าก็ไม่อาจทำได้ ที่ติดตามอวี๋กงซู่มาได้ก็เพราะให้สาวรับใช้คนสนิทขี่ม้าพามา แต่ในจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวาน สตรีที่ทำอันใดไม่เป็นก็ได้แต่ฉีกอาภรณ์ของตนออกมาสำหรับใช้ในห้ามเลือดและพันแผลให้เขา และในจังหวะนั้นเองคนผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น “แม่นาง ข้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรและการทำแผล ให้ข้าทำให้เขาเถิด” เป็นช่ายเฟิ่งจิ่ว ไม่รอให้ตอบรับสิ่งใดอีกฝ่ายก็รีบทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วและเป็นระเบียบ ไม่นานองค์รัชทายาทก็ถูกปฐมพยาบาลเรียบร้อย รวมถึงผ่านขีดอันตรายจากการติดเชื้อมาได้ รู้ตัวอีกที ซูซีหลินก็รู้ว่าตนเองพลาดไปเสียแล้ว หญิงสาวที่มาใหม่สามารถดึงความสนใจของอวี๋กงซู่ไปเสียแล้ว ช่ายเฟิ่งจิ่วที่ยามนั้นได้เดินทางมาเพื่อร่ำเรียนในสำนักศึกษาที่ว่ากันว่าสอบคัดเลือกเข้ายากหนักหนาได้ ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้และทักษะในด้านต่าง ๆ ขั้นพื้นฐานเป็นอย่างดีถึงจะมีโอกาสสอบผ่านและเข้ามาเรียนที่สำนักศึกษาชงฮุ่ยแห่งเมืองเจินโจวได้ ในยามนั้นที่อวี๋กงซู่รู้ว่าสตรีที่มาช่วยเหลือตนเป็นผู้ใด จากนั้นเขาก็เอาแต่แวะเวียนไปที่สำนักศึกษาแห่งนั้นบ่อย ๆ ระหว่างที่อยู่ที่นี่ ด้านซูซีหลินนั้นก็ไม่ยอมแพ้ นางเริ่มเกาะติดกับชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น จนทำให้เขาเกิดความรำคาญใจอย่างยิ่งยวด แต่ด้วยความที่ยังไว้หน้าแม่ทัพใหญ่ จึงไม่ได้จัดการอันใดกับซูซีหลินอย่างจริงจังนัก จนวันหนึ่งที่เขาถูกอดีตฮ่องเต้เรียกตัวกลับวังหลวงเป็นการด่วน ทำให้เขาต้องห่างจากช่ายเฟิ่งจิ่วไป แต่ถึงกระนั้นในใจก็ยังสลักสตรีผู้นี้ไว้ในใจ จากนั้นองค์รัชทายาทอวี๋กงซู่ก็ได้กลายเป็นอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ เพราะอดีตฮ่องเต้นั้นมีอาการประชวรหนักซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคใด แต่สามารถประคองตนเองได้เพียงหนึ่งปีกว่า ๆ เท่านั้น คล้ายในยามนั้นพระองค์รอให้พระโอรสพร้อมสำหรับรับช่วงต่อแล้วจึงจะจากไป และไม่นานหลังจากนั้นไทเฮาและฮองเฮาก็จากไปเช่นกัน ในตอนนั้นเองที่ซูซีหลินรู้ว่า เมื่อเขากลายเป็นผู้ปกครองแผ่นดินแล้วต่อไปก็คงหนีไม่พ้นการที่ต้องแต่งตั้งฮองเฮาคู่บารมี คราแรกซูซีหลินร้อนใจเป็นอย่างมากแต่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาที่ภายหลังเขาสามารถยื้อเวลานั้นออกไปได้ถึงสามปี ทว่าสามปีผ่านไปก็เป็นช่วงเวลาที่ช่ายเฟิ่งจิ่วกำลังจะจบการศึกษาจากสำนักศึกษาและต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ในใจของซูซีหลินเริ่มร้อนรนอีกครั้งและรับรู้ได้ว่า หากอีกฝ่ายกลับไปเมืองหลวงฮ่องเต้ต้องพยายามเกี้ยวพาและรับอีกฝ่ายให้รับตำแหน่งฮองเฮาเป็นแน่ สมองของบุตรสาวแม่ทัพใหญ่จึงเริ่มคิดหาแผนการอย่างหนัก ทว่าเหมือนโชคจะเข้าข้างซูซีหลิน ยามนั้นบิดาและพี่ชายที่เป็นรองแม่ทัพสามารถช่วยกันจัดการกองทัพแคว้นหมิงที่พยายามรุกรานชายแดนแคว้นมาหลายปีจนสำเร็จ สองพ่อลูกตระกูลซูแม้ว่าจะชนะศึกกี่คราก็ไม่เคยขอปูนบำเหน็จอันใดจากผู้ปกครองแผ่นดิน แต่ยามนี้กลับถูกบุตรสาวและน้องสาวที่เป็นดั่งดวงใจขอร้องอ้อนวอนอยากจะเป็นมารดาแผ่นดินเคียงคู่กับจักรพรรดิ ด้วยมีใจให้ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ตอนนี้มาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย แม้จะขัดต่อหลักการในใจ สุดท้ายสองพ่อลูกตระกูลซูก็ยินยอมเข้าเมืองหลวงเพื่อทำตามความต้องการของบุตรสาวและน้องสาวอันเป็นที่รัก แต่แล้วพวกเขาก้ต้องผิดหวังเพราะสุดท้ายตำแหน่งที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ให้ได้นั้นอย่างมากที่สุดก็คือกุ้ยเฟย โดยกล่าวว่าตำแหน่งฮองเฮาต้องเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด แม่ทัพใหญ่เมื่อรู้ว่าแม้ดึงดันไปก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงเพราะอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ดูเหมือนว่าจะไม่ยินยอมในตอนนี้ จึงคิดว่าค่อยให้บุตรสาวพัฒนาตนเองเพื่อไปสู่ตำแหน่งนั้นในภายหลังก็ได้ ซูซีหลินแม้จะได้เข้าวังหลวงแต่ก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ยิ่งรู้ว่าศัตรูหัวใจกำลังเดินทางเพื่อกลับมาเมืองหลวงแล้วยิ่งไม่อาจทำใจสงบได้ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจส่งนักฆ่าฝีมือดีไปกระทำการลับหลังทุกคน เพื่อลอบฆ่าศัตรูหัวใจให้ตายตกไปก่อนที่จะได้เข้าเมืองหลวง แต่ทว่านอกจากช่ายเฟิ่งจิ่วจะไม่ตายแล้ว ยังได้พบกับผู้ที่มีความสามารถหนำซ้ำยังรูปงามอย่างข่ายเชี่ยนหยุน เข้ามาช่วยเหลืออีก ซึ่งเขาก็คือ พระเอกในนิยายคุณหนูอันดับหนึ่งของหลิวหยวนนั่นเอง หลังจากได้ทำการช่วยเหลือกันและถูกชะตากันอย่างยิ่งยวด ข่ายเชี่ยนหยุนก็ตั้งใจว่าจะช่วยช่ายเฟิ่งจิ่ว จัดการสตรีร้ายกาจที่วางแผนชั่วในครั้งนี้ให้จงได้ ที่จริงแล้วหลังจากที่อวี๋กงซู่ถูกเรียกตัวกลับวังหลวง ซูซีหลินก็พยายามส่งคนไปเล่นงานช่ายเฟิ่งจิ่วอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดอีกฝ่ายได้เลย ซูซีหลินในยามนั้นคิดอย่างไม่เข้าใจ หากแต่ถามซูซีหลินที่กำลังนอนแผ่หลาบนเตียงในยามนี้ คงได้คำตอบว่า ก็คนเขาเป็นนางเอก ตัวเองเป็นนางร้ายจะไปชนะเขาได้อย่างไรกันเล่า เฮ้อ และหลังจากที่ช่ายเฟิ่งจิ่วและข่ายเชี่ยนหยุนเดินทางเข้ามาเมืองหลวงได้สำเร็จ จุดตกต่ำในชีวิตของซูซีหลินก็เริ่มต้นขึ้น….. ทว่าจุดจบของซูซีหลินไม่ได้จบลงเพราะฝีมือของทั้งสองคนนั้น หรือแม้กระทั่งฝีมือของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้โดยตรง แต่เป็นคนอื่น ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง และคนผู้นั้นก็อยู่ในวังหลวงแห่งนี้!!ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว จะเห็นได้ว่าสีหน้าของคนทั้งสี่ปราศจากแววตาล้อเล่นสนุกสนานดังที่เคยไป หนำซ้ำยังแดงก่ำราวกับคนจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ อวี่กงซู่อยากจะห้ามแต่เขาเห็นความหวังและความมุ่งมั่นในตาของลูก ๆ จึงได้แต่ปล่อยเด็ก ๆ ไปด้วยกัน “พวกเจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี ห้ามเป็นอันใดไปเด็ดขาด” มิได้บอกเพียงลูก ๆ แต่อวี๋กงซู่ยังบอกจู่จิ่งหลงด้วย “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”“เนื่องจากว่าวันนี้มืดค่ำแล้ว พวกเราต้องรอพรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเดินทางได้” ก่อนออกเดินทางจู่จิ่งหลงรีบหันไปสั่งการบางอย่างกับคนของตน ก่อนจะเผยแววตาอันเยือกเย็นเต็มไปด้วยรังสีสังหารแผ่ออกมา ใครกล้าคิดร้ายกับเสด็จป้าของเขามันต้องไม่ตายดี!! จากนั้นห้าคนพี่น้องรวมถึงผู้ติดตามจึงได้พากันเดินทางไปยังป่าทางตอนใต้ของแคว้นที่มีความชื้นมากเป็นพิเศษ ค้นหาอยู่ทั้งวันก็ไม่พบสิ่งที่ใกล้เคียงกับสมุนไพรที่ว่านั้นเลย ระหว่างที่หลายคนเริ่มใจเสีย หางตาของจูจิ่งหลงก็หันไปพบกับบางอย่าง ทว่าระหว่างที่เขากำลังคิดจะไปเก็บมัน กลุ่มคนร้ายกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น “ฝ่าบาทในที่สุดก็มาถึงวันนี้ วันที่ข้าไม่ต้องก้มหัวให้กับเด็กน้อยปากไม่สิ้นน
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว นับตั้งแต่ที่วันนั้นเดินทางจากที่ที่เคยเติบโตมากว่าสิบปีเพื่อมาอยู่ที่แคว้นที่ตนกำเนิดมา เด็กน้อยที่เคยผอมแห้งแรงน้อยและหวาดกลัวผู้คนบัดนี้ได้เติบใหญ่สูงสง่า ท่าทางองอาจ รูปลักษณ์หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นพระปิตุลาที่อยู่แคว้นหลิวหยวนเลยแม้แต่น้อย จูจิ่งหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิที่ปกครองแผ่นดินด้วยอายุน้อยที่สุดของแคว้นจ้าว ครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุสิบหกชันษา จากวันนั้นผ่านมาเจ็ดปี บัดนี้ก็ยี่สิบสองชันษาแล้ว แม้เหล่าขุนนางและคนภายนอกจะมองว่าเขามากความสามารถและน่าเกรงขามเพียงใด แต่ยามนี้พระพักตร์หล่อเหลากลับเต็มไปด้วยการรอคอย ราวกับเด็กน้อยที่รอเพื่อจะได้กินของอร่อยที่สหายคนแรกเคยแอบนำมาให้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่ตำหนักซิงเยียน ใช่แล้ว เขากำลังรอคอยสหายหรือยามนี้ที่เขาเรียกว่าเสด็จป้า เดินทางมาเยี่ยมเยียนเขาที่แคว้นจ้าวเฉกเช่นทุกปี ยามนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง “พี่จิ่งหลงพวกเรามาแล้ว” และคนที่เขารอคอยก็มาถึง เริ่มต้นด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าลูกลิงทั้งสี่ แม้จะเติบใหญ่กันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยที่สดใส โดยเฉพาะอวี๋กงจวิ้นที่แม้จะอายุเ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้“ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านทั้งสองด้วยนะ ขอให้พวกท่านครองรักกันตลอดไปไร้ซึ่งอุปสรรค”“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ไว้หม่อมฉันส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่น่าสนใจจากด้านนอกมาให้ฮองเฮาปลูกอีกนะเพคะ” ช่วงนี้นางกำลังชื่นชอบการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ช่ยเฟิ่งจิ่วก็ชอบส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่แปลกใหม่และน่าสนใจมาให้นางเรื่อย ๆ“ดีจริง ขอบใจเจ้าล่วงหน้าด้วยนะ” ซูฮองเฮาฉีกยิ้มด้วยความดีใจพลางจับมือของช่ายเฟิ่งจิ่วเอาไว้ คราแรกช่ายเฟิ่งจิ่วไม่คิดอะไร แต่ทว่าเมื่อเห็นพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว จึงทำท่าขยับกายเข้าใกล้ฮองเฮาแล้วกระซิบบางอย่าง หากมองจากมุมที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมา คงคล้ายกับว่านางกำลังหอมแก้มฮองเฮากระมัง “องค์รัชทายาทดูแลคู่หมายของท่านให้ดี อย่าได้มายุ่งกับคนของผู้อื่น!” อวี๋กงซู่รีบเดินเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ราวกับไม่ทันใจเขาจึงได้ช้อนกายของฮองเฮาลอยหวิวขึ้น “ว้าย” “กลับตำหนักเรากันเถิด” แม้ว่าซูซีหลินจะทุบไปที่ต้นแขนเขาอย่างไร เขาก็ไม่ปล่อยนางลงด้านข่ายเชี่ยนหยุนและช่ายเฟิ่งจิ่วที่มองภาพนั้นจากด้านหลังทั้งคู่ พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา “พระองค์สัญญากับ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้ นับตั้งแต่ที่มีการแต่งตั้งฮองเฮาก็เป็นอันรู้กันจนทั่วเมืองหลวงว่าฮ่องเต้นั้นมีความรักลึกซึ้งต่อซูฮองเฮามากเพียงใด ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสที่ใดก็มักจะพาซูฮองเฮาไปด้วยเสมอ ทั้งสองพระองค์มักจะพากันไปกินของอร่อยที่เป็นร้านรวงของชาวบ้านตามสถานที่ต่าง ๆ โดยฝ่าบาทมักจะเป็นฝ่ายคีบอาหารให้ฮองเฮาด้วยพระพักตร์เปื้อนรอยยิ้มเสมอ ภายนอกผู้คนมักมองว่าสองผู้สูงศักดิ์ช่างรักใคร่กลมเกลียวต่อกันยิ่งนัก และยามนี้อวี๋กงซู่ก็เป็นที่ชื่นชมของประชาชนหลายคนในความมั่นคงที่มีรักเดียว เหล่าสตรีได้แต่คิดว่าหากมีสามีก็ต้องการหาบุรุษที่เป็นเฉกเช่นฮ่องเต้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเกินจริงแต่อย่างใด ทว่ามันกลับมีหลายอย่างที่มากกว่านั้น “จินจู เจ้าลองกินขนมนี้ดู ข้าว่าอร่อยมาก” ระหว่างที่ซูฮองเฮากำลังยื่นขนมไปป้อนให้นางกำนัลคนสนิทกลับพบว่าผู้ที่รับขนมนั้นไปมิใช่จินจูแต่เป็นพระสวามี “ฝ่าบาท!” “ทำไมเห็นเราจะต้องตกใจด้วย” “ก็ฝ่าบาทมาไม่ให้สุ้มให้เสียงจะมิให้ตกใจได้อย่างไรเพคะ” “เป็นเจ้าที่ไม่สนใจการมาของเรามากกว่า มัวแต่ไปป้อนขนมให้ผู้อื่น” จินจูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร
ตอนที่[24]นางร้ายที่ได้เริ่มต้นใหม่ (ตอนจบ) วันเวลาผันผ่านไปอีกหลายปีทว่าคนในวังหลวงของแคว้นหลิวหยวนกลับยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ รักใคร่ปรองดองกัน โดยเฉพาะอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ที่หลังจากว่างเว้นจากงานบ้านเมืองก็มักจะพาตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ ที่เป็นตำหนักที่ประทับของซูฮองเฮาและพระราชโอรสทั้งสอง ผ่านไปห้าปีมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ซูฮองเฮาหลังได้รับการแต่งตั้งก็ถูกย้ายจากตำหนักซิ่วอิงมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ เหตุผลนั่นก็เพราะตำหนักหงอี้อยู่ใกล้กับตำหนักเฉินไท่ของฝ่าบาทมากที่สุด ที่จริงฮ่องเต้ผู้นั้นอยากจะย้ายตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดก็ตรงที่เผยกงกงเอาแต่บอกว่าไม่เหมาะสม ๆ อยู่นั่น “เผยกงกงขัดใจอันใดมาหรือเพคะ” ซูซีหลินเอ่ยถามพระสวามีที่มีพระพักตร์บูดบึ้งราวกับไม่พอใจบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาว่าเรื่องอันใด ต้องเป็นฝีมือเผยกงกงเป็นแน่ “ก็เผยกงกงบอกว่าเรามาค้างที่ตำหนักหงอี้มากเกินไป เดี๋ยวพวกขุนนางเฒ่าจะหาว่าข้าลุ่มหลงในฮองเฮาได้ แล้วมันไม่จริงหรืออย่างไร ก็เราลุ่มหลงในตัวเจ้าจริง ๆ” จากใบหน้าบูดบึ้งจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ้าเล่ห์ หนำซ้ำมือปลาหมึกยังเลื้
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด “เจ้าก็ควรถอดเช่นกันนะ” “…..” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่ง ชายหนุ่มก็คิดว่าตนไม่อาจรั้งรอได้อีก จึงได้ถือวิสาสะเข้าไปช้อนกายภรรยาก่อนจะรีบพาไปที่เตียงทันที “หลินเออร์ คืนนี้เรามาสร้างความแนบแน่นกันเถิด” “…..” “แล้วก็หากเจ้าได้เราแล้ว ก็ห้ามทิ้งเราไปที่ใดเล่า” นี่มันอันใดกัน ใครได้ใครกันแน่ ในเมื่อสายตาของเขาตอนนี้แทบจะกลืนกินนางทั้งตัวแล้ว! “เหตุใดจึงเงียบ รับปากเราสิ” ระหว่างที่รอคำตอบพระเนตรของจักรพรรดิก็เอาแต่จับจ้องริมฝีปากของฮองเฮาอย่างไม่ละสายตา และยามที่นางเอื้อนเอ่ย “หม่อมฉัน อื้อ” “ข้ารอไม่ไหวแล้ว” ริมฝีปากหนารีบเข้าฉกชิงความหอมหวานจากริมฝีปากของอีกฝ่ายทันที ลิ้นของเขาพยายามเกี่ยวกระหวัดและหยอกล้อหญิงสาวอยู่เนิ่นนาน มือที่ว่างอยู่ก็พยายามแตะไปยังจุดอ่อนไหวของภรรยาจนทั่วร่าง “ฝ่าบาท” รู้ตัวอีกทีซูซีหลินก็ไม่เหลืออาภรณ์ปิดกายแม้แต่ชิ้นเดียวแล้ว “เจ้างดงามและหอมหวานถึงเพียงนี้ ก็อย่ามาโทษว่าเราเอาแต่ใจเล่า” ว่าแล้วก็ก้มใบหน้าลงไปฉกฉวยบุปผางามที่พยายามชูช่อดึงดูดสายตาของเขาอย่างอดใจไม่ไหว และไม่เพียงแค่บุปผางามที่ทั้งขาว