LOGINหลังมื้ออาหารอันโอชาจากรสมือภรรยา โจวอวี่กับจ้าวเฟิงฉีที่อิ่มหนำก็เบิกบานอารมณ์ดีถึงขีดสุดจึงพากันร่ำสุราต่อจนมืดค่ำ โดยมีลูกๆ ร้องรำทำเพลงและเริงระบำวุ่นวายรอบศาลารับลม ภาพความโกลาหลเช่นนี้เป็นสิ่งที่โจวอวี่และจ้าวเฟิงฉีชมชอบยิ่ง บุรุษทั้งสองแม้ต้องเผชิญความเหนื่อยยากภายนอกสาหัสปานใด แต่กลับมีความสุขทุกคราที่พอกลับบ้านมาได้เจอภรรยาและลูกๆ บนใบหน้าหล่อเหลาที่ติดเย็นชาจึงมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา สำหรับโจวอวี่ ท่านตาหานตงคือผู้มีพระคุณของเขา รวมถึงจ้าวเฟิงฉีที่มิใช่เพียงสหายร่ำสุราแต่เป็นนักรบเคียงบ่าเคียงไหล่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายสมรภูมิตั้งแต่รู้จักกัน ขอเพียงจ้าวเฟิงฉีเอ่ยปาก ไม่ว่ากิจธุระจะยากเย็นแสนเข็ญปานใด เขาก็พร้อมบุกทะลวงฟาดฟันมิหวาดหวั่นสำหรับจ้าวเฟิงฉี โจวอวี่มิใช่แค่คนที่ถูกชะตาเพียงแรกเห็น แต่อีกฝ่ายเป็นสหายผู้น้องที่จริงใจ เป็นถึงบุรุษที่น้องสาวรักใคร่ เป็นบิดาที่รักยิ่งของหลานๆ ดังนั้น น้องเขยผู้นี้เขาพร้อมดูแลยิ่งชีพได้ดื่มสุรากับสหายรู้ใจ เคล้านารีที่เป็นภรรยา ยินเสียงหัวเราะสดใสของบุตรหญิงชาย ความสุขใดๆ ในใต้หล้าทั้งหลายล้วนเทียบมิได้ โจวอวี่กับจ้าวเ
หมู่บ้านในอาณาจักรเล็กๆ ทางตะวันตกแคว้นจินแห่งนี้เป็นแนวพื้นที่ราบ เลียบเทือกเขาสูงชัน ตั้งตระหง่านทั้งสองฝั่ง ซึ่งทอดยาวขนานกัน คล้ายซอกหลีบลึกลับแห่งโลกาใต้พิภพชาวบ้านดั้งเดิมมักอยู่อาศัยได้ไม่นานก็ต้องอพยพหลบหนีเพราะถูกชนเผ่าป่าเถื่อนรุกรานไม่เว้นวัน การย้ายถิ่นฐานเป็นลักษณะเก่าไปใหม่มา แต่ทว่ายามนี้มีชาวบ้านตั้งถิ่นฐานอาศัยเป็นหลักแหล่งจำนวนนับพันครัวเรือน มีประชากรหลายหมื่นแล้ว ยามนี้โจวอวี่จึงมีประชากรในปกครองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่ามั่นคงแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียวนอกจากมีนายท่านโจวคุ้มครองให้ความรู้สึกปลอดภัย ไร้ผู้ใดรุกราน ชาวบ้านก็ล้วนมีอาชีพที่สามารถแปรเปลี่ยนตามฤดูกาลและยืดหยุ่นแปรผันตามกฎของธรรมชาติ สามารถเก็บเกี่ยวจากสิ่งที่มีในดินแดนรังสรรค์เป็นสินค้าส่งออกไปขายในตัวเมืองแคว้นจิน แม้ไม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแต่ก็มีกินมีใช้ตลอดปีไม่มีขัดสน เนื่องจากมีคนที่เสียสละเวลาอันสุขสบายส่วนตัวคอยให้ความรู้แก่ชาวบ้านอย่างไม่หวงแหนคือฮูหยินของนายใหญ่ จ้าวเล่อเสียวิธีปลูกพืชพันธุ์ให้ได้ผลผลิตที่แตกต่างล้วนนำมาซึ่งรายได้และอาชีพที่ยั่งยืนนอกจากปลูกผักผลไม้ตามฤดูกาล ยังมีการป
โจวอวี่มิใช่ทหารกล้าผู้องอาจเฉกเดียวกับคนอื่นๆ ก็จริง แต่กลับเป็นสหายนักรบของจ้าวเฟิงฉีที่สามารถสร้างอาณาจักรของตนเองได้ภายในเวลาเพียงสองปีทางฝั่งชายแดนตะวันตกที่ไร้ผู้ใดปกครองจนชนเผ่าชยงหนูเหิมเกริมเข้าระรานชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน อาณาเขตแห่งนี้คาบเกี่ยวกับอาณาเขตระหว่างแคว้นจินและแคว้นฉินที่เป็นพันธมิตรกันจ้าวเฟิงฉีเห็นโจวอวี่เก่งกาจมากความสามารถถึงขนาดก่อตั้งอาณาจักร มีหมู่บ้านในปกครอง จึงชักชวนโจวอวี่มาร่วมรบกับกองทัพ สร้างความเป็นปึกแผ่นอันยาวนาน ข้อแลกเปลี่ยนคือกระจายเงินบำรุงราษฎรออกไปอย่างทั่วถึงเป้าหมายคือ เพื่อชาวบ้านในถิ่นทุรกันดารเหล่านั้นได้สิทธิ์มีชีวิตที่เท่าเทียมและกินดีอยู่ดียิ่งขึ้นกล่าวถึงตรงนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นหานตงกำลังพาหลานๆ ที่เป็นบุตรชายฝาแฝดของจ้าวเฟิงฉีออกท่องหล้าฝึกฝน พวกเขาได้พบกับโจวอวี่ที่ตกหน้าผาลงมานอนหายใจรวยรินอยู่แทบเท้าโจวอวี่จึงได้รับการช่วยเหลือจากหานตง ผู้ครอบครองฉายาเทพโอสถ ทั้งพิษใหม่จากบาดแผลคมดาบและพิษเก่าจนดวงตามืดบอด ล้วนได้รับการรักษาเยียวยาจนหายดีเป็นปลิดทิ้งหลังจากอยู่ด้วยกันทำความรู้จักกันจนสนิทสนมเชื่อใจ โจว
ลานกว้างหน้าเรือนหลักถูกจัดเป็นสถานที่กินเลี้ยงสังสรรค์ บรรดาคนหนุ่มแน่นวัยฉกรรจ์ถูกจัดเก้าอี้ให้นั่งล้อมวงหลังโต๊ะเตี้ยอย่างไม่เคร่งครัดธรรมเนียมกฎเกณฑ์เบื้องหน้าของทุกคนคือชินอ๋องจ้าวเฟิ่ง พระชายาเพ่ยหนิง ส่วนซื่อจื่อจ้าวฉีเสวียนผู้เป็นขุนพลนำทัพกำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าทหารกล้า เสียงร้องร่ำทำเพลงดังก้องไปทั่วทั้งลานกว้าง เสียงสรรเสริญเยินยอก็ดังสนั่นไม่แพ้กันพวกเขาเหล่านั้นต่างหัวเราะพลางยกจอกสุราขึ้นเบื้องหน้า ทำความเคารพกันและกันแล้วดื่มรวดเดียวหมดจอกบัดนี้จ้าวเล่อเสียมิใช่ดรุณีนางน้อยแล้ว เรือนร่างอรชรมีเอวคอดกิ่ว สะโพกผาย หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น ปีนี้นางมีอายุสิบเก้าปี และทันทีที่เรือนร่างสะโอดสะองแต่ผ่าเผยของนางในชุดสีแดงคลุมทับเสื้อสีดำอันรัดกุมไม่ต่างจากจอมยุทธ์หญิงมาถึงก็พลันสามารถเรียกสายตาของบรรดาบุรุษได้ทั่วทุกคนหนึ่งในบุรุษเหล่านั้นรีบหันมอง ดวงตาคู่คมเปล่งประกายเขาผู้นี้มีนามว่าเหอซวิน มีเรือนร่างสูงใหญ่ภูมิฐานสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ฝีมือเชิงยุทธ์ฉกาจล้ำ เรียกได้ว่ารูปงามกล้ามแน่น เปี่ยมเสน่ห์ร้องแรงแห่งบุรุษเพศเต็มขั้นที่สำคัญ เขาตรึงใจจ้าวเล่อเสียเพียงแรก
จวนเสนาบดีสกุลโจวข่าวการตายของโจวอวี่ถูกส่งมาถึงนายท่านโจว ก่อนที่หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ศพของเขาก็ถูกนำมาประกอบพิธีกรรมเสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั่วโถงพิธีตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายศพของบุตรชายสายหลักคนรองถูกฝังในสุสานบรรพชนอย่างสมเกียรติ ไร้ผู้ใดตำหนิติเตียนเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งสามัญที่คนต้องพบเจอ ทว่าการจากลายากแก่การทำใจเสมอ โจวเจ๋อผู่แม้รังเกียจเดียดฉันท์มารดา ทว่าเขารักบุตรชายยิ่งนักเขายอมรับว่าตนเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปของโจวอวี่ งานศพนี้คนที่เศร้าที่สุดคือเขาโจวเจ๋อผู่นั่งนิ่งหลั่งน้ำตาเงียบงันอย่างไม่อายใครเสียดายเวลาที่ผ่านมาก็ตอนนี้ เขาควรบอกรักบุตรชายบ้าง ดูแลเอาใจใส่ ชื่นชมยินดีบ้าง มิใช่เอาแต่ต่อว่าด่าทอ หากวันนั้น เขาไม่ขับไล่ไสส่งบุตรชายไป โจวอวี่ก็คงไม่ตายทุกสิ่งคือความผิดของเขา...โจวเจ๋อผู่ได้รับการปลอบประโลมจากฮูหยินคนปัจจุบัน กระทั่งคลายอาการโศกเศร้าและทำใจได้แล้วถึงการจากลานิรันดร์ ทว่าก็ยังขังตัวเองอยู่ในเรือนดึกดื่นค่อนราตรี ท่ามกลางเรือนนอนที่เงียบสงัดเหล่านี้ มีเรือนหลังหนึ่งที่คนมิอาจข่มใจจากลา“แม่นม...”จูเข่อเหรินเรียกขานกุ้ยฉิ
ทว่าบาดแผลทั้งสามนี้ กลับแลกมาด้วยชีวิตของเหล่านักฆ่าถึงห้าคน พวกมันกลายเป็นซากศพจนเกือบหมดเช่นกันกระนั้นกลับเหลืออีกสี่ห้าคน ทั้งหมดพุ่งเข้าใส่พร้อมกัน การประจัญบานแบบรุมกินโต๊ะเกิดขึ้นกะทันหัน ร่างของหูเย่หรงนอนแน่นิ่งตรงพุ่มหญ้านองเลือด ในขณะที่ร่างสูงสง่าของโจวอวี่พลัดตกหน้าผาในชั่วลมหายใจเดียวนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงวูบหนึ่งยามที่จ้าวเล่อเสียคลาดสายตาไปเพียงเสี้ยวเวลาปราดเดียว“โจวอวี่!”หญิงสาวรีบวิ่งไปคว้ามือเขาไว้“ไม่นะ โจวอวี่!”มือใหญ่ถูกมือเล็กกอบกุม และทำท่าจะร่วงตามกันลงไป แต่โจวอวี่จะยอมให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรมือหนึ่งสะบัดกระบี่วาดขึ้นเหนือศีรษะนาง อีกมือสะบัดออกจากการกอบกุมนักฆ่าที่กำลังลอบรุกคืบอยู่ด้านหลังจ้าวเล่อเสียพลันล้มตึงพร้อมกับร่างทั้งร่างของโจวอวี่ทิ้งตัวดิ่งลงหุบเหวไร้ก้น ต่อหน้าต่อตาจ้าวเล่อเสีย“โจวอวี่ ไม่นะ....”เสียงกรีดร้องดังลั่นก้องสนั่นทั้งหน้าผา เหล่านกกาต่างกระพือปีกเสียขวัญก่อนสิ้นสติจนภาพตรงหน้าดับวูบ จ้าวเล่อเสียคล้ายเห็นบุรุษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งปรากฏขึ้น เขาเข้ามาพร้อมวงแขนอบอุ่นที่เข้าปกป้องนางอย่างหวงแหนจ้าวเล่อเสียหลับใ



![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


