อวี่เหวินห่าวตกใจจนอ้าปากค้าง “ท่าน...”นี่เป็นเรื่องแปลกจริง ๆ เสด็จพ่อเห็นด้วยกับการหย่าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเสียงที่เสด็จพ่อใช้ช่างน่ารักเกียจนัก“ทำตามซะ” จักรพรรดิหมิงหยวนพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ซะเท่าไหร่ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาก็ก่อเรื่องวุ่นวายมิได้หยุดหย่อน เรื่องเล็กก็ยังพอเห็นแก่หน้ามหาเสนาบดีฉู่ได้ จึงทำเป็นเมินเฉย แต่ผลที่ตามมาจะยิ่งเหลิงยิ่งได้ใจ ราชวงศ์เสียหน้าก็ไม่สำคัญ แต่นางกลับยุแยงให้ชินอ๋องแตกคอกันเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บนางไว้อีกต่อไปตั้งแต่แรก ชื่อเสียงนางไม่ใช่แบบนี้ ข้างนอกต่างพูดว่านางทั้งอ่อนโยนและมีคุณธรรม เรียกได้ว่าเป็นที่เลื่องลือของทุกคนได้ยินคำพูดของฮูหยินเฒ่าตระกูลฉู่ในวันนี้ เขานั้นโกรธมาก ตระกูลฉู่จะบังอาจเกินไปแล้ว“เสด็จพ่อ” อวี่เหวินห่าวรีบปรับสีหน้า และกล่าวต่อไปว่า “ความหมายของท่านคือ ตกลงยอมรับคำขอของเจ้าเจ็ดใช่ไหม พ่ะย่ะค่ะ?”“ไม่ยอมได้รึ? เช่นนั้นก็ต้องใช้กำลังเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย" จักรพรรดิหมิงหยวนแสดงความพยายามในฐานะบิดา “หลังจากหย่าแล้ว ต่างคนก็ต่างไปแต่งงานใหม่ สำหรับว่าทั้งสองฝ่ายก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว”อวี่เหวินห่าวรู้
เขากึ่งนั่ง อ๋องฉีกึ่งนอน สองคนเหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า ชะตาลิขิตให้ผูกพันกัน"พี่ห้า เสด็จพ่อเรียกให้ท่านช่วยข้าหย่าจริงหรือ?” อ๋องฉีรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย ตอนนั้นที่ไปคุยกับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังไล่เขาให้ไสหัวไปอยู่เลย“ใช่แล้ว พระองค์รับสั่งว่า ไม่อาจทำร้ายหน้าของมหาสนาบดีฉู่ได้” อวี่เหวินห่าวลำบากใจเหลือเกิน ไม่ว่าจะหย่าหรือเลิกราไป อย่างไรเสียก็มีแม่หม้าย แบบนี้จะไม่ทำร้ายหน้าตระกูลฉู่ได้อย่างไรกัน?“เสด็จพ่อเรียกท่านจัดการอย่างไร? พระองค์น่าจะคิดหนทางจัดการได้มิใช่หรือ? เสด็จพ่อหัวดีกว่าพวกเราเสียอีก”หลังของอวี่เหวินห่าวสะดุ้งโหยงขึ้นจากที่นั่งเล็กน้อย ให้ความเจ็บปวดบรรเทาลงบ้าง และร้องโอดโอยออกมาเบา ๆ ด้วยความเจ็บ “ถ้าเสด็จพ่อคิดหาหนทางที่ไม่ทำร้ายหน้าของมหาเสนาบดีฉู่ได้ คืนนี้พี่ชายของเจ้าอย่างข้าคนนี้ก็ไม่ต้องรับโทษแบบนี้หรอก เสด็จพ่อทำอะไรไม่ได้ และยิ่งไม่สามารถออกราชโองการมาได้อีก มิฉะนั้นแล้ว หน้าของมหาเสนาบดีฉู่จะเอาไปไว้ที่ไหน?”“เช่นั้นท่านคิดวิธีออกหรือไม่?” อ๋องฉีเอ่ยถาม“เจ้าคิดดีแล้ว?” อวี่เหวินห่าวหันไปถามอ๋องฉีอ๋องฉีหันกลับมามองเขาอย่างนิ่ง ๆ "ยังมีทางอ
คำถามนี้ทำให้อวี่เหวินห่าวชะงักไปครู่หนึ่งเพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันและแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องคิด ตั้งแต่เหล่าหยวนตั้งครรภ์ เขาก็รักจนไม่อาจเสแสร้งเป็นอื่นได้อีกตอนนี้อ๋องฉีถามขึ้นมา เขาก็นึกอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลอะไร? ปล่อยวางได้ก็คือปล่อยวางได้ “พี่ห้า” อ๋องฉีเห็นว่าเขาลังเลไม่พูดไม่จา จึงดันตัวเองลุกขึ้นมาเล็กน้อย และมองเขาด้วยความตกใจ “นี่อย่าบอกนะว่าท่านยังคงชอบนางอยู่?”อวี่เหวินห่าวเหลือบตามองไปทางเขา “อย่าได้พูดจาเหลวไหล พี่สะใภ้ห้าของเจ้ายิ่งขี้งอนอยู่”“แล้วท่านยังชอบอยู่หรือไม่?” อ๋องฉีเอ่ยถามอวี่เหวินห่าวส่ายหน้า “ไม่ได้ชอบ”“แล้วท่านทำอย่างไร? ถึงได้ลืมนางได้รวดเร็วเช่นนี้”อวี่เหวินห่าวคิดแล้วคิดอีก เขาทำอย่างไร? เขาไม่ได้ทำอะไรเลยผ่านไปสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้น เหมือนนึกอะไรดี ๆ ออก “เพราะว่ามีพี่สะใภ้ห้าของเจ้าไงล่ะ”“จะบอกว่ามีคนอื่น ก็จะลืมอีกคนได้งั้นหรือ? ถ้าใช้วิธีนี้ก็ต้องหาผู้หญิงอื่นมาสักคนใช่ไหม?” ท่าทางอ๋องฉีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่อวี่เหวินห่าวได้แต่บ่นพึมพำในใจ เขาเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน แต
สามีภรรยาบ้านอื่นจะหย่า แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเจ้าห้ากัน? ลำเอียง เรียกเขาเข้าวังไปโบยกลางดึก นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆซูยี่ประคองอวี่เหวินห่าวไปถึงเตียงนอน อวี่เหวินห่าวค่อย ๆ หย่อนตัวลงมากับเตียง ซูยี่เลิกเสื้อของท่านอ๋องขึ้นและถอดกางเกงออก อาซื่อและลวี่หยารีบหันหน้าหนี และออกไปอย่างรวดเร็วอวี่เหวินห่าวรู้สึกท่อนล่างมันเย็นโหว่งแปลก ๆ จึงหันกลับไปด้วยความตกใจและเจ็บแผล เขากัดฟันพูด “ซูยี่ ไสหัวไปให้พ้น”ซูยี่ตกใจจนชะงักไป “ไม่รักษาแผลหรือขอรับ?”หยวนชิงหลิงไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี จึงโบยมือให้ซูยี่ “ซูยี่ เจ้าออกไปก่อน ไปยกน้ำร้อนมา”ซูยี่ขานรับคำสั่ง มองไปทางสีหน้าของท่านอ๋องที่อยากจะกินคนด้วยความสงสัย รู้สึกว่านับวันท่านอ๋องยิ่งรับใช้ยากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากซูยี่ออกไปแล้ว อวี่เหวินห่าวก็บ่นออกมาอย่างหงุดหงิดใจ “ซูยี่เก็บไว้ข้างกายข้าไม่ได้แล้ว”หยวนชิงหลิงมองรอยแดงช้ำเป็นวงบนขาของเขา แม้ว่าจะไม่ได้เหมือนครั้งก่อนที่ถูกโบยจนเนื้อแตก แต่ก็ถูกโบยจนเนื้อช้ำบวมเป็นสีดำเป็นวงกว้างขนาดนี้ ใต้ผิวหนังก็มีการช้ำเลือด แถมผิวที่ปริออกก็มีเลือดออกซิบออกมานางเปิดกล่องยา หยิบยาฆ่
ถังหยางกับหยวนชิงหลิงหันมามองทางเขา พร้อมกันอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินหยวนชิงหลิงรีบพูดว่า “ยังมีเหลืออีกยี่สิบไม้? เสด็จพ่อให้ท่านแก้ปัญหาอันใดอีก?”อวี่เหวินห่าวจึงเล่าต่อ “เสด็จพ่อบอกว่า ต้องรีบคิดแผนการให้เจ้าเจ็ดหย่ากับฉู่หมิงชุ่ยให้เรียบร้อย และไม่ทำร้ายหน้าของมหาเสนาบดีฉู่อีกด้วย”ถังหยางส่ายหน้า “เกรงว่าคงไม่อาจที่จะไม่ทำร้ายหน้าของมหาเสนาบดีฉู่ได้นี่สิขอรับ มีแม่หม้ายแบบนี้ จะเหลือหน้าอะไรได้อีก ใครจะไปสนว่าหย่าร้างหรือเลิกร้างกัน?”อวี่เหวินห่าวนอนเกยคางกับหมอน คิ้วได้รูปของเขาขมวดแน่นด้วยความเคร่งเครียด “มีหรือข้าจะไม่รู้? แต่เสด็จพ่อทรงมีพระบัญชาลงมาเช่นนี้”หยวนชิงหลิงรู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมา “เรื่องหย่าร้างเดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องหน้าตาชื่อเสียง แค่คนสองคนไม่อาจร่วมทางต่อไปด้วยกันได้ แม้ไปต่อไม่ได้ก็คงเกิดความขุ่นเคืองต่อกัน เรื่องความขุ่นเคืองใจนี่มันก็ส่งผลต่อชื่อเสียง จัดการไม่ง่ายเลยจริง ๆ”ถังหยางก็กล่าวเสริมว่า “ครั้งนี้ซวยแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย คู่สามีภรรยาอ๋องฉีหย่ากัน แต่ผู้คนในจวนอ๋องฉู่ต้องมาลำบากไปด้วยเช่นนี้”หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ
“ข้าก็ยังปวดใจอยู่ดี” หยวนชิงหลิงที่ซบลงบนหน้าอกเขา พูดไปพลาง สะอื้นไปพลางพวกเขาอยู่ด้วยกันจนมาถึงตอนนี้ ก็ประมาณครึ่งปีได้แล้ว นับตั้งแต่ถูกลอบสังหารจนมาถึงตอนนี้ ถูกโบยได้รับบาดเจ็บมาไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา?ตอนนี้สภาพร่างกายเขาก็ไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่นักอวี่เหวินห่าวที่ทำได้เพียงแค่ลูบผมปลอบโยนนาง “เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าลำบากมากกว่านี้อีกสักหน่อย หรือโดนโบยมากกว่านี้ ก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยสักนิด”เขายื่นมือไปประคองนางให้นอนลง “อย่าพิงแบบนี้เลย ระวังจะโดนท้องเอาได้”เขาวางมือลงบนท้องน้อยของนาง และกอดนางจากด้านข้าง จูบนางและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “นอนเถอะ อย่าคิดอะไรเหลวไหลเลยนะ เรื่องใหญ่แค่ไหน ย่อมมีทางออกเสมอ”หยวนชิงหลิงมองหน้าเขา และคิดถึงสถานการณ์ของสองพี่น้องที่แตกต่างกัน ลึก ๆ ภายในใจนั้นยังรู้สึกเป็นห่วงและกังวล แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้อ๋องฉีเองก็ช่างน่าสงสาร เรื่องนี้นั้นจะโทษอ๋องฉีก็ไม่ได้นางหวังว่าเรื่องหย่างร้างนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น ชีวิตในภาคหน้าอย่าได้ถูกคนผู้นี้ก่อกวนอีกวันรุ่งขึ้น หลังจากเจ้าห้าไปทำงานแล้ว นางก็ไปหานางข้าหลวงสี่ และพูดคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องนี้
อีกด้าน ทางด้านนางข้าหลวงสี่ได้ยินคนมารายงานว่ามหาเสนาบดีฉู่ได้มาถึงแล้ว จึงได้เตรียมน้ำชาด้วยตนเอง และยังสั่งให้หูหมิงบอกห้องครัวเตรียมอาหารอีกสองอย่างเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ตอนเขามาก็ไม่เคยกินข้าวที่นี่มหาเสนาบดีฉู่มาถึงแล้วก็นั่งดื่มชากับนางอยู่ครู่หนึ่ง อาหารก็ยกมาเสิร์ฟพอดีมหาเสนาบดีฉู่มาที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กินอาหารที่นี่หูหมิงที่เข้ามารับใช้ เขาก็ได้ตบรางวัลให้หูหมิงเป็นเงินก้องหนึ่ง หูหมิงตกใจซะจนไม่กล้ายื่นมือออกมารับนางข้าหลวงสี่หัวเราะเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ยังไม่ขอบคุณท่านใต้เท้าอีก?”หูหมิงรีบกล่าวขอบคุณ มหาเสนาบดีฉู่มองเขาออกไปแล้วก็นั่งยืดตัวตรงกินข้าวกับผู้หญิงที่ชอบครั้งแรก ต้องให้รางวัลให้มาก นี่มันเป็นหน้าตาของผู้ชาย ต้องให้ความสำคัญเสียหน่อยนางข้าหลวงสี่ยิ้ม และกล่าวว่า “อาหารพวกนี้ข้าไม่ได้ลงมือทำ ถ้ารู้ว่าท่านจะมาแล้วล่ะก็ ข้าคงเข้าครัวทำอาหารให้ท่านด้วยตัวเองสักสองอย่าง”“วันหลังยังมีโอกาสอีกมากนัก” มหาเสนาบดีฉู่มองนาง แม้ยิ้มไม่เก่งเหมือนในอดีต แต่แววตานั้นอ่อนโยนขึ้นมาก“ได้สิ!” นางข้าหลวงสี่ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นมากินข้าวเถอ
มหาเสนาบดีฉู่จึงกล่าวว่า “ข้าติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่ถึงสองครั้ง ถ้าเรื่องนี้ข้าสามารถเป็นกำลังช่วยเหลือได้ ข้าก็ยินดี”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจออกมา และเอ่ยถาม “ท่านติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่เรื่องอันใดถึงสองครั้ง ? ”มหาเสนาบดีฉู่กินข้าว และพูดอย่างคลุมเครือว่า “พระชายาฉู่ช่วยเจ้าไว้ตั้งสองครั้งมิใช่หรือ?”นางข้าหลวงสี่นิ่งอึ้งมองตรงไปยังเขา น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าไปหมด นางยกมือเช็ดน้ำตา และพูดกลบเกลื่อน “กินข้าวกันเถอะ”มหาเสนาบดีฉู่ลอบมองนาง และไม่รู้ว่าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากไหนมามอบให้นาง “เอาไว้เช็ดน้ำตาเถิด วันหลังอย่าได้ร้องไห้ง่ายดายเช่นนี้ เจ็บตาเสียเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้ดี แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่อาจละเลยได้ ชีวิตนี้ไม่รู้จะเหลืออีกนานเท่าไหร่แล้ว”นางรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา “ผ้าเช็ดหน้าจากไหนกัน? ตาเฒ่าอย่างท่านทำไมถึงพกผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงามเช่นนี้ได้?”“ข้าเอารองเท้าหัวเสือมามอบให้พระชายา และใช้ผ้านี่ห่อรองเท้าหัวเสือไว้” มหาเสนาบดีฉู่ตอบนางนางข้าหลวงสี่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ท่านสั่งคนทำรองเท้าหัวเสือ? ท่านเพิ่งเคยมอบของขวัญให้พระชายาเป็นครั้งแรก”“ก็ต้องพกมาให้บ้าง คนเร