อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าคำพูดของหยวนหยงอี้น่าสงสัยอยู่บ้าง ในตอนที่จะเอ่ยถามนั้น อวี่เหวินหลิงก็โผล่งออกมา "คุณพระ พี่สามพาผู้หญิงคนนั้นมาจริง ๆ ด้วย”ทุกคนรีบหันไปมองทางนั้นอ๋องเว่ยสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน และรองเท้าบูทสีดำ ร่างกายสูงสง่าเผยเสน่ห์กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างกายเขา สวมชุดกระโปรงผ้าต่วนเนื้อนุ่ม และเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกกันลม เกล้าผมทรงหวูม่าน ปักปิ่นผีเสื้อไหว และใส่ต่างหูหยกทองคำ ที่คอสวมสร้อยลูกปัดหยกเนื้อดีเม็ดกลมเกลี้ยงเพียงแต่รูปลักษณ์ของหญิงสาวนางนี้กลับดูธรรมดา หางที่ดูคิ้วสั้นนั้นต้องวาดหางคิ้วเพิ่ม แค่มองปราดเดียวก็มองได้ชัดเจนจมูกแบน ริมฝีปากบาง คางเหลี่ยม สิ่งเดียวที่ดูโดดเด่นคือดวงตาคู่นั้น ดวงตาไม่ได้โต แต่ในแววตาที่เหมือนมีน้ำคลออยู่ในนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนดั่งแสงจันทร์สลัวชวนโศกา ชวนให้รักใคร่ สงสารน่าเวทนาการที่อ๋องเว่ยมาปรากฏตัวพร้อมผู้หญิงที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ทำให้พระชายาซุนรู้สึกขายหน้ายิ่งนักเรื่องของพวกเขาสามีภรรยาลือไปถึงในราชสำนักมานานแล้ว คิดว่าเขาคงไม่คิดเหลวไหลแต่งตั้งนางเป็นชายารองได้คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้กลั
พระชายาซุนหันมามองหยวนชิงหลิง “เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเจ้าสามทีเถิด”หยวนชิงหลิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นางจะเกลี้ยกล่อมยังไง ? นางกับอ๋องเว่ยไม่สนิทกันเลยสักนิดผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อกู้จือกุมมืออ๋องเว่ยไว้ และหลุบตาลงต่ำ “หม่อมฉันจะกับไปทูลเชิญพระชายามาที่นี่แทน ท่านอ๋องอย่าได้ทรงกริ้วไปเลยนะเพคะ”อ๋องเว่ยยื่นมือไปกอดเอวนาง และจ้องไปที่อ๋องซุนอย่างดื้อรั้น “วันนี้ข้าจะให้นางอยู่ที่นี่ นางตั้งครรภ์ลูกของข้า ถึงไม่ใช่ชายาเอกก็เป็นชายารองแล้ว ถ้าท่านรับนางไม่ได้ ก็อย่านับว่าข้าเป็นน้องของท่านอีกต่อไป”มารดาของอ๋องเว่ยเป็นพระสนมเสียนเฟยองค์หนึ่ง หลังจากให้กำเนิดอ๋องเว่ยได้ไม่นาง นางก็ได้จากโลกนี้ไป จักรพรรดิหมิงหยวนจึงยกอ๋องเว่ยให้พระสนมจิ้งเฟย มารดาของอ๋องซุนเป็นคนเลี้ยงดู ดังนั้นสองพี่น้องจึงสนิทชิดเชื้อราวกับพี่น้องแท้ ๆ คลานตามกันมา“เจ้า...” อ๋องซุนโกรธจนไขมันบนหน้าสั่นกระเพือม “เจ้าอยากทำให้เสด็จแม่ทรงกริ้วจนอกแตกตายรึ” “ข้าจะไปอธิบายให้เสด็จแม่ฟังด้วยตัวเอง” อ๋องเว่ยเม้มริมฝีปาก และกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ เสด็จแม่ต้องทรงยินดี เพราะนางกำลังจะได้อุ้มหลานเร็ววันนี้ ไม่ต้องไปอิจฉาเสด็จแม่เ
หยวนชิงหลิงหันออกไปดู เมื่อเห็นไม่มีใครเข้ามาจึงกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นท่านเล่าเรื่องในตอนนั้นของพวกเขาให้ข้าฟังหน่อยสิ”"เรื่องของพวกเขามีอะไรน่าเล่ากัน? ลวี่หยาเจ้าเด็กทึ่มนั้น” อวี่เหวินห่าวยื่นมือไปลูบหน้านาง วันนี้นางแต่งหน้ามาบางเบา แต่เห็นชัดเลยว่าลวี่หยาไม่ได้ใส่ใจ แป้งยังไม่จางดีเลยด้วยซ้ำ“ข้าเป็นคนแต่งหน้าเอง” หยวนชิงหลิงดูตัวเอง รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองไม่สวยเท่าคนอื่น แต่ผู้หญิงท้องโตขนาดนี้ไม่มีอะไรน่ามองอยู่แล้ว “ท่านเล่าเถอะ ข้าอยากฟัง”อวี่เหวินห่าวนั่งขัดสมาธิบนตั่งไม้ และหยิบลูกวอลนัทมาสองสามลูก ก่อนจะแกะเนื้อของมันให้หยวนชิงหลิงและเล่าว่า “ตอนนั้น เดิมทีพี่สะใภ้สามมาคุยกับคนอื่น คิดไม่ถึงว่าพี่สามได้พบนางก็ตกหลุมรักในทันที ทูลขอให้พระสนมจิ้งเฟยไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพื่อสู่ขอคุณหนูตระกูลชุยมาเป็นภรรยา ตระกูลชุยก็ถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง และสามีในอนาคตของพี่สะใภ้สามก็คืออ๋องอันจุน จะให้เกิดเรื่องถอนหมั้นได้อย่างไรกัน เรื่องนี้หาทางออกไม่ได้อยู่นาน พี่สามก็ไปหาว่าที่สามีในอนาคตของพี่สะใภ้สามเพื่อท้าประลอง ว่าใครชนะคนนั้นได้แต่งกับพี่สะใภ้สาม เพื่อการประลอง
อวี่เหวินห่าวตรงไปหาอ๋องซุนในทันทีอ๋องซุนที่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีไฟไหม้ และไฟกำลังลุกโชนแรงมาก ก็ไม่ได้สนใจงานเลี้ยงวันเกิดอะไรนี้อีก เขาออกไปที่ลาน รีบสั่งรวมสุภาพบุรุษทุกคนไปกับเขาไปช่วยดับไฟหยวนหยงอี้ที่ได้ยินว่าจวนอ๋องฉีไฟไหม้ก็ไม่รอให้อ๋องซุนพูดจบ นางก็ได้รีบออกไปก่อนแล้วจวนอ๋องฉีไฟไหม้ จวนอ๋องซุนก็เกิดความวุ่นวายไปก่อนแล้วรอบหนึ่งบรรดาชินอ๋อง ราชบุตรเขย ขุนนาง และสุภาพบุรุษต่างรีบออกไปช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถบรรดาพระญาติที่เหลือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงต่างก็เป็นกังวล โดยเฉพาะบรรดาองค์หญิงหลายพระองค์นั่งแทบไม่ติดที่นั่งแล้ว ต่างก็อยากจะเข้าไปดูด้วยพระชายาซุนจึงเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนอยู่ที่นี่ และกลับเข้าไปนั่งในจวนก่อนนางเข้าไปในห้องโถงด้านใน เมื่อเห็นว่าฉู่หมิงชุ่ยไม่ได้ไปไหน นางยังคงอยู่ที่นี่ ช่างน่าแปลกใจนักฉู่หมิงชุ่ยยืนอยู่ข้างกระถางธูปหอมทองแดงสามขานั้น และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ข้าไม่กลับไปขัดขวางพวกเขาหรอก”พระชายาซุนคิดว่า ถึงอย่างไรนางเองก็เป็นคนที่อยากหย่า ไม่กลับไปก็เป็นเรื่องปกติ หรือว่านางยังจะเหลือความห่วงใยให้เจ้าเจ็ดบ้างไหม?นางเรียกให้ทุกคนเข้าห้องโถงด้า
ทุกคนในห้องโถงต่างรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน พระชายาซุนรีบเข้าไปหาอาซื่อ และพูดขอให้นางช่วย “อาซื่อ เจ้ารู้วรยุทธ์ รีบตามนางไปเถอะ ห้ามอย่าให้นางวางเพลิงขึ้นมาจริง ๆ เลย”อาซื่อที่อยู่ที่นี่มองไปทางหยวนชิงหลิง แต่ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นเกิดวางเพลิงขึ้นมาจริง ต่อให้นางอยู่เคียงข้างคอยอารักขาก็เสี่ยงเกินไป ดังนั้นนางจึงตอบตกลงและออกไปทหารที่อารักขาในจวนอ๋องซุนก็เหลือไม่มากนัก ตอนนี้แต่ละนายออกไปช่วยดับเพลิง คนรับใช้คนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ในจวนต่างไม่รู้วรยุทธ์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริง พระญาติผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางลุกขึ้นและรีบเดินไปหาอาซื่อ แล้วพูดกับนางว่า “เร็วเข้า รีบบอกให้คนปิดประตูเร็ว”อาซื่อเห็นแววตาของนางที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ก็รีบวิ่งออกไปปิดประตูทันทีพระชายาซุนก็รีบลุกขึ้นมาถามด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้น?”“มีคนจำนวนมากกำลังวิ่งมาหาเราที่นี่” หยวนชิงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หูนางไวมากเลยได้ยินเสียงฝีเท้าคนจำนวนมากองค์หญิงและพระญาติหญิงต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “อะไรนะ?”พระชายาซุนรีบเกลี้ยกล่อ
อาซื่อยืนอยู่หลังข้างจับตามองนางไว้ ไม่พูดอะไรทั้งนั้นฉู่หมิงชุ่ยยิ้มและกล่าวว่า “อาซื่อ เจ้ากลัวอะไร? กลัวข้าวางเพลิงขึ้นมาจริง ๆ รึ?”อาซื่อพูดอย่างเรียบเฉย “เจ้าวางไม่ได้หรอก”“เช่นนั้นเจ้าอยู่ตรงนี้ทำไมรึ?” ฉู่หมิงชุ่ยหันไปมองนาง และยิ้มออกมาอย่างสดใส แต่เมื่อเห็นอาซื่อมานางก็ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิมอาซื่อพูดกลับอย่างนิ่งเฉย “ชมวิว ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวเลย”ตอนนี้ประตูจวนได้ปิดลงแล้ว ในจวนตอนนี้มีแค่ฉู่หมิงชุ่ยเท่านั้นที่นางต้องเฝ้าระวังไว้ฉู่หมิงชุ่ยมองต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาไปแล้วตรงหน้านาง “ใช่ ทุกอย่างเหี่ยวเฉาไปหมด ดียิ่งนัก”นางตบพื้นม้าหินด้านข้างนาง “นั่งลงเถอะ ยืนนาน ๆ จะเมื่อยเอานะ”อาซื่อยืนกอดอกไม่สนใจนางฉู่หมิงชุ่ยยิ้มแบบไม่คิดมากอะไร “อาซื่อ เจ้ารู้ไหมว่า คนเราเวลาสิ้นหวังทำอะไรได้บ้าง?”อาซื่อมองนางอย่างระแวดระวังฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจออกมาเบา ๆ ยกมือขึ้นลูกมวยผมที่จัดทรงมาอย่างดี “คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ฝันก็ไม่เคยฝันถึงด้วยซ้ำ หนึ่งปีก่อนนั้น ข้ายังเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ผู้ทรงเกียรติ เดิมทีเคยคิดอยากจะแต่งไปเป็นพระชายาฉู่ แม้ว่าภายหลังจะเลือ
ปฏิกิริยาแรกของอาซื่อคือยอมให้นางตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ทันทีที่นางเอามีดสั้นจ่อคอ อาซื่อก็พุ่งตรงเข้าไปทันที “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาทำให้บ้านคนอื่นต้องแปดเปื้อน...นะ!”มีดสั้นนั้นกลับหันปลายไปทางตรงข้ามทันที มีดสั้นนั้นแทงเข้าใส่อาซื่อที่วิ่งเข้ามา อาซื่อที่ตั้งใจจะไปแย่งมีดนั้นจึงถูกแทงเข้าอย่างแรง ทันทีที่โดนแทงนั้น นางก็หยุดอะไรไม่ได้แล้ว ฉู่หมิงชุ่ยก็ออกแรงแทงมีดไปที่ท้องของอาซื่อให้แรงกว่าเดิม หลังจากนั้นก็ถอยออกมานางถอยห่างออกไปห้าก้าวมองอาซื่อที่เลือดไหลอยู่ตรงนั้น อาซื่อเอามือกุมท้องที่มีเลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากบาดแผล นางมองฉู่หมิงชุ่ยอย่างเคียดแค้น “เจ้า...”ฉู่หมิงชุ่ยฉีกยิ้มอย่างเลือดเย็น “คนเราเวลาสิ้นหวัง ถึงใกล้จะตายแล้ว แต่ก็ยังมีคนข้างหลังอยู่ คนที่รัก คนที่เกลียด คนพวกนี้ต้องตายไปกับเจ้าด้วย จะได้ไม่เหงา”นางหันออกไปทางประตูอย่างเด็ดเดี่ยว และเปิดประตูออกนางยิ้มอย่างอมหิต “เข้ามาได้”มีพวกที่แต่งตัวเหมือนกุลีคนใช้แรงงานเข้ามา ล้วนเหน็บอาวุธไว้ที่เอวและรีบวิ่งเข้ามาหยวนชิงหลิงที่นั่งรอให้ห้องโถง นางได้ยินเสียงฝีเท้าค่อย ๆ ห่างออกไป นางคิดในใจว่าตัวเองคงเข้าใจ
หยวนชิงหลิงเดินไปตรงหน้าฉู่หมิงชุ่ย และพูดอย่างใจเย็น “เป้าหมายของเจ้าคือข้า จะทำอะไรให้มันยุ่งยากกัน? เจ้าอยากจะฆ่าข้าที่นี่ เช่นนั้น ข้าจะไปกับเจ้าเอง”นางคาดว่าฉู่หมิงชุ่ยยังไม่ฆ่านางทันที มิฉะนั้นมีโอกาสลงมือแล้วจะทำเรื่องให้มันวุ่นวายไปทำไม?ฉู่หมิงชุ่ยไม่มีทางให้นางตายง่าย ๆ แน่แววตาของฉู่หมิงชุ่ยเป็นประกายเล็กน้อย และยิ้มอย่างอบอุ่น “พระชายาฉู่ เจ้าพูดเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน? พวกเขาปล้น ฆ่า ลักทรัพย์ ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งพวกเขาทำสักหน่อย แต่ว่าพระชายาฉู่พูดเช่นนั้น เป้าหมายของพวกเขาก็คือเจ้าล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็ไปกับพวกเขา อย่าให้ผู้บริสุทธิ์คนอื่นต้องเดือดร้อน” “อย่ามาทำเฉไฉ ข้าบอกว่าจะไปกับพวกเจ้า!” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเย็นชาฉู่หมิงชุ่ยเดินเข้ามากระซิบข้างหูนาง “พระชายาฉู่ เจ้าก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับยาดี ก็น่าจะได้กลิ่นในกระถางธูปนั้น ข้าเป็นคนวางยาเอง ทางนั้นเจ้าก็แค่เดินไป ข้าก็จะมอบยาถอนพิษให้พวกนาง ถ้าไม่ทำตามล่ะก็ พวกนางก็ต้องลงโลงไปพร้อมกับเจ้าซะ”หยวนชิงหลิงโกรธจนไฟโทสะแทบลุกออกจาตา นางหันไปมองในห้องโถงเห็นควันธูปนั้นยังลอยออกมาจากกระถางธูป ในขณะนั้นพระชายาซุนท