ลมหนาวยามรุ่งสางพัดผ่านลานกว้าง เสียงกลองยามดังขึ้นสามครา ข้ารีบก้าวออกจากเรือนพักพร้อมถาดน้ำชาสำหรับถวายเช้าแก่เจ้านาย บรรยากาศในตำหนักวันนี้กลับผิดปกติอย่างยิ่ง นางกำนัลหลายคนเดินไปมาอย่างร้อนรน ทั้งยังกระซิบกระซาบถึงเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าเงี่ยหูฟังและจับความได้เพียงว่า มีคนพบร่างนางกำนัลคนหนึ่งล้มหมดสติอยู่หลังตำหนัก สภาพบาดเจ็บราวกับถูกทำร้าย
หัวใจข้ากระตุกวาบทันที เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะในวังหลวง ทุกบาดแผลและทุกความผิดปกติอาจถูกโยงเข้ากับการแย่งชิงอำนาจได้ทั้งสิ้น เมื่อข้าวางถาดชาลงในห้องโถง องค์ชายเหยียนเจิ้งก็เดินออกมาพอดี ใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคมดุเต็มไปด้วยความคิดคำนวณ
“เมื่อคืนเจ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่”
เขาเอ่ยถามโดยไม่มองตรงมา แต่ข้ากลับรับรู้ได้ว่าคำถามนี้มุ่งตรงถึงข้าโดยเฉพาะ ข้าก้มศีรษะ
“หม่อมฉันไม่ได้ยินสิ่งใดเลยเพคะ”
เสียงตอบเรียบง่าย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หากมีใครพยายามโยนความผิดให้ผู้หนึ่งผู้ใด ข้าอาจถูกดึงเข้าไปพัวพันได้ทุกเมื่อ ไม่นาน ขันทีอาวุโสเดินเข้ามาคุกเข่ากราบ รายงานเสียงหนักแน่น
“องค์ชาย มีผู้พบหลักฐานเป็นผ้าเช็ดหน้าปักอักษรคำว่า ‘เหยา’ อยู่ในกำมือของนางกำนัลที่บาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ!”
ข้าชาวาบไปทั้งร่าง เลือดในกายเย็นเฉียบทันใด ผ้าเช็ดหน้าที่มีอักษรชื่อของข้าปักอยู่!?
องค์ชายเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อย หันมามองข้าเต็มตาเป็นครั้งแรกในเช้าวันนี้ แววตาคมลึกยากจะอ่านได้ว่าเป็นความสงสัยหรือกำลังทดสอบ
“เหยา...”
เขาเอ่ยเรียกชื่อข้าเพียงเบา ๆ แต่กลับกดทับจนหัวใจแทบหยุดเต้น
นี่คือการป้ายสีอย่างชัดเจน! ต้องมีใครบางคนในตำหนักนี้ ต้องการกำจัดข้าออกไปจากเส้นทางอย่างแน่นอน ข้าได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ความเงียบในห้องโถงกดทับจนแทบหายใจไม่ออก สายตาของเหล่านางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายเต็มไปด้วยความสงสัยและหวาดกลัว หากข้าไม่อาจอธิบายตนเองได้ อาจถูกลากไปสอบสวนโทษทันที
“ผ้าเช็ดหน้านั้น เจ้าอธิบายได้หรือไม่”
น้ำเสียงขององค์ชายเหยียนเจิ้งเรียบเย็น ทว่าคมกริบจนมิอาจละเลยได้ ข้ากัดริมฝีปาก ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น
“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเพคะ ผ้าเช็ดหน้านั้นหายไปจากห้องของหม่อมฉันหลายวันแล้ว คิดว่าคงมีผู้จงใจขโมยไป”
เสียงกระซิบดังแว่วขึ้นในหมู่บ่าวไพร่ “นางจะกล้าใส่ร้ายนางกำนัลคนอื่นหรือไม่?”
“หรือว่านางซ่อนอะไรไว้จริง ๆ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งนิ่งฟัง ราวกับกำลังพิจารณา ขณะเดียวกันขันทีอาวุโสก็ก้มศีรษะรายงานต่อ
“องค์ชาย นางกำนัลที่ถูกทำร้ายยังไม่ฟื้น หากไม่สืบหาความจริงโดยเร็ว เกรงว่าความวุ่นวายจะลุกลามไปทั่วตำหนักเพคะ”
องค์ชายเหยียนเจิ้งยกมือขึ้น ทุกเสียงพลันสงบลง
“ข้าจะให้เวลาเจ้าได้พิสูจน์ตนเอง หากเจ้าไม่ใช่ผู้กระทำ เจ้าก็ต้องหาหลักฐานมาแสดง”
สายตาคมกริบตวัดมามองตรงจนหัวใจข้าแทบหลุดจากอก
ให้เวลาข้าพิสูจน์ตนเอง...
นี่คือคำเตือน หรือคือโอกาสกันแน่?
ข้าก้มหน้ารับคำ “เพคะ หม่อมฉันจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้ได้”
แม้เสียงจะสั่น แต่ดวงตาในวินาทีนั้นกลับแข็งกร้าวกว่าที่เคย เมื่อผู้คนทยอยออกไป เหลือเพียงข้าและองค์ชายเหยียนเจิ้ง เขากลับมิได้รีบร้อนเสด็จออก แต่เดินเข้ามาใกล้ ข้าสัมผัสได้ถึงรัศมีเย็นเยียบที่โอบล้อม
“หากเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าย่อมมิยอมให้ใครทำร้ายเจ้าได้”
เสียงนั้นทุ้มต่ำ แฝงความหนักแน่นอย่างยากจะเชื่อว่าออกจากปากผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเย็นชาไร้หัวใจ ข้าเงยหน้ามองตาเขา สายตาสับสนพลันไหววูบ เหตุใดเขาจึงดูคล้ายจะปกป้องข้ากัน?
หลังจากองค์ชายเสด็จออกไป ข้าก็ยังคงนั่งนิ่ง มือที่กำหมัดแน่นสั่นระริก ความโกรธและความหวาดหวั่นประดังเข้ามาไม่หยุด ใครกัน ใครเป็นคนที่กล้าป้ายสีเช่นนี้! คืนนี้ข้าจะต้องสืบหาความจริงให้ได้ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ข้าทำมาจะสูญเปล่า อีกทั้งอาจถูกกำจัดอย่างไร้ร่องรอย
ยามค่ำคืนเงียบสงัด แสงจันทร์สาดทาบลงบนลานหิน ข้าแสร้งทำทีหลับในเรือน แต่แท้จริงกลับลอบออกมาเงียบ ๆ ใต้เสื้อซ่อนมีดสั้นไว้แนบกายเพื่อป้องกันตัว เสียงฝีเท้าของข้าค่อย ๆ แทรกซึมในเงามืด ข้าเลือกเส้นทางเล็กที่มักมีบ่าวไพร่ใช้ลอบไปมา หวังจะหาตัวผู้ร้ายที่กล้าวางแผนใส่ร้าย ทันใดนั้น ข้าก็ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วจากอีกมุมกำแพง
“แน่ใจหรือว่าเอาผ้าเช็ดหน้าของนางไปทิ้งไว้กับศพคนนั้น?”
“ข้าแน่ใจ! คราวนี้นางกำนัลอวี้เหยาต้องไม่รอดแน่!”
หัวใจข้าเต้นแรงจนแทบทะลุอก ข้าค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ เงาร่างสองคนยืนอยู่ในที่สลัว หนึ่งในนั้นคือ อวี้เหมย นางกำนัลผู้คอยแช่งชิงความโปรดปรานเสมอ ข้ากัดฟันแน่น ความโกรธแล่นพล่านไปทั้งกาย ที่แท้คนที่คิดกำจัดข้า ก็คือนาง!
ข้าเผลอทำเศษกิ่งไม้ใต้เท้าหักดัง กร๊อบ! ทั้งสองหันขวับมาทันที
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ!?”
แววตาของอวี้เหมยวาวโรจน์เมื่อเห็นข้า
“เฮอะ! เจ้ามาได้ถูกเวลาเสียจริง!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยเย้ยหยันและความอำมหิต
“อวี้เหมย!” ข้ากัดฟันกรอด พยายามข่มโทสะมิให้ปะทุออกมา “ที่แท้ก็เป็นฝีมือเจ้านี่เอง!”
นางหัวเราะเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยการดูแคลน
“ก็ใช่น่ะสิ! เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือ? ตั้งแต่วันที่เจ้าได้รับความเมตตาจากองค์ชาย ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าต้องเป็นตัวขวางทางข้า ถ้าไม่กำจัดเจ้าเสียก่อน วันหน้าข้าจะเหลือที่ยืนที่ใดกัน!”
“เพียงเพราะความริษยา เจ้าถึงกับยอมทำร้ายผู้บริสุทธิ์เช่นนั้นหรือ!” ข้าตะโกนอย่างเหลืออด
นางยกคางเชิด “ผู้บริสุทธิ์? หึ! นางกำนัลที่ถูกทำร้ายก็แค่เบี้ยหมากในกระดาน ข้าจะสังเวยสักกี่คนก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่องค์ชายไม่หันมามองเจ้าอีก!”
ข้ากำหมัดแน่น เลือดในกายเดือดพล่าน ความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าวทันที
“ข้าจะหาหลักฐานมาประจานความชั่วของเจ้าให้ได้”
อวี้เหมยแสยะยิ้ม “งั้นก็ลองดูสิ แต่เจ้าจะมีโอกาสรอดกลับไปหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจนะ”
นางสะบัดมือส่งสัญญาณทันที ชายชุดดำสองคนโผล่ออกมาจากเงามืด ล้อมเข้าหาข้าอย่างรวดเร็ว ข้ารีบชักมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อออกมา แววตาแข็งกร้าวไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความกลัว ต่อให้ต้องสู้จนเลือดหยดสุดท้าย ข้าก็จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของนางเด็ดขาด!
เสียงเหล็กเสียดสีกันดัง เคร้ง! ความมืดมิดใต้แสงจันทร์กลายเป็นสนามต่อสู้ชั่วพริบตาเดียว และในวินาทีที่คมมีดของหนึ่งในชายชุดดำเกือบจะฟันถูกร่างข้า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากความมืด เสียงที่ทั้งน่าเกรงขามและคุ้นเคย
“หยุดมือ!”
แสงคบไฟหลายดวงลุกวาบ พร้อมเงาร่างสูงสง่าขององค์ชายเหยียนเจิ้งก้าวเข้ามาในลานหิน แววตาคมกริบจับจ้องภาพตรงหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ฤดูใบไม้ผลิย่างกรายเข้าสู่หุบเขาเล็ก ๆ ทางทิศใต้ กลีบดอกท้อโปรยปรายไปทั่วราวหิมะสีชมพู ฟ้าสีครามแจ่มชัด ราวกับธรรมชาติชดเชยให้ผู้คนที่เคยผ่านความทุกข์ยากได้ลิ้มรสความสงบสุขที่โหยหามาชั่วชีวิตเรือนเล็กที่ปลูกติดริมลำธาร มีเสียงน้ำใสไหลเอื่อย ๆ ขับกล่อมไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ตรงแปลงผัก“เหยียนเจิ้ง เจ้ามาช่วยข้าเด็ดผักทีสิ นี่มันจะเย็นแล้วนะ”ซูเหยาใส่เสื้อผ้าธรรมดาสีอ่อน มือเล็ก ๆ ยกตะกร้าไม้ขึ้นอย่างระมัดระวัง ผมยาวถูกเกล้าอย่างเรียบง่าย ไม่มีรัดเกล้า ไม่มีหยกงดงามดังเช่นตอนอยู่ในวัง แต่แววตากลับสดใสกว่าที่เคยเป็นเหยียนเจิ้ง บัดนี้ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีอำนาจใด ๆ เดินออกมาจากเรือนด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากในอดีต มือชายหนุ่มหยิบมีดสั้นเล็ก ๆ มาก้มลงช่วยนางตัดผัก“เจ้าสั่งให้ข้าเด็ดผักเหมือนชาวนาเสียจริง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า แต่สายตาที่ทอดมองนางกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู“แล้วเจ้าไม่อยากเป็นชาวนาหรือไร” ซูเหยาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเปล่งประกาย“อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีเสียงดาบ ไม่มีเสียงกรีดร้อง มีเพียงเสียงนกกับน้ำไหล ไม่มีเสียงใดมารบกวน”เหยียนเจิ้งหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อ
ข้า ม่ออี้ หากเจ้าอ่านบันทึกนี้ แปลว่าหิมะได้ปิดรอยเท้าของข้าไปแล้ว เสียงโลหะของหน้ากากยังคงเย็น แต่หัวใจที่อยู่ข้างใต้ได้หยุดไหว คืนแรกที่ข้าได้สวมหน้ากากเงิน อาจารย์ใหญ่ถามข้าสั้นนัก“เจ้าชื่ออะไร”ข้าตอบ “ม่ออี้”“ตั้งแต่นี้ชื่อไม่สำคัญ หน้าที่สำคัญกว่า”เสียงโลหะแตะโหนกแก้ม เย็นจนฟันข้ากระทบกัน แต่ความเย็นนั้นกลับทำให้เลือดสงบ ข้าพูดได้เพียงในใจเท่านั้นข้าเติบโตในสำนักอาญาแบบเด็กที่ไม่มีบ้าน ชื่อม่ออี้เป็นเพียงอักษรเดียวที่แม่ปักลงในผ้าเก่าน้อยชิ้นก่อนทิ้งข้าไว้หน้าประตูโบสถ์ที่ท้ายเมือง อาจารย์เก็บข้าขึ้นมา ปล่อยให้เติบโตในเงาของกฎหมายที่ไม่เคยมองหน้าใครในยามลงดาบข้าจึงรู้จักก่อนว่าความเงียบขูดกระดูกอย่างไร คำสั่งหนักกว่าดาบกี่เท่า และชัยชนะของแผ่นดินมักจะเรียกเก็บค่าจากหัวใจของบุคคลเสมอวันนั้น อาจารย์ยื่นหน้ากากให้ข้า ครึ่งใบที่พรากเสี้ยวหน้าไป เสี้ยวหนึ่งที่เหลือของข้าไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปข้าเห็นนางครั้งแรกในลานหิมะของเมืองหลวง หลานซูเหยา เด็กหญิงที่ถือพิณใหญ่เกินแขนเล็ก ๆ ของตนเอง เงยหน้ามองควันจากโรงตีเหล็ก ลมหายใจฟุ้งเป็นไอขาว นางยิ้มให้ชายแก่ที่ขายหมั่นโถวนึ่ง แม้ตัวเองจ
หิมะปลายฤดูตกแน่นจนพื้นหินกลายเป็นผ้าขาว เย็นกระทั่งลมหายใจแปรเป็นควันสีจาง ข้าคือ เหยียนเจิ้ง พระโอรสลำดับที่ห้า เด็กชายผู้คุ้นชินกับความเงียบของตำหนักและกฎเกณฑ์ที่ยาวเท่ากำแพงเมืองคืนนั้น ข้าหลบยามออกจากตำหนักเพียงลำพัง ไม่ใช่เพราะใจกล้า หากเพราะเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องกำแพงมา เสียงสะอื้นเล็ก ๆ คล้ายลูกนกตกจากรัง ใต้ศาลาร้างตรงแนวพุ่มสน ข้าเห็นร่างเด็กหญิงตัวน้อยนั่งกอดเข่า เสื้อผ้าเปียกน้ำหิมะจนสั่นงัน ริมฝีปากซีดแต่ดวงตายังสว่าง“เจ้าเป็นใคร” ข้าเอ่ยถาม เสียงต่ำเท่าที่เด็กวัยอย่างข้าจะทำได้นางช้อนตาขึ้น “ข้าชื่อ หลานซูเหยา” เสียงแหบพร่า “ข้าหลงทางมาพร้อมกับคนรับใช้ ระหว่างตามขบวนของท่านพ่อเข้ามาในเมืองหลวง”แซ่หลาน แค่ได้ยินก็ทำให้หัวใจข้ากระตุก บิดาของนางคือแม่ทัพหลานที่ผู้คนเอ่ยถึงด้วยความศรัทธา ข้าถอดผ้าคลุมไหล่คลุมให้นางโดยไม่คิด“ตามข้ามา หากเจ้ายังอยู่ที่นี่ คงจะถูกทหารยามลากไป”นางลังเลเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนยกมือเล็ก ๆ เกาะแขนเสื้อข้าแน่น มือเย็นจัดจนข้ารู้สึกเหมือนถูกหิมะจับปลายนิ้ว เราเดินผ่านช่องระบายน้ำเก่าที่คนงานไม่ค่อยใช้ ข้ารู้จักทางเหล่านี้ดีกว่าตำราเรียน เพราะม
องครักษ์ในวังกับทหารหน่วยเงาปะทะกันกลางหิมะ เสียงเหล็กปะทะเหล็กสั้น คม และไม่ยืดยาวตามนิสัยของผู้ล่าที่มาเพื่อฆ่า ไม่ใช่จับ ซูเหยาชักดาบไร้นามออกมา โลหะเย็นแตะฝ่ามือดังชีพจรของผู้ตาย นางเฉือนเส้นเอ็นมือของศัตรูคนหนึ่ง ลากตัวออกจากเส้นยิง เงาหน้ากากเงินก้าวลงจากระเบียง เขาเคลื่อนตัวดุจเงาดาบ คม รวดเร็ว และไร้เสียง“ถอย ซูเหยา ถอย!” เสียงของม่ออี้ลอดผ่านโลหะ “ศัตรูที่แท้จริงอยู่เหนือหัวเรา!”“เจ้าเรียกทุกคนว่าศัตรูมาตลอด” นางสวนกลับ “คืนนี้ข้าจะเลือกเองว่าใครคือผู้ที่ต้องชดใช้กันแน่ ไม่ต้องให้เจ้ามากำกับ!”ลูกศรหัวดำอีกระลอกสาดลง แนวยิงไขว้รูปซวงเหอของสำนักลับทางเหนือ ไม่ใช่กองทัพหลวง ซูเหยาจับจังหวะได้ในครึ่งใจ มีผู้ที่ต้องการให้เราเชือดกันเอง เพื่อปิดปาก เหยียนเจิ้งสะบัดแขนผลักซูเหยาออกให้พ้นวิถี ขณะม่ออี้กระโจนตวัดดาบเฉียง“ฉัวะ!”ลูกศรถูกปัดแตกกลางอากาศ แต่ดอกหนึ่งเฉือนสีข้างเหยียนเจิ้งไป เลือดไหลแทรกผ้าขาวเป็นดอกท้อแดงเพลิง“เหยียนเจิ้ง!” ซูเหยาตะโกน เงื้อมดาบชิดคอศัตรูตรงหน้า ฟันสั้นเดียวหลุดหิมะม่ออี้เสยดาบรับระลอกใหม่ พลางคำรามผ่านหน้ากาก“ตัวล่อไม่ใช่เจ้า แต่คือข้า เขาต้องการใ
เสียงหิมะโปรยปรายกลางคืนหนาวเหน็บ คล้ายสวรรค์จงใจซ้ำเติมหัวใจที่ปริร้าว หลานซูเหยาในชุดสีขาวบริสุทธิ์เปื้อนเลือด ยืนตัวสั่นกลางลานกว้าง ดวงตาที่เคยทอประกายอบอุ่น บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่สั่นสะท้านหัวใจผู้มองเบื้องหน้าคือองค์ชายเหยียนเจิ้ง ผู้ที่นางเคยเฝ้าคิดถึงทุกลมหายใจ เขาก้าวออกมาท่ามกลางม่านหิมะ ใบหน้าเย็นสงบ แต่แววตาแฝงความสั่นไหวที่พยายามเก็บซ่อน“ซูเหยา…”เสียงเขาเรียกขานชื่อนาง แผ่วเบาราวกับกลัวว่า หากดังเกินไป ความฝันนี้จะสลายไปในหิมะ ซูเหยากัดริมฝีปาก เลือดซึมออกมา นางสั่นสะท้านทั้งร่าง น้ำตารินลงพร้อมกับเกล็ดหิมะ“องค์ชาย ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเคยรักท่าน” เสียงของนางพร่าแผ่ว แต่ทุกคำคือคมดาบที่ฝังลึกลงกลางใจองค์ชายเหยียนเจิ้งหลับตาแน่น ราวกับถูกแทงกลางอก เขาเอื้อมมือออกมาแต่ถูกซูเหยาปัดออก“แต่วันนี้ ” ซูเหยาก้าวถอย ดวงตาแข็งกร้าว “ท่านคือศัตรูของข้า ไม่เพียงในความจริง หากแม้แต่ในหัวใจก็ใช่!”เลือดในอดีต ความตายของตระกูลหลานทั้งตระกูล ความทรยศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกสิ่งตะโกนบอกนางว่า ความรักคือพิษร้าย องค์ชายเหยียนเจิ้งกัดฟัน ดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความเจ็
สายลมหนาวพัดผ่านท้องพระโรงที่ว่างเปล่า เงาเปลวคบเพลิงสั่นไหวราวจะดับลงทุกขณะ หลังเหตุการณ์ที่เหล่าทหารบุกเข้ามาแล้วถอยไป ความเงียบสงัดกลับปกคลุม ทว่าในอกของหลานซูเหยากลับเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง นางยังคงจ้ององค์ชายเหยียนเจิ้งด้วยดวงตาสั่นระริก ไม่รู้ว่าควรเชื่อถ้อยคำของเขาหรือไม่องค์ชายเหยียนเจิ้งเดินเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมปลาบทอประกายที่ต่างไปจากทุกครั้ง“เจ้ารู้หรือไม่อาเหยา ว่าข้ารู้ตัวตนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นใคร”ซูเหยาชะงักราวถูกตบกลางใบหน้า “ทะ...ท่านรู้หรือ?”“ใช่” เสียงของเขาแผ่วแต่หนักแน่น“คืนที่เจ้าถูกส่งเข้าวังในนามนางกำนัล ข้ารู้ตั้งแต่นาทีแรกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ดวงตาคู่นั้น เจ้าคิดหรือว่าข้าจะลืมหรือ?”ความทรงจำเก่า ๆ พุ่งวาบขึ้นมา ราวกับบาดแผลที่ถูกกระชากปิดผ้าพันแผลออก ซูเหยากำหมัดแน่น เลือดแทบจะไหลออกจากฝ่ามือ“หากท่านรู้ เหตุใดจึงไม่เปิดโปงข้าเสียแต่แรก?”องค์ชายเหยียนเจิ้งยิ้มบาง แต่เต็มไปด้วยความขมขื่น“เพราะหากข้าเปิดโปง เจ้าจะตายทันที แต่ถ้าข้าเงียบ อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีลมหายใจอยู่ตรงนี้”เสียงนางสั่นเครือ “แล้วทั้งหมดที่ผ่านมา ท่านเฝ้ามองข้าเงียบ ๆ อย่าง