แสงแดดไหลลอดม่านสีขาว ทะยอยแตะปลายเตียงเหมือนเช่นเคย คะน้าลืมตาขึ้น…ไม่ใช่เพราะนอนเต็มอิ่ม แต่เพราะร่างกายเริ่มชินกับการตื่นเช้ามากขึ้นเหมือนตอนอยู่บ้านไม้ เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงฟูกนุ่มที่เมื่อคืนทำให้เธอนอนไม่สนิทและตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกเหมือนเดิม
แต่ความรู้สึกแปลกนั้น…กำลังถูกแทนที่ด้วย เป้าหมายที่ชัดขึ้น
“วันที่สองแล้ว” คะน้าพึมพำเบา ๆ พลางเอื้อมมือหยิบปากกาขีดกากบาทบนปฏิทินอีกหนึ่งเส้น หมึกสีดำพาดผ่านเลขวันที่อย่างเรียบง่าย เหลือแปดสิบแปดวัน
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เธอก็เดินลงมาชั้นล่าง กลิ่นกาแฟเข้มข้นลอยมาแตะจมูกเหมือนเมื่อวาน
หลงเฟยนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์เหมือนทุกเช้า เสื้อเชิ้ตสีเข้มปลดกระดุมสองเม็ด ผมเรียบกริบ ท่าทางนิ่งและเยือกเย็น
“เช้า” เขาพูดโดยไม่เงยหน้าจากโทรศัพท์
“ค่ะ เช้า” คะน้าตอบสั้น ๆ แล้วหยิบขนมปังปิ้งที่คุณจินแม่บ้านเตรียมไว้มากินเงียบ ๆ
ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก ทั้งห้องมีเพียงเสียงช้อนกระทบจานและเสียงข่าวเบา ๆ จากโทรทัศน์ แต่ในหัวของคะน้าไม่เงียบเลย ตารางงานที่จดไว้เมื่อคืนแวบเข้ามาในหัวชัดทุกบรรทัด งานร้านกาแฟตอนบ่ายและอีกสามเบอร์ที่เธอจดไว้เผื่อรับจ๊อบเสริม
หลังจากทานอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ร่างบางก็รีบกลับขึ้นห้อง เปิดโทรศัพท์ แล้วเริ่มโทรหาสถานที่ที่เธอจดไว้เมื่อคืน
‘ร้านดอกไม้เต็มแล้วค่ะ’
‘ขอโทษนะคะ เรารับคนพาร์ตไทม์ไว้ครบแล้ว’
เสียงปฏิเสธดังซ้ำ ๆ จนเธอนั่งก้มหน้า มือจิกสายโทรศัพท์จนรั้น
“มันต้องมีสักที่สิ…” คะน้าพูดกับตัวเองเบา ๆระหว่างกำลังเลื่อนหาเบอร์ใหม่ สายตาก็สะดุดกับประกาศเล็ก ๆ ในกลุ่มออนไลน์รับงาน
‘รับสมัครนางแบบฟรีแลนซ์ ถ่ายโปรโมทสินค้าเบื้องต้น ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ พิกัด ใกล้สถานีรถไฟฟ้า / รายได้ 2,000 บาท / งานไม่เกิน 2 ชม.’
นิ้วเรียงสวยของเธอหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตากลมใสมองหน้าจออยู่นานไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเปิดรับงานแบบนี้
แต่ 2,000 บาท สำหรับคนที่ต้องหาเงินภายใน 90 วัน มันไม่ใช่จำนวนน้อยเลย
“ลองดูไม่เสียหาย” คะน้ากระซิบเบา ๆ ก่อนกดโทรออก
เสียงปลายสายเป็นผู้หญิง น้ำเสียงร่าเริง
“สวัสดีค่ะ สนใจงานเหรอคะ? ถ่ายโปรโมตน้ำหอมตัวใหม่ค่ะ ถ่ายแค่ครึ่งตัว ขอแค่หน้าตาดี ไม่ต้องมีประสบการณ์ด้วย”
“ค่ะ ฉันว่างและสนใจค่ะ” คะน้าตอบเสียงเรียบแต่สุภาพ
“ดีเลย พรุ่งนี้บ่ายสองนะคะ เดี๋ยวส่งโลเคชั่นให้”
เมื่อสายตัดไป เธอนั่งนิ่งอยู่บนเตียงชั่วขณะ หัวใจเต้นเบา ๆ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นแต่เพราะเธอกำลัง ตัดสินใจเดินอีกก้าว โดยที่ไม่มีใครรู้
เธอหันไปมองปฏิทินอีกครั้ง
“เหลืออีก 88 วัน…” เรียวปากสีหวานพึมพำเบา ๆ แล้วจดนัดหมายลงในสมุดจดอย่างระมัดระวัง
ลมจากแอร์พัดผ่านปลายผมเบา ๆ คะน้ากอดกระเป๋าผ้าใบเดิมแน่น เหมือนบอกตัวเองว่าไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในโลกของใครเธอก็ยังเป็นเธอ
บ่ายวันนั้น แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างกระจกของลิฟต์ส่วนตัวเป็นเส้นยาว คะน้าใส่เสื้อยืดสีเรียบ กางเกงยีนส์ขายาวสะอาดเรียบร้อย มัดผมเรียบร้อย กระเป๋าผ้าใบเดิมพาดบ่า เธอเดินออกจากเพนส์เฮาต์อย่างเงียบที่สุดโดยไม่ให้ใครสังเกต
“แจ้งคุณจินแล้วนะคะคุณคะน้า” พนักงานที่ล็อบบี้เอ่ยเรียบ ๆ ตอนเธอเดินผ่านล็อบบี้
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” คะน้ายิ้มบาง ๆ แล้วก้าวออกจากประตูหมุน
แสงแดดยามบ่ายกระทบใบหน้าอุ่น ๆ ลมเมืองใหญ่พัดแรงกว่าแถวบ้านเธอเป็นไหน ๆ คนตัวบางยกมือบังตาเบา ๆ ก่อนจะรีบเดินไปขึ้นรถโดยสารที่มุ่งหน้าไปร้านกาแฟ
…
กลิ่นกาแฟหอมหวานตลบอบอวลทันทีที่คะน้าก้าวเท้าเข้าไปในร้านเล็ก ๆ ร้านกาแฟแห่งนี้ไม่ได้หรูหรา แต่มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของลูกค้า กลิ่นอบอุ่นจากเมล็ดกาแฟคั่วสด และแสงแดดลอดผ่านกระจกใสที่ตกกระทบพื้นไม้แบบพอดี
“คะน้า! มาแล้วเหรอ” พนักงานหญิงเมื่อวานรีบเดินมาหาอย่างเป็นมิตร
“ดีจังเลย วันนี้ไม่ยุ่งมาก งั้นเดี๋ยวพี่สอนทำเมนูพื้นฐานก่อนนะ”
“ได้เลยค่ะ” คะน้าตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ได้ยิ้มมาหลายวัน ผมของเธอถูกรวบหางม้าเรียบง่าย ใบหน้าใสสะอาดสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่าย ดูเป็นธรรมชาติจนเจ้าของร้านเหลือบมองแล้วเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย
“จับแก้วแบบนี้ เทนมแบบนี้ แล้วอย่าลืมเช็ดเคาน์เตอร์ให้สะอาดเสมอ”
“ค่ะ”
คะน้าก้มหน้าเรียนรู้ทุกขั้นตอน ไม่ได้รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเร็วแค่ไหน เสียงเครื่องชงกาแฟดังผสมเสียงพูดคุยเบา ๆ ของลูกค้าในร้าน กลายเป็นบรรยากาศที่แตกต่างจากเพนต์เฮาส์ของหลงเฟยอย่างสิ้นเชิง มันมีชีวิตมีคนจริง ๆ อยู่ในนี้
“เก่งจังเลยนะน้องคะน้า วันแรกทำได้ขนาดนี้ถือว่าโอเคเลย” เจ้าของร้านยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ หนู…ชอบกลิ่นกาแฟ” คะน้าตอบเบา ๆ แต่แววตาเป็นประกาย
เธอทำงานจนเกือบหกโมงเย็น ก่อนเจ้าของร้านจะให้กลับก่อนเวลานิดหน่อยเพราะวันนี้ไม่ใช่วันเปิดเต็ม
“พรุ่งนี้มาประมาณเย็น ๆ นะคะน้า”
“ได้เลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” คะน้าโค้งให้เล็กน้อยก่อนสะพายกระเป๋าเดินออกจากร้าน เธอไม่ได้ตรงกลับเพนส์เฮาต์ในทันที แต่ข้ามถนนไปทางที่จะไปตลาดที่เธอคุ้นเคยดี
เสียงผู้คน เสียงรถเข็น เสียงแม่ค้าเรียกลูกค้าดังปะปนกันไปหมด นี่แหละโลกของเธอจริง ๆ และตรงมุมนั้น เธอก็เห็นยายสมพรนั่งอยู่หลังแผงผัก เล็ก ๆ แต่อบอุ่น
“ยาย!” เสียงของคะน้าเบาแต่แฝงความดีใจ ยายสมพรเงยหน้าขึ้นเห็นหลานสาวในชุดเรียบง่าย ยิ้มกว้างทันที
“อ้าวคะน้ามาจริง ๆ ด้วยลูก”
“หนูบอกแล้วไงว่าจะกลับมาช่วยยายขายผัก” เธอรีบเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ หยิบถุงผักมาช่วยขายแบบไม่ต้องรอให้ยายเอ่ยปาก
“ไม่เหนื่อยเหรอลูก กิจกรรมมหาลัยก็เยอะ”
“ไม่เหนื่อยหรอกยาย หนูถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว” เธอยิ้มยิ้มแบบที่ไม่ได้ยิ้มตอนอยู่เพนส์เฮาต์เลยสักครั้ง
อากาศยามเย็นในตลาดไม่ได้เย็นเหมือนเครื่องปรับอากาศ แต่กลับทำให้หัวใจของเธอเบาสบายกว่ามาก คะน้าช่วยยายขายผักไปเรื่อย ๆ พูดคุยกับลูกค้าประจำอย่างคุ้นเคย จนกระทั่งพระอาทิตย์ตก
“กลับดี ๆ นะลูก ดึกมากไม่ดี” ยายสมพรเอ่ยบอกเมื่อเธอเก็บของช่วยเสร็จ
“จ้ะยาย หนูจะโทรมาหาทุกวันนะและเสาร์อาทิตย์หนูจะรีบมาขายของช่วยแต่เช้านะ” คะน้ากอดยายเบา ๆ กลิ่นสบู่เก่า ๆ กับกลิ่นผักที่คุ้นเคยเหมือนซึมเข้ามาในใจ
เท้าเล็ก ๆ ก้าวออกจากตลาดด้วยความรู้สึกที่ต่างจากตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง วันนี้เธอได้ทำอะไรจริง ๆ เพื่อเป้าหมายของตัวเอง
เสียงบัตรแตะประตูล็อบบี้ติ๊ดดังเบา ๆ ตอนที่เธอกลับมาถึงเพนต์เฮาส์ สองเท้าเล็กเดินเงียบ ๆ เข้าลิฟต์ กลับขึ้นห้องเหมือนทุกอย่างเป็นแค่วันธรรมดาอีกวันหนึ่ง
แต่เธอรู้ดีว่ามันไม่ธรรมดาเลย
“อีกก้าวหนึ่งแล้วคะน้า” คะน้าพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอกระทบกระจกใสในลิฟต์ ทิ้งรอยจาง ๆ ไว้เหมือนคำสัญญาที่ไม่มีใครได้ยิน