เสียงประตูลิฟต์ปิดติ๊งดังเบา ๆ ขณะทั้งสองคนยืนอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ หลงเฟยยืนอยู่ด้านหน้า ตัวสูงตรงไม่ขยับ ส่วนคะน้ายืนเงียบอยู่ข้างหลัง ความเงียบในลิฟต์หนาแน่นจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศเบา ๆ เหมือนเสียงลมหายใจของใครบางคน
พอประตูลิฟต์เปิดออก ก็ปรากฏภาพโถงทางเข้าของบริษัทที่เต็มไปด้วยผู้คนในชุดทำงานเรียบหรู ทุกสายตาเหลือบมองมาที่หลงเฟยและเด็กสาวที่เดินตามหลังเขาไม่พูด แต่มองแบบรู้ว่าใครอยู่เหนือใคร
คะน้ากำสายกระเป๋าบนบ่าแน่น หัวใจเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาที่เหมือนกำลังตัดสินเธอโดยไม่ต้องพูดแม้แต่คำเดียว
เสียงเปิดประตูรถหรูแกร๊กดังขึ้น รถสีดำมันวาวจอดนิ่งอยู่หน้าตึกเหมือนรอเจ้านายมานานแล้ว คนขับเปิดประตูให้ทันทีเมื่อเห็นหลงเฟยก้าวออกมา
“ขึ้นรถ” คนตัวสูงพูดเสียงเรียบ ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำราวกับคะน้าเป็นนักโทษ
คะน้าเม้มปากแน่น ก่อนจะก้าวตามเขาเข้าไปนั่งในรถเบาะหนังด้านหลัง ประตูปิดลงเสียงข้างนอกก็เงียบหายไป เหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์นุ่ม ๆ ที่ดังคลอเบา ๆ
ภายในรถมีกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ เย็นและสะอาด ต่างจากกลิ่นดิน กลิ่นผัก กลิ่นตลาดที่เธอคุ้นเคยเหมือนอยู่คนละโลก โลกที่ไม่มีที่ให้กลิ่นชีวิตแบบเธออยู่เลย
หลงเฟยนั่งไขว่ห้างอยู่ฝั่งข้าง ๆ เงียบ นิ่ง สายตาจ้องไอแพดในมือ เหมือนไม่มีเธออยู่ในรถคันนี้ด้วยซ้ำ แต่ความนิ่งนั้นกลับกดบรรยากาศในรถให้หนักเหมือนมีบางอย่างทับอยู่บนอก
คะน้าสูดลมหายใจเบา ๆ พยายามไม่ให้มือที่จับกระเป๋าสั่น เธอไม่ใช่คนกลัวง่ายแต่บรรยากาศในรถทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียวเหนือเหวลึก
ดวงตากลมมองออกไปนอกหน้าต่าง รถหรูเคลื่อนไปเรื่อย ๆ ไปสู่ถนนใหญ่ ใต้ตึกสูงระฟ้า ทุกสิ่งรอบตัวเหมือนกำลังบอกเธอว่า เธอกำลังห่างจากโลกของตัวเองออกไปทีละเมตร ทีละก้าว
“ถ้ากลัวตอนนี้ก็จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” คะน้าคิดในใจ
“เธอพูดน้อยนะวันนี้ ไม่ปากดีเหมือนวันนั้น” เสียงทุ้มต่ำของหลงเฟยดังขึ้นกะทันหัน ทำให้คะน้าหันกลับมามองอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด” เธอตอบเสียงเรียบ
“หรือเพราะกลัว” น้ำเสียงหลงเฟยไม่ได้เย้ย แต่เรียบเฉยจนยิ่งกดดัน
“ฉันไม่ได้กลัว” คะน้าตอบกลับทันที น้ำเสียงนิ่งแต่ชัด ดวงตากลมใสมองเขาตรง ๆ
หลงเฟยมองคะน้าเงียบ ๆ อยู่สองวินาที ก่อนจะหันกลับไปมองนอกหน้าต่างทางฝั่งตัวเอง รอยยิ้มบางที่ไม่แตะดวงตาแว่บขึ้นมานิดเดียว เหมือนนักล่าที่เพิ่งเห็น เหยื่อที่กัดฟันสู้แทนที่จะหนี
“ฮึ! ดี” เขาพูดเพียงคำเดียว แล้วรถก็ค่อย ๆ แล่นต่อไปบนถนนใหญ่
คะน้าเบือนหน้ากลับไปมองข้างทางอีกครั้ง ถนนที่ทอดยาวเหมือนเส้นทางที่ไม่มีทางรู้ว่าจะจบตรงไหน แต่ภายในใจเธอเริ่มตั้งมั่นทีละนิด
“ฉันอาจไม่ได้เป็นคนกำหนดกติกาแต่ฉันจะไม่ใช่คนถูกลากไปโดยไม่สู้แน่”
รถหรูแล่นผ่านถนนใหญ่เข้าเขตเมืองชั้นในที่รายล้อมด้วยตึกสูงและแสงไฟสะท้อนกระจกบานยักษ์ ก่อนจะชะลอความเร็วลงหน้าอาคารสูงตระหง่านแห่งหนึ่ง ป้ายชื่อคอนโดถูกประดับด้วยรูปมังกรและตัวอักษรสีทองเรียบหรู เงาสะท้อนของมันวับแวมราวกับประกาศให้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนธรรมดา…
รถจอดเทียบหน้าทางเข้า พนักงานชุดสูทรีบเข้ามาเปิดประตูให้ หญิงสาววัยสิบเก้าปีก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าผ้าใบเก่าที่สะพายมาตลอด ทันทีที่สองเท้าเล็กแตะพื้น ความแตกต่างก็เหมือนซัดเข้ามาเป็นระลอก
พื้นหินอ่อนสะอาดสะท้อนเงาเธอได้ชัดเจน รปภ. ในชุดเรียบร้อยโค้งตัวทักทาย พนักงานต้อนรับหญิงสองคนยืนยิ้มบาง ๆ อยู่ด้านข้าง แต่อารมณ์ของสถานที่เย็นเยือกและเป็นระบบจนน่ากลัว
หลงเฟยเดินนำโดยไม่พูดอะไร เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองว่าคะน้าจะเดินตามมาทันหรือเปล่า เพราะในโลกของเขา ไม่มีคำว่า ‘รอ’ ถ้าไม่จำเป็น
คะน้ากัดริมฝีปากแน่น เดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัว เสียงประตูลิฟต์ปิดดังติ๊ง แล้วเงียบสนิท มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ของลิฟต์เบา ๆ กับจังหวะหัวใจของเธอที่เต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“ชั้นบนสุด” หลงเฟยพูดเสียงเรียบ
คะน้าเหลือบตาขึ้นมองแผงตัวเลข มันขึ้นพรวดเดียวไปจนถึงชั้นสูงเกินตึกไหนที่เธอเคยขึ้นมาในชีวิต
เมื่อมาถึงประตูเปิดออก เบื้องหน้าเป็นห้องเพนต์เฮาส์ขนาดใหญ่ ผนังกระจกใสรอบด้านเผยวิวเมืองยามค่ำที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับราวกับกล่องแก้วที่ถูกแขวนอยู่บนท้องฟ้า
พื้นกระเบื้องสีเข้ม เฟอร์นิเจอร์หรูทุกชิ้นถูกจัดวางอย่างเรียบแต่เฉียบ ภายในไม่มีกลิ่นของบ้าน มีเพียงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ และอากาศเย็นจัดจากแอร์ที่เปิดคงที่
คะน้ายืนนิ่งอยู่ตรงประตู มือจับสายกระเป๋าแน่นกระเป๋าใบเก่าที่เคยพาเธอไปตลาด ไปมอบตัวที่มหาวิทยาลัย กลับดูเล็กจิ๋วและไม่เข้ากับที่นี่เลยแม้แต่นิด
“นั่นห้องของเธอ” หลงเฟยชี้ไปยังประตูห้องด้านในบนชั้นสอง เสียงเรียบไม่เย็นแต่ไม่เปิดช่องให้ลังเล
“ถ้ามีอะไรที่เธอไม่เข้าใจ ก็ถามคุณจินคนดูแลที่ฉันจัดไว้ให้ แต่คุณจินจะเข้ามาที่นี่เป็นเวลา”
คะน้าเบือนสายตาไปมองรอบห้องอีกครั้ง ทุกอย่างเรียบ หรู เย็นเหมือนอยู่ในกล่องแก้วที่ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีความอบอุ่นเหมือนบ้านไม้ของยายเลย
“อีกอย่าง” เสียงของหลงเฟยดังขึ้นข้างหลัง จนคะน้าหันกลับมา
“ของเก่า ๆ เสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนั้นที่เธอเอามา” เขาเหลือบตามองกระเป๋าผ้าในมือเธออย่างไม่ปิดบังความรำคาญ
“ฉันไม่ชอบ”
“ไม่ชอบอะไร?” คะน้าขมวดคิ้วเสียงเธอนิ่งแต่มีแววขัดใจแผ่วเบา
“ฉันไม่อยากให้ข้าวของพวกนั้นรกสายตาฉัน” เขาพูดตรง ๆ ราวกับกำลังจัดการเฟอร์นิเจอร์ ไม่ใช่ความรู้สึกของคนคนหนึ่ง
“พรุ่งนี้จะมีคนเอาเสื้อผ้าใหม่มาให้ เธอไม่จำเป็นต้องขนของเก่าพวกนั้นขึ้นมาอีก”
“และที่สำคัญ เวลาพูดกับฉันต้องมีหางเสียง”
คำพูดของเขาเย็นและชัดเหมือนมีเส้นบาง ๆ ถูกขีดไว้ว่าโลกของฉันไม่มีที่ให้สิ่งแบบเธอ
คะน้ากำสายกระเป๋าแน่นขึ้น ความรู้สึกบางอย่างแทรกขึ้นมาระหว่างอกมันทั้งขมทั้งเจ็บแต่เธอกลับยืนตัวตรงกว่าเดิม
“ของพวกนี้อาจจะดูไร้ค่าในสายตาคุณ” ร่างบางพูดเสียงเรียบ
“แต่มันเป็นของฉัน”
“แต่ฉันไม่ชอบ” หลงเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดแทรกขึ้นมา
“และควรพูดให้มีหางเสียง”
“ฉันจะขอเก็บมันไว้ ไม่ให้เป็นภาระสายตาคุณ” คะน้าพูดจบแล้วมองเขาเต็มตาสายตาไม่ได้ท้าทาย แต่นิ่งและหนักแน่นพอจะบอกว่าเธอจะไม่ยอมให้เขากำหนดทุกอย่างทั้งหมด
“…”
“ค ค่ะ”
บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิทชั่วขณะ สายตาคมของเขาหยุดอยู่บนใบหน้าเรียวเล็กนั้นนานกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงหัวเราะแบบนักล่าที่ไม่ได้แพ้ แต่เริ่มสนใจในเหยื่อที่ไม่ยอมหมอบ
“อืมดี” เขาพูดสั้น ๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นชั้นสองตรงไปห้องของเขา ปล่อยให้ประตูปิดเบา ๆ ตามหลัง
คะน้ายืนนิ่งอยู่กลางห้องกว้าง ปลายนิ้วเธอกำกระเป๋าผ้าแน่น ดวงตากลมใสสะท้อนแสงไฟของตึกเมืองใหญ่
“คุณอาจไม่ชอบของพวกนี้แต่นี่มันคือชีวิตของฉัน” คะน้าคิดในใจชัดถ้อยชัดคำ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกันใต้หลังคาเดียวกับมังกร ที่เธอสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันยอมถูกเขากลืน