แสงแดดเช้าส่องลอดผ่านม่านโปร่งของเพนต์เฮาส์ลงมาแตะปลายเท้าของคะน้า กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ และอากาศเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศทำให้เธอลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก
เตียงที่เธอนอนนุ่มเกินไป…ต่างจากฟูกบาง ๆ ที่บ้านไม้จนทำให้เธอนอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน
“นี่มันไม่ใช่ที่ของฉัน…” คะน้าคิดในใจเบา ๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง
ม่านโปร่งสีครีมขยับเบา ๆ ตามแรงลมที่ลอดเข้ามา เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องอีกครั้ง ทุกอย่างในนี้ดูหรู ดูเรียบ และดูเย็น…จนเหมือนไร้ชีวิต
“ตื่นแล้วสินะคะคุณคะน้า”
เสียงคุณจินคนดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง เธอเปิดเข้ามาพร้อมถาดอาหารเช้าและถุงเสื้อผ้าชุดใหม่วางไว้บนเก้าอี้
“คุณเฟยให้เตรียมไว้ให้ค่ะ ตั้งแต่วันนี้คุณจะได้รับอาหารตรงเวลา 8 โมงเช้า อาหารเย็น 6 โมงเย็น ถ้าจะออกไปไหนต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงค่ะ”
“แจ้ง…? เหรอคะ” คะน้าทวนคำช้า ๆ
คุณจินยิ้มสุภาพแต่เป็นยิ้มที่มีกรอบชัดเจน
“ค่ะ นี่เป็นกฎของคุณเฟยค่ะ”
คะน้านิ่งไปชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าเบา ๆ เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีเชือกเส้นบาง ๆ มาพันรอบตัวเธออีกเส้นหนึ่งแล้ว
สายตาเธอเหลือบไปเห็นถุงเสื้อผ้าสีขาววางอยู่ข้างเตียง ผ้าที่โผล่ออกมาเป็นผ้าฝ้ายเรียบ เนี้ยบ และแพงจนไม่ต้องเดาก็รู้ว่า…ไม่ใช่สไตล์ของเธอเลยแม้แต่นิด
“ของเก่า ๆ เสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนั้น ฉันไม่ชอบ” คำพูดของเขาเมื่อวานยังก้องในหัว
คะน้าเม้มปากแน่น เธอไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้รีบแตะถุงนั้นด้วยซ้ำ
…
กลิ่นกาแฟขมอ่อน ๆ ลอยมาแตะปลายจมูกทันทีที่เธอก้าวลงบันได หลงเฟยนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์บาร์สูง ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีเข้มยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างนิ่งสงบ
เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้น…แต่เธอรู้ว่าเขารู้ว่าเธอลงมา
“ตื่นสาย” เขาพูดเรียบ
“ยังไงก็ไม่ถึงสิบโมง… ค่ะ” คะน้าตอบเสียงนิ่งเช่นกัน
เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองเธอแวบหนึ่ง ก่อนมุมปากจะกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“เธอกล้าเถียงฉันตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”
“ฉันแค่พูดความจริงค่ะ” เธอยกคางนิด ๆ อย่างไม่รู้ตัว
คำว่าค่ะของเธอดูเหมือนจะไม่เต็มใจพูดเท่าไหร่นัก…
บรรยากาศระหว่างทั้งสองขมุกขมัวด้วยความตึงที่ไม่มีเสียงใด ๆ ตามมา
หลงเฟยไม่ใช่คนชอบพูดซ้ำ…แต่เธอก็ไม่ใช่คนยอมก้มหัวง่าย ๆ เช่นกัน
“อีกเรื่องค่ะ” คะน้าพูดขึ้น
“อะไร”
“ทุกวัน ฉันขอกลับไปช่วยยายขายผักนะคะ” เธอมองหลงเฟยตรง ๆ
เขาวางแก้วกาแฟลงช้า ๆ ก่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แววตาคมกริบจ้องเข้ามาโดยไม่พูดสักคำ
หนึ่งวินาที…
สองวินาที…
สามวินาที…
“ตราบใดที่มันไม่รบกวนแผนของฉัน…” หลงเฟยคิดในใจและนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบจ้องเธอเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักบางอย่างในใจ ก่อนจะพูดเรียบ
“ฉันเข้าใจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” คะน้าพูดเบา ๆ แต่มั่นคง
…
บ่ายวันเดียวกัน
คะน้านั่งอยู่ปลายเตียง กระเป๋าผ้าใบเดิมวางข้างตัว มือเธอเปิดสมุดจดเล่มเล็กที่พกติดตัวมาตลอด
เธอเริ่มขีดเขียนตัวเลข 400,000 บนหน้ากระดาษแล้ววงกลมมันไว้
“90 วัน…ฉันต้องหาเงินให้ได้” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
มือเล็กเปิดโทรศัพท์หางานพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือรับจ้างทั่วไป เธอเลื่อนหน้าจอไปเรื่อย ๆ พร้อมจดเบอร์โทรไว้ในสมุดอย่างเป็นระบบ
“ฉันไม่ใช่คนที่คุณจะสั่งให้ยืนเฉย ๆ แล้วรอหมดเวลาได้หรอกนะ หลงเฟย” เธอคิดในใจ
เสียงประตูกระจกของล็อบบี้ปิดลงเบา ๆ ด้านหลัง ร่างเล็กในเสื้อยืดเรียบกางเกงยีนส์ดูดีกว่าปกติก้าวออกไปบนถนนเย็นย่ำของเมืองใหญ่
แสงไฟจากตึกสูงเริ่มเปิดทีละดวง ทาบเงาของเธอลงบนพื้นซีเมนต์ยาวเหยียด
คะน้าเปิดโทรศัพท์ดูเบอร์ที่จดไว้ในสมุด เธอตัดสินใจตรงไปยังร้านกาแฟเล็ก ๆ ย่านตลาดกลางเมืองจุดที่ดูปลอดภัยที่สุด เพราะมันไม่ไกลจากที่เธออ้างกับเขาไว้ว่า จะกลับไปช่วยยายขายผัก
“เริ่มกันเลย…” คะน้าพูดเบา ๆ
…
เสียงกระดิ่งเหนือประตูร้านกาแฟดังกรุ๊งกริ๊งทันทีที่เธอผลักประตูเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นตลบอบอวลในร้านเล็ก ๆ ที่ดูอบอุ่นผิดกับตึกสูงของหลงเฟยอย่างสิ้นเชิง
“สวัสดีค่ะ มาสมัครงานเหรอ?” พนักงานหญิงวัยยี่สิบปลาย ๆ ทักขึ้นทันที
“ใช่ค่ะ พอดีหนูเห็นป้ายรับสมัคร” คะน้าตอบเรียบ
หลังจากนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เจ้าของร้านสัมภาษณ์เธอสั้น ๆ พอเห็นเวลาว่างของเธอตรงกับที่ร้านต้องการก็รับเธอไว้ทันที
“เริ่มพรุ่งนี้ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
“ดีเลย งั้นมาลองงานพรุ่งนี้ตอนเย็น พี่อยากได้คนขยันแบบเธอพอดีเลย” เจ้าของร้านยิ้ม และเสียงตอบรับง่าย ๆ จากเจ้าของร้านเหมือนเปิดประตูให้เธอก้าวออกจากโลกของหลงเฟยสักนิดหนึ่ง
“นี่ไง…ก้าวแรกของฉัน”
หลังจากสัมภาษณ์งานเรียบร้อยคะน้าใช้เวลาเดินทางกลับช้า ๆ ให้เนียนเหมือนคนเพิ่งกลับจากตลาด
ลมเย็นพัดเบา ๆ ขณะเธอยกมือแตะบัตรเข้าอาคาร เสียงประตูล็อบบี้ดังติ๊ดก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเงียบที่สุด
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ร่างสูงในชุดเชิ้ตปลดกระดุมสองเม็ดก็ยืนพิงกรอบประตูเหมือนคนที่รู้ว่าเธอกำลังมา
หลงเฟยมองเธอด้วยสายตานิ่ง ๆ มือถือแก้วไวน์แกว่งเบา ๆ
“ไปไหนมา” เสียงทุ้มต่ำถามโดยไม่เร่ง
คะน้าเงยหน้ามองเขา ดวงตาไม่หลบ
“ไปช่วยยายขายผักค่ะ” เธอตอบเรียบง่าย
เขาไม่ได้ถามต่อทันที แค่จ้องอยู่นานสองวินาที…ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากบาง ๆ
“เด็กดีจริง ๆ” เขาพูดเบา ๆ ราวกับพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเธอ
นั่นแหละ…จุดที่เขาพลาด
เขากำลังประเมินเธอต่ำว่าเป็นเด็กบ้าน ๆ ที่ซื่อจนไม่มีทางดิ้นหลุดจากขอบเขตที่เขาวางไว้…
แต่สัญชาตญาณบางอย่างในสายตาคมนั้นกลับบอกว่า เขาอาจเริ่มจับได้เล็กน้อย ว่าเด็กคนนี้…ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“พรุ่งนี้ถ้าออกอีก แจ้งคุณจินไว้ด้วย” หลงเฟยพูดทิ้งท้ายเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป
คะน้ายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ปลายนิ้วเธอกำสายกระเป๋าแน่น ดวงตากลมใสสะท้อนแสงไฟในเพนต์เฮาส์
“คุณประมาทฉันเองนะ…หลงเฟยฉันอาจไม่แข็งแรงเท่าคุณ แต่ฉันไม่ใช่คนที่จะยืนเฉย ๆ แล้วให้คุณบีบจนหมดลมหายใจได้หรอก”คะน้าพูดในใจ
จากนั้นเธอก็รีบเดินกลับเข้าห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครรู้…นอกจากเธอ ว่าวันพรุ่งนี้เธอจะเริ่มหาเงินกลับมาด้วยมือของตัวเอง…
ภายในห้องเพนต์เฮาส์ที่เงียบสนิท แสงไฟจากเมืองลอดเข้ามาทาบพื้นกระเบื้องเป็นลายยาว
คะน้าวางกระเป๋าผ้าเบา ๆ ลงบนโซฟาเบดในห้อง ลมหายใจที่กลั้นมาตลอดทางค่อย ๆ ผ่อนออก เธอถอดเสื้อคลุมพาดไว้บนพนัก พาร่างตัวเองไปยืนริมกระจกบานใหญ่ มองแสงเมืองที่พร่างพราวอยู่ไกลสุดตา
ในเขตเมืองนี้ไม่สนใจว่าเธอเป็นใคร…แต่ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เธออยู่เหมือนกัน
“เหนื่อยชะมัด…” เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง เสียงเบาจนแทบกลืนไปกับอากาศเย็น หันกลับมาที่โต๊ะขณะมือเล็กยื่นไปใช้ปากกาขีดกากบาททับปฏิทินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
วันที่หนึ่ง…ผ่านไปแล้ว
เส้นหมึกสีดำที่ลากพาดผ่านตัวเลขเหมือนเส้นเวลาที่กำลังหายไปทีละวัน มันเรียบง่าย แต่กลับบีบแน่นตรงกลางอกอย่างบอกไม่ถูก
“เหลือ…แปดสิบเก้าวัน” เธอพึมพำเบา ๆ ดวงตาไม่ละจากปฏิทิน
คะน้าปล่อยปากกาลงบนโต๊ะเบา ๆ แล้วนั่งพิงหลังกับพนักเสียงแอร์ยังคงดังสม่ำเสมอในความเงียบ เธอยกมือแตะกระจกเย็นเฉียบ ปลายนิ้วไล้ไปตามผิวเรียบใสอย่างไม่มีจุดหมาย ความคิดวนอยู่ในหัว
ตัวเลข 400,000 วนซ้ำไม่หยุดมันไม่ใช่เงินก้อนเล็กสำหรับเธอเลยสักนิด แต่เธอก็รู้…ว่ามันต้องทำให้ได้
“ยังไงก็ต้องหาให้ทัน…” ร่างบางพูดช้า ๆ เหมือนกลัวใครมาได้ยิน ทั้งที่ในห้องนี้มีเพียงเธอคนเดียว ก่อนจะเดินไปนั่งเอนตัวพิงโซฟาเบดในห้องพลางหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก
เสียงเมืองข้างล่างแผ่วเบาเหมือนอยู่คนละโลกกับห้องนี้ ห้องที่เย็น เรียบ และไม่มีความอบอุ่นแม้แต่นิดเดียว
“ให้แค่ 90 วัน” คะน้าพูดกับตัวเอง น้ำเสียงไม่ได้สั่น ไม่ได้เข้มข้น แต่แน่นพอให้รู้ว่าเธอจำทุกคำที่หลงเฟยพูดได้แม่นยำ
มือเล็กดึงผ้าม่านปิดแสงเมืองออกจากสายตา ค่อย ๆ เดินกลับมาที่โซฟาเบดตัวเดียวในห้อง แล้วทรุดตัวลงนั่ง กอดกระเป๋าผ้าไว้แน่นเหมือนมันเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้
“ฉันต้องรอด…” เธอพูดเบา ๆ กับความมืดลมเย็นจากแอร์พัดผ่านผมเธอเบา ๆ
เมืองข้างนอกยังไม่หลับ และคะน้าก็ยังไม่อาจหลับได้เหมือนกัน เพราะตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป…เธอจะเริ่มลุกขึ้นสู้ในมุมเงียบของเธอ โดยที่ไม่ให้มังกรบนหอคงไม่รู้ตัว