เช้าวันใหม่ที่ความรู้สึกไม่เหมือนทุกวัน แสงอาทิตย์อ่อน ๆ และสายลมเย็น ๆ พัดลอดผ่านหน้าต่างไม้เก่ากระทบใบหน้าเรียวใสของคะน้า แต่กลับไม่สามารถละลายความหนักอึ้งในใจที่แบกมาจากเมื่อคืนได้เลย
คะน้าลืมตาขึ้นช้า ๆ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องเรียนต่อ ไม่ใช่เรื่องยาย แต่คือ…
“เฮ้อ… นี่ฉันต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นจริงเหรอ”
คนตัวบางลุกขึ้นนั่งบนเตียงเก่า เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดเบา ๆ ดังตามจังหวะการขยับตัว แสงแดดที่ส่องเข้ามาในเช้านี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนเคย แต่มันคือแสงของเช้าวันใหม่ที่เธอต้องเตรียมตัวเดินหน้าเข้ากรงมังกรโดยไม่มีสิทธิ์ถอยหลัง
กลิ่นข้าวต้มที่ยายสมพรกำลังต้มลอยมาแตะจมูก ของเธอ ยายยังคงเหมือนเดิมไม่รู้เลยว่าหลานสาวของตัวเองได้ทำข้อตกลงกับมังกรตัวใหญ่ไปแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอคะน้า” เสียงของยายดังมาจากครัว
“จ้ะยาย” คะน้าตอบเสียงเรียบ ก่อนจะลุกขึ้นมาแต่งตัว ถักเปียผมลวก ๆ เหมือนทุกวัน แต่แววตาในกระจกไม่เหมือนเดิม มันไม่มีความใสซื่อแบบเดิมอีกแล้ว
“วันนี้…ฉันต้องเริ่มขยับแล้ว”
พูดจบเธอรีบเดินไปนั่งกินข้าวกับยายเงียบ ๆ แม้จะยิ้มให้ยายเหมือนเดิม แต่ภายในกลับเหมือนมีเสียงนาฬิกานับถอยหลังดังในหัว
จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ หลังล้างถ้วย คะน้าเดินออกมาหน้าบ้าน สายตาเธอมองไปทางใจกลางเมือง…ที่ซึ่งเป็นทางของตึกสูงบริษัทของหลงเฟยตั้งตระหง่านราวกับปราสาทของมังกร
“ฉันกำลังจะก้าวเข้าไปในกรงของคุณ…แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเป็นแค่คนที่อยู่ในนั้นเฉย ๆ แน่หลงเฟย”
พูดจบคนตัวบางก็รีบเดินกลับเข้าบ้าน อาบน้ำแต่งตัว เมื่อเสร็จสายตากลมใสจึงกวาดมองห้องไม้เก่าอย่างเงียบงัน ตู้ไม้ใบเล็กที่ยายใช้มาตั้งแต่สมัยยังสาว ผ้าม่านซีดจางที่ถูกแดดเลียมาหลายสิบปี และโต๊ะเตี้ย ๆ ที่เป็นทั้งที่ทำการบ้านและพับผัก
เธอเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าไม่กี่ชุด พับเรียบ ๆ แล้วใส่ลงในกระเป๋าผ้าใบเดิมที่ใช้มาตลอด มันไม่ใช่กระเป๋าใบสวย แต่เป็นใบที่เธอใช้สะพายไปมอบตัวที่มหาลัย และตอนไปช่วยยายขายผัก และ…ตอนนี้ มันกำลังจะกลายเป็นกระเป๋าที่พาเธอออกจากบ้านหลังนี้
“ขอโทษนะยายที่หนูต้องโกหก…” คะน้าพูดคนเดียวเบา ๆ
“คะน้า ทำอะไรอยู่น่ะลูก” เสียงยายสมพรดังมาจากหน้าครัวอีกครั้ง
“เก็บของนิดหน่อยจ้ะยาย” เธอตอบกลับเสียงเรียบ พยายามกลั้นใจไม่ให้สั่น
“จะไปไหนเหรอ” ยายเดินเข้ามาใกล้ มือเหี่ยวย่นถือผ้าขี้ริ้วเปียกที่เพิ่งเช็ดโต๊ะ
“เอ่อ…ช่วงนี้ที่มหาลัยจัดอบรมเยอะน่ะยาย ก่อนจะเปิดเทอม หนูเลย…ต้องเข้าไปอยู่หอเพื่อนใกล้ ๆ มหาลัย” คะน้าวางกระเป๋าลง ขยับยิ้มบาง ๆ เสียงของเธอนิ่ง เรียบ เหมือนคนซ่อนบางอย่างไว้ข้างใน
“อืม…ก็ดีแล้วลูก ตั้งใจเรียนเข้าไว้นะ ยายอยากเห็นคะน้ามีอนาคตดี ๆ ไม่ต้องมาลำบากเหมือนยาย” ยายสมพรพยักหน้าเบา ๆ แม้ดวงตาจะมีรอยกังวลแฝงอยู่
“จ้ะยาย หนูสัญญาเลย” คะน้ายิ้มพยายามกลบเสียงหัวใจที่เต้นแรง เธอเดินเข้าไปกอดยายแน่น กลิ่นสบู่ราคาถูกและกลิ่นข้าวต้มที่คุ้นเคยโอบรัดเธอไว้เหมือนอ้อมแขนของบ้าน
“จะไปนานไหมลูก” หญิงชราถามเสียงแผ่ว ๆ
“ไม่นานหรอกยาย หนูจะโทรมาหายายทุกวันเลย เดี๋ยววันหยุดหนูจะกลับมาขายผักช่วยยายนะ” เธอตอบทั้งที่หัวใจหนักเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับไว้ พูดจบคะน้ารีบก้มลงเก็บกระเป๋าขึ้นพาดบ่า ก่อนจะหันกลับมามองบ้านไม้ทั้งหลังอีกครั้ง บ้านที่มีแต่ความทรงจำของเธอกับยาย
….
เสียงเบรกของรถสองแถวค่อย ๆ จางลงด้านหลัง เมื่อสองเท้าเล็กก้าวลงแตะพื้นซีเมนต์เรียบเย็น หน้าอาคารสูงตระหง่านบริษัทหลงเฟยตั้งชูเด่นเหนือสิ่งอื่นใดรอบข้าง กระจกสีเข้มสะท้อนแสงแดดยามสายจนแทบแสบตา
ความแตกต่างระหว่างบ้านไม้กับตึกตรงหน้าเหมือนคนละโลก โลกที่ไม่ใช่ของเธอ แต่วันนี้…เธอกำลังจะก้าวเข้าไป
คะน้ายืนมองตึกสูงตรงหน้าอยู่นาน ก่อนจะยกมือขึ้นกำสายกระเป๋าผ้าบนบ่าแน่น กระเป๋าที่บรรจุชีวิตทั้งหมดของเธอไว้ข้างใน
ตึกตัก… ตึกตัก… ตึกตัก…
หัวใจเต้นแรงแต่ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น แต่เป็นเพราะรู้ดีว่าจากวินาทีนี้ ทุกก้าวต่อไปจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เสียงเปิดประตูอัตโนมัติดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวเข้าไป ลมแอร์เย็นเฉียบพัดเข้ามากระแทกผิว ความแตกต่างระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในราวกับเดินข้ามเส้นแบ่งเขต พื้นหินอ่อนขาวสะอาดสะท้อนเงาร่างของเธอเหมือนบอกว่า ที่นี่ไม่มีที่ให้พลาด
ผู้คนในล็อบบี้แต่งตัวเรียบหรู พนักงานชุดสูทเดินไปมาด้วยจังหวะมั่นใจ ไม่มีใครสนใจเด็กสาวในเสื้อยืด กางเกงยีนส์ และกระเป๋าผ้าเลยสักคน
แต่คะน้ารู้ว่าสายตาหลายคู่กำลังประเมินเธออยู่เงียบ ๆ
“คุณคะน้าใช่ไหมคะ?” เสียงสุภาพของพนักงานต้อนรับดังขึ้น
“ค่ะ” คะน้าตอบเสียงเรียบ ดวงตาไม่หลบ
พนักงานเหลือบดูรายชื่อบนหน้าจอ ก่อนเงยหน้ากลับมาพูดด้วยน้ำเสียงมาตรฐานที่ไม่เปิดพื้นที่ให้ลังเล
“คุณหลงเฟยแจ้งไว้แล้วค่ะ เชิญขึ้นชั้นบนสุด มีคนรออยู่”
คำว่าชั้นบนสุดทำให้คะน้าหายใจเข้าช้า ๆ เธอไม่ได้กลัว เธอแค่กำลังเตรียมใจให้มั่นคงที่สุด
เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์ เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ ดังขณะตัวเลขไฟสีแดงเปลี่ยนขึ้นไปทีละชั้น 15… 28… 40… 45… จนถึง ชั้นบนสุด
เสียงติ๊งดังขึ้นเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก
เบื้องหน้าเป็นโถงทางเดินกว้างขวาง ผนังสีเข้มตัดกับกระจกใสที่เผยให้เห็นวิวเมืองจากมุมสูง โต๊ะประชุมไม้โอ๊คตั้งตระหง่านกลางพื้นที่เงียบสงัด ทุกอย่างเรียบหรู เยือกเย็นและไม่มีความอบอุ่นแม้แต่นิด กวาดสายตาที่โซฟาหน้ากระจกบานใหญ่ ร่างสูงในสูทสีดำกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่
‘หลงเฟย’
“มาตรงเวลาดี” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นโดยไม่ต้องเงยหน้ามอง
“คุณเป็นคนบอกเวลาเอง” คะน้าตอบเสียงนิ่ง สายตาไม่ยอมหลบ
“ดี ฉันไม่ชอบคนผิดนัด” หลงเฟยพูดพลางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
ดวงตาคมกริบจ้องมาโดยไม่เร่งรีบ น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดัง ไม่แข็ง แต่หนักพอให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกกดให้อยู่ในกรอบ
ด้านคะน้าเมื่อได้ยินหลงเฟยพูดเช่นนั้น เธอก็ขยับยืนให้มั่น ยกคางขึ้นนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว ท่าทีเล็ก ๆ ที่ทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดเดียว คล้ายจะพอใจ
“วันนี้ไม่มีอะไรให้เซ็น” หลงเฟยพูดพลางลุกขึ้นยืน รูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำเรียบทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาหนักขึ้นทันที
“มีแต่ที่ที่เธอต้องไป”
“ที่ไหน” คะน้าขมวดคิ้ว
“เพนส์เฮาต์ของฉัน” คำตอบนั้นหลุดออกมาเรียบง่ายราวกับเป็นเรื่องปกติของชีวิต แต่สำหรับเธอ มันไม่ใช่เลย
“ฉันไปเองได้ ขอแค่บอกที่อยู่ฉันมา” ร่างบางรีบสวนทันที น้ำเสียงแข็งกว่าที่ตั้งใจ
“ไม่ได้” หลงเฟยตอบทันที น้ำเสียงเยือกเย็นพอจะตัดทางทุกความพยายามต่อต้าน
“ตั้งแต่วันนี้ เธอจะอยู่ในสายตาฉันตลอดเวลา ฉันไม่มีเวลามานั่งตามหาเธอทุกวัน”
คะน้าเม้มปากแน่น ความรู้สึกต้านแล่นขึ้นมาในอกทันที แต่ยังคงยืนนิ่งไม่ถอย
“ฉันมีข้อเสนอหนึ่งข้อ”
“ข้อเสนอ?” หลงเฟยทวนคำ น้ำเสียงเรียบและนิ่งราวกับกำลังฟังอะไรเล่น ๆ
“ทุกวันฉันต้องได้กลับไปช่วยยายขายผักหาเงิน” คะน้าพูดชัดถ้อยชัดคำ
“ยายฉันอยู่คนเดียว ถ้าฉันหายไปทั้งเก้าสิบวัน…ร้านมันจะไม่ไหว”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ไม่อ้อนวอน ไม่ขอร้องแต่หนักแน่นและมั่นใจ เหมือนคนที่ไม่คิดจะถอยทั้งหมด
หลงเฟยเลิกคิ้วช้า ๆ ความสนใจในดวงตาคมเข้มของเขาไหววูบเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงนั้นเย็นและคล้ายจะดูแคลน
“เธอกำลังต่อรองกับฉันงั้นสิ”
“ใช่” คะน้าตอบกลับทันทีโดยไม่ลังเล
“ถ้าคุณอยากให้ฉันทำตามข้อตกลง ฉันก็ต้องมีพื้นที่ของฉันบ้าง”
บรรยากาศในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ เขาเดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ เสียงรองเทาหนังแข็งกระทบพื้นไม้ดัง ตึก…ตึก… จนหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกก้าวที่เขาเข้ามาใกล้
หลงเฟยหยุดยืนตรงหน้าเธอ พื้นที่ระหว่างกันเหลือไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ดวงตาคมจ้องเธอแน่นิ่ง
“เธอคิดว่าเงื่อนไขเล็ก ๆ นั่นจะทำให้ฉันใจอ่อนเหรอ”
“ไม่ใช่ใจอ่อน ฉันแค่เป็นห่วงยายฉัน” เธอสวนกลับทันที
หลงเฟยไม่ตอบทันที…เพียงแต่จ้องเธออยู่นานพอจะทำให้ใครหลายคนถอย แต่คะน้ายืนนิ่ง ไม่หลบสายตาแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุด…มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นนิดหนึ่ง คล้ายรอยยิ้มแบบนักล่าที่ยอมปล่อยเชือกแค่พอให้เหยื่อรู้สึกว่ายังหายใจได้
“ทุกวัน…” เขาพูดเรียบ
“ฉันจะให้คนขับรถไปส่งและไปรับเธอด้วยตัวเอง เธอไม่มีสิทธิ์หนีหรือหายไปไหน…เข้าใจไหม”
คะน้าหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนพยักหน้า
“เข้าใจ”
“ดี” เขาพูดสั้น ๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปทางประตูลิฟต์
“งั้นก็ไปเถอะ ถึงเวลาแล้ว”
คะน้ามองแผ่นหลังสูงของเขาที่เดินนำหน้า เขาไม่ให้ช่องว่างเลยแม้แต่นิด แต่แค่เธอได้ยืนอยู่บนข้อตกลงของตัวเอง…มันก็พอให้รู้ว่าเธอยังมีเสียงได้
และไม่นานคะน้าก้าวตามเขาไปในที่สุด
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศที่พัดเบา ๆ
เธอกำมือแน่น… ไม่ใช่เพราะแพ้ แต่เพราะรู้ว่าเขากำลังบีบให้เธอต้องเลือกทางเดียว
“ไปสิ” คะน้าตอบเบา ๆ แต่หนักแน่น
หลงเฟยไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบกุญแจรถจากโต๊ะ ก่อนจะเดินผ่านหน้าคะน้าไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ และแรงกดดันที่หนาแน่นเกินบรรยาย
“ตามมา” เขาพูดเรียบ ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
คะน้าสูดลมหายใจเข้าลึกนี่คือก้าวแรกของ 90 วันที่เธอต้องยืนอยู่ในโลกของหลงเฟย
เธอก้าวเดินตามเขาออกจากห้องเงียบ ๆ ผ่านโถงลิฟต์หรู สายตาพนักงานที่มองทั้งคู่เหมือนรู้ว่าใครเป็นคนคุมเกมและใครคือคนนอกยิ่งตอกย้ำให้คะน้ากำกระเป๋าบนบ่าแน่นขึ้น
เสียงลิฟต์ติ๊งดังเบา ๆ ทั้งสองคนก้าวเข้าไปโดยไม่มีคำพูดใด และคะน้ารู้ว่านี่ไม่ใช่แค่การนั่งรถไปคเพนส์เฮาต์ธรรมดา แต่มันคือการเริ่มนับหนึ่งของการที่ตัดสินใจที่เธอไม่มีสิทธิ์พลาดแม้แต่ก้าวเดียว