LOGINด้านข้างของเต๋อซิ่วยังมีหลี่มู่เฉียงองค์ชายสี่ และหลี่ตงฟู่ซื่อจื่อ เดินมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากนางอีกด้วย ต้าเหนิงทำได้เพียงก้มหน้าเม้มปากไว้แน่น ท่าทางของนางราวกับลูกกระต่ายที่กำลังถูกหมาป่าฝูงใหญ่ล้อมเอาไว้อย่างหมดหนทางหนี แม้แต่จะเก็บอารมณ์ให้สุขุมเช่นเดิมนางก็ทำไม่ได้
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ หะ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขะ ข้า ข้าขอตัวก่อน” นางรีบหันหนีเพื่อจะเดินออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด
“ช้าก่อน จะรีบไปไหน ข้าเองก็อยากจะสนทนากับเจ้า” เต๋อซิ่วดึงคอเสื้อของต้าเหนิงเอาไว้จนนางเสียหลักจะล้มไปใส่ตัวเขา ยังดีที่เสี่ยวชุนเข้ามารับตัวนางเอาไว้ได้เสียก่อน ร่างของต้าเหนิงจึงตกไปอยู่ที่ตัวของเสี่ยวชุนแทน
เสี่ยวชุนประคองร่างของต้าเหนิงให้ลุกขึ้นทรงตัวดีแล้ว จึงได้คุกเข่าลงตรงหน้าของเต๋อซิ่ว
“องค์ชายห้าโปรดยั้งมือ คุณชายของบ่าวเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองซีเจียง ร่างกายผ่ายผอมลงไปไม่น้อย หากล้มลงจนได้รับบาดเจ็บ บ่าวเกรงว่าอาการของคุณชายจะยิ่งแย่ไปกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ เจ้าเป็นเพียงบ่าว แต่กล้าเข้ามาขวางหน้าข้าไว้ คุณชายเสิ่นช่างบอบบางเสียจริง มิรู้ว่าชั้นเรียนกระบี่ยามบ่ายนี้จะทนรับการฝึกได้หรือไม่” มุมปากของเขายกขึ้นอย่างเย้ยหยัน
สายตาของเต๋อซิ่วไม่ได้ปรายมองเสี่ยวชุนสักนิด กลับตกอยู่ที่ร่างของต้าเหนิงที่สั่นเทาอยู่น้อยๆ เหงื่อของนางผุดออกมาเต็มหน้าผาก แต่ไม่กล้าแม้แต่จะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดออก
“กระหม่อมขออภัยองค์ชายห้า บ่าวของกระหม่อมเพียงแค่ปกป้องตามคำสั่งของท่านพ่อเท่านั้น หากพระองค์ไม่พอพระทัยคิดจะลงโทษ โปรดลงโทษกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ต้าเหนิงเดินขึ้นมาอยู่ข้างเสี่ยวชุน พร้อมทั้งก้มหน้าลงต่ำ
“ดี เช่นนั้น...” เต๋อซิ่วเผลอจ้องมองคอขาวของ ต้าเหนิงจนลืมที่จะพูดประโยคต่อไปออกมา
“คุณชายเสิ่น น้องห้าไม่ลงโทษบ่าวของเจ้าหรอก หากรู้สึกผิด เช่นนั้นเจ้าเลี้ยงมื้อกลางวันพวกข้าก็พอ” หลี่มู่เฉียงโบกพัดในมืออย่างสบายใจ
“เอ่อ...พ่ะย่ะค่ะ” ต้าเหนิงได้แต่ถอนหายใจออกมา
องค์ชายห้าผู้นี้ไม่ใช่คนที่นางจะแข็งขอได้ด้วย ดูท่าแล้วเขาคงจะร้ายกาจกว่าหลี่ตงฟู่เสียอีก
วันแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาเรียนนางก็อยากจะร่ำไห้เสียแล้ว คิดว่าทำตัวนิ่งๆ ไม่อยู่ในสายตาของผู้อื่นแล้วแท้ๆ ยังมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาให้นางได้แต่ปวดหัว
ทั้งหกคน ต่างก็แยกไปขึ้นรถม้าของตนเพื่อเดินทางไปเหลาอาหารฟู่เฟิ่ง ยังดีที่วันนี้นางนำเงินติดตัวมาด้วยไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะพอจ่ายค่าอาหารที่สหายและเชื้อพระวงศ์จะสั่งหรือไม่
“เสี่ยวชุน หากเงินของข้าไม่พอเล่า” นางเงยหน้ามองเสี่ยวชุนที่เข้ามารอรับนางลงจากรถม้า
“ให้ไปเก็บที่จวนขอรับ” สีหน้าของเสี่ยวชุนยังเรียบเฉยเช่นเดิม
“อืม วันแรกก็ยุ่งยากเพียงนี้ ข้าไม่อยากจะมาเรียนแล้ว” นางบ่นพึมพำเบาๆ พอจะเริ่มบ่นอีกรอบก็ต้องรีบหุบปากลง เมื่อเสี่ยวชุนส่งสายตาให้นาง ว่าคนทั้งหมดมาถึงกันแล้ว
ต้าเหนิงเดินตามหลังของบุรุษทั้งห้าเข้าไปในเหลาอาหารอย่างไร้ชีวิตชีวา นางก้มหน้าลงมองเพียงทางเดินเท่านั้น จึงไม่รู้ว่ายามนี้มีคนมาเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว พอเข้าไปในห้องรับรองจึงได้เห็นว่า หลี่เลี่ยงหลิง องค์รัชทายาทนั่งอยู่ที่โต๊ะเช่นกัน
“ถวายพระพรองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” นางรีบทำความเคารพทันที
“หึหึ เปิ่นกง ได้ยินว่าคุณชายเสิ่นจะเลี้ยงมื้อเที่ยง ขอร่วมโต๊ะด้วยคงมิเป็นอันใดใช่หรือไม่”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทเมตตาข้าน้อยเพียงนี้ นับว่าเป็นวาสนาของข้าน้อยแล้ว” แผ่นหลังของ ต้าเหนิงเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาอีกครั้ง
“นั่งเถิด ไม่ต้องมากพิธี”
ต้าเหนิงเดินไปนั่งลงข้างซูกวน แต่ถูกมือหนาของเต๋อซิ่วลากนางมานั่งลงข้างเขาแทน องค์ชายห้าผู้นี้คงจะแค้นนางมาก ที่เมื่อครู่จะกลั่นแกล้งนางแต่ถูกเสี่ยวชุนเข้ามาขวางเอาไว้ ยามนี้ในห้องไม่มีเสี่ยวชุนปกป้องนาง ต้าเหนิงได้แต่ยอมให้เขารังแกได้อย่างเต็มที่
อาหารที่พวกเขาเลือกสั่งคนละอย่างสองอย่าง ยามนี้ถูกนำขึ้นวางเต็มโต๊ะจนไม่รู้จะเลือกกินสิ่งใด ที่ต้าเหนิงกังวลไม่ใช่ว่าไม่มีของโปรดนาง แต่เป็นราคาอาหารที่นางต้องจ่ายออกไป ความหิวก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะหายไปจนสิ้น มีแต่ความปวดใจเข้ามาแทนที่
“อาหารไม่อร่อยหรือ” หลี่เลี่ยงหลิงอมยิ้มมอง ต้าเหนิงที่นางเอาแต่ก้มหน้ากินข้าวในชาม โดยไม่แตะต้องอาหาร
“เอ่อ...กระหม่อมไม่ค่อยหิวพ่ะย่ะค่ะ” แม้ปากจะบอกไปเช่นนั้น แต่ท้องเจ้ากรรมดันร้องออกมา เพื่อให้นางขายหน้าโดยแท้
“ฮ่า ฮ่า คุณชายเสิ่น วาจาเจ้าช่างน่าขันนัก” หลี่ตงฟู่ หัวเราะออกมาเสียงดัง
คนอื่นก็พลอยยิ้มกริ่มมองนางอย่างหยอกล้อไปด้วย ใบหน้าของต้าเหนิงแดงก่ำไปด้วยความอับอาย ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยได้รับความอับอายมากเพียงนี้มาก่อนเลย
“พอแล้ว หิวก็กินเข้าไป เจ้าจะมัวอายผู้ใด อย่างไรเสียมื้อนี้เจ้าก็ต้องจ่าย” หลี่เต๋อซิ่วเลื่อนจานอาหารที่นางสั่งมาตรงหน้าของนาง ก่อนจะปรายตามองหลี่ตงฟู่ญาติผู้น้องให้หุบปากเสียที
“ขอบพระทัยองค์ชายห้าพ่ะย่ะค่ะ” นางเอื้อมมือที่สั่นเทาออกไปคีบอาหารมาใส่ในชาม
ต้าเหนิงไม่รู้รสชาติอาหารที่เข้าปากเลยสักนิด นางรีบกินรีบกลืนลงคอ แต่ก็กินไปได้เพียงครึ่งชามเท่านั้นก็วางตะเกียบลงแล้ว
ยามนี้นางกลับมานั่งสุขุมเช่นเดียวกับที่พี่ชายนางชอบแสดงออก สายตาของคนในห้อง ยังมีลอบมองสำรวจนางอย่างแปลกใจอยู่บ้าง แม้คนตรงหน้าจะเป็นคุณชายเสิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูไปแล้วก็ไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว มันต่างจากเมื่อก่อนมากนัก แต่บอกไม่ถูกว่าต่างที่ใด
องค์รัชทายาทเห็นว่าทุกคนกินอาหารกันอิ่มแล้ว ก็สั่งให้คนมายกทั้งหมดออกไป ก่อนจะเรียกให้ยกชาเข้ามาด้านในห้อง
“พวกเจ้ายังต้องไปเรียนกระบี่กับอาจารย์ตู้อีกไม่ใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนพยักหน้ารับ
น้ำในกาที่ต้าเหนิงเห็น มิใช่ชาเช่นที่นางเข้าใจ มันคือสุรานารีแดงรสชาติร้อนแรงต่างหาก
“แค่ก แค่ก” นางดื่มไปเต็มที่ คิดว่าเป็นชากลิ่นแปลกใหม่ ไม่คิดว่าจะเป็นสุราจึงได้สำลักเสียหน้าดำหน้าแดง
“อาซิ่ว นี่เจ้าเปลี่ยนน้ำชาเป็นสุราหรือ หากเรียนช่วงบ่ายไม่ไหว เจ้าได้ถูกอาจารย์ตู้เล่นงานแน่” องค์รัชทายาทส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นของน้องชาย แต่ก็เป็นเพียงการตำหนิที่ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใดมากนัก
“เพียงจิบเล็กน้อย คงไม่เสียการเรียนกระมังพ่ะย่ะค่ะ” มือของเขาตบลงที่หลังของต้าเหนิงไปด้วย แต่น้ำหนักที่ลงมา ยิ่งทำให้นางจุกจนหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
“เอาเถิด ไปกันได้แล้ว คุณชายเสิ่นเพิ่งจะหายดี เจ้าก็อย่าได้รังแกเกินไปนักเลย”
“สุรากานี้ข้าจ่าย เจ้าจะทิ้งขว้างเช่นนี้ไม่ได้” เต๋อซิ่วจ้องมองใบหน้างามคล้ายสตรีอย่างข่มขู่
ต้าเหนิงจำต้องกลั้นใจดื่มสุราในจอกลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมา แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำอย่างน่ามอง ดวงตาของนางมีน้ำเอ่อคลอหยาดเยิ้ม ความเย้ายวนที่ปิดซ่อนเอาไว้ดูจะค่อยๆ เปิดเผยออกมาให้เห็นทีละน้อย จนซูกวนและอู๋หลางที่เป็นสหายสนิทยังอดที่จะลอบมองอยู่หลายหนไม่ได้
สหายของเขากลับมาจากเมืองซีเจียงหนนี้ มีแต่เรื่องแปลกประหลาด ใบหน้าก็ดูจะหวานขึ้นมาสองส่วน ในจะท่าทีที่สุขุมเช่นปกติ ก็ดูจะผ่อนปรนไปถึงสามส่วน จะไม่ให้แปลกใจได้อย่างไร
ด้านข้างของเต๋อซิ่วยังมีหลี่มู่เฉียงองค์ชายสี่ และหลี่ตงฟู่ซื่อจื่อ เดินมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากนางอีกด้วย ต้าเหนิงทำได้เพียงก้มหน้าเม้มปากไว้แน่น ท่าทางของนางราวกับลูกกระต่ายที่กำลังถูกหมาป่าฝูงใหญ่ล้อมเอาไว้อย่างหมดหนทางหนี แม้แต่จะเก็บอารมณ์ให้สุขุมเช่นเดิมนางก็ทำไม่ได้“มิได้พ่ะย่ะค่ะ หะ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขะ ข้า ข้าขอตัวก่อน” นางรีบหันหนีเพื่อจะเดินออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด“ช้าก่อน จะรีบไปไหน ข้าเองก็อยากจะสนทนากับเจ้า” เต๋อซิ่วดึงคอเสื้อของต้าเหนิงเอาไว้จนนางเสียหลักจะล้มไปใส่ตัวเขา ยังดีที่เสี่ยวชุนเข้ามารับตัวนางเอาไว้ได้เสียก่อน ร่างของต้าเหนิงจึงตกไปอยู่ที่ตัวของเสี่ยวชุนแทนเสี่ยวชุนประคองร่างของต้าเหนิงให้ลุกขึ้นทรงตัวดีแล้ว จึงได้คุกเข่าลงตรงหน้าของเต๋อซิ่ว“องค์ชายห้าโปรดยั้งมือ คุณชายของบ่าวเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองซีเจียง ร่างกายผ่ายผอมลงไปไม่น้อย หากล้มลงจนได้รับบาดเจ็บ บ่าวเกรงว่าอาการของคุณชายจะยิ่งแย่ไปกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เจ้าเป็นเพียงบ่าว แต่กล้าเข้ามาขวางหน้าข้าไว้ คุณชายเสิ่นช่างบอบบางเสียจริง มิรู้ว่าชั้นเรียนกระบี่ยามบ่ายนี้จะทนรับการฝึกได้หรือไม่” มุมปาก
ต้าเหนิงลุกขึ้นไปดึงชายเสื้อของซูกวนเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาต่อปากต่อคำกับกลุ่มของเว่ยซีหมิ่น“พวกท่านกล่าวไม่ผิด ข้าเดินทางไปแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ ท่านย่าครั้งนี้ลำบากไม่น้อยเลย ร่างกายจะผ่านผอมลงไปก็เห็นจะไม่แปลก ที่แปลกคงเห็นจะเป็นความคิดของพวกเจ้า ที่ไม่เอาเวลาไปสนใจอ่านตำรา แต่กลับสนใจเรือนร่างของผู้อื่น” แววตาของนางเรียบเฉยเสียงที่ปรับให้ทุ่มต่ำ กังวานไพเราะกว่าเสียงของเสิ่นเฉิงมากนักใบหน้าของทุกคนที่ได้ยินเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดู เป็นจริงที่เสิ่นต้าเหนิงพูด นางกำลังพูดว่าพวกเขา เอาแต่เวลามายุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่สนใจอ่านตำรา เพื่อเตรียมตัวสอบ“หึหึ วาจาของคุณชายเสิ่นช่างเฉียบขาดนัก ตัวข้าซื่อจื่อ ก็เพิ่งเคยได้ฟังเป็นคราแรกเช่นกัน” เสียงตบมือของหลี่ตงฟู่ ซื่อจื่อตำหนักสู่อ๋องดังขึ้นทันทีที่ต้าเหนิงพูดจบตงฟู่ ยืนฟังอยู่นานแล้ว เขาเองก็อยากจะเห็นว่าเสิ่นเฉิงที่สูงส่งไม่สนใจผู้ใด คิดจะตอบโต้เว่ยซีหมิ่นกลับหรือไม่ ยามที่อ้าปากตำหนิเว่ยซีหมิ่นออกมา ตงฟู่ที่ไม่ค่อยเห็นเสิ่นเฉิง แสดงอารมณ์มากนักก็แปลกใจมากเช่นกันหากพิจารณาตามที่เว่ยซีหมิ่นว่า ร่างกายของเสิ่นเฉิงก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไ
เสิ่นต้าเหนิงยังต้องคัดตำราและทบทวนตำราก่อนนอนอีกสองชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรตัวอักษรของนางก็ไม่อาจสู้เสิ่นเฉิงได้ ทำได้เพียงแค่คล้ายคลึงสามส่วนเท่านั้นสองมือของนางเท้าอยู่ที่แก้ม แววตาของนางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างจากไร้จุดหมาย นางคัดตัวอักษรโดยมีตำราที่เสิ่นเฉิงเคยคัดลอกเอาไว้วางอยู่บนโต๊ะ มาได้เกือบชั่วยามแล้ว“หากเหนื่อยแล้ว เข้านอนดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมถิงเอ่ยถามอย่างเห็นใจ แม้คุณหนูจะต้องเรียนคู่กับคุณชายมาตั้งแต่เล็ก แต่นางก็ไม่เคยต้องทนคัดตำรา อ่านตำรามากเพียงนี้มาก่อน“ไม่ได้ ข้ายังไม่อาจเขียนได้เหมือนท่านพี่จะหยุดมือมิได้ แม่นม...ข้ากลัว กลัวว่าข้าไม่อาจสุขุมได้เหมือนท่านพี่ แล้วจะถูกจับได้” นางอดที่จะสั่นสะท้านออกมาไม่ได้ เมื่อนึกถึงความลับของพวกนางสองพี่น้องถูกเปิดเผยออกไป“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น คุณแม่ของบ่าวรู้ดีว่าควรทำเช่นไร” ฝ่ามือที่อบอุ่นของแม่นมถิงปลอบประโลมนางไปด้วย“แต่ข้าไม่คุ้นชินกับสหายของท่านพี่เลยสักคน”“สหายของคุณชายที่สนิทก็มี คุณชายเหอ คุณชายโจว ท่านเพิ่งแค่พูดคุยกับทั้งสองเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”เสิ่นต้าเหนิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เ
ต้าเหนิงเดินกลับเรือนพักว่าด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ตอนหลังนางไม่ได้ฟังสิ่งที่บิดามารดา และแม่นมถิงหารือกันแม้แต่น้อย นางได้แต่ใคร่ครวญว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดรถม้าของพี่ชายน้องถึงได้ตกเขาไปได้จื่อหานยังไม่ได้เร่งให้ต้าเหนิงนางเตรียมตัว เขาปล่อยให้นางได้ใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็กะทันหันเกินไป เขาได้แต่ปลอบใจภรรยาอยู่ภายในเรือนบ่าวไพร่ ในจวนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้านาย แต่เมื่อเห็นเรือนหลักถูกปิดล้อมด้วยองครักษ์อย่างแน่นหนา ทั้งสีหน้าของพ่อบ้าน แม่นมถิงต่างก็ไม่มีผู้ใดดี ก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานอย่างเงียบๆยังดีที่บ่าวส่วนใหญ่รู้ความด้วยจื่อหานเป็นคนที่น่าเกรงขาม บ่าวไพร่ล้วนแต่หวาดกลัวเขา อีกทั้งผู้เป็นนายก็ไม่เคยข่มเหงรังแกบ่าวไพร่ ผู้ใดจะสิ้นคิดขนาดทำให้ตนเองถูกขายออกไป หรือขัดคำสั่งจนถูกโบยจนตายเล่าตอนที่ต้าเหนิงเดินกลับมาถึงเรือนพัก นางยังคงไร้สติ แม่นมถิงกับเสี่ยวเหยาช่วยจัดการล้างหน้าให้นาง นางยังดูไร้ชีวิตชีวาตกอยู่ในความคิดของตนเองไม่มีที่สิ้นสุด“คุณหนู เข้านอนเถิดเจ้าค่ะ หากยังเป็นเช่นนี้ ท่านจะล้มป่วยไปด้วยอีกคน”“แม่นม ท่านให
เพียงไม่นาน พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของจื่อหาน เนื้อตัวสั่นเทาหวาดกลัวยิ่งนัก“นายท่าน เจอรถม้าขอรับ แต่ไม่พบร่างของคุณชาย”“ฮือออออ” เสียงร้องของมารดากับแม่นมถิงดังขึ้นมาพร้อมกัน“ท่านแม่!!!” ต้าเหนิงประคองมารดาเอาไว้ ยามนี้นางตกใจจนหมดสติไปแล้ว“ไปตามหมอมา!!!” เขาเสียบุตรชายไปแล้ว จะเสียภรรยาอีกไม่ได้“แล้ว...จะให้ข้าน้อยจัดการเช่นใด” ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่มีผู้ใดรู้ แม้ชาวบ้านที่เห็นรถม้าของเสิ่นเฉิงตกลงไปก็ไม่รู้ว่าเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ท่านใด“ปิดข่าวไว้ จัดการให้เรียบร้อย ทิ้งคนให้ออกตามหาโดยรอบ หากตายต้องเห็นศพ หากเป็นต้องเห็นคน” จื่อหานถอนหายใจออกมา ในเมื่อไม่เห็นร่างของบุตรชายในรถม้า ย่อมต้องมีความหวัง ไม่แน่อาจจะมีคนช่วยเหลือบุตรชายเอาไว้ก็ได้“เหนิงเออร์ เรื่องนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ของเจ้า พ่อจะออกไปจัดการเรื่องพี่ชายของเจ้าก่อน”“ท่านพ่อ พี่ชาย...ท่านจะพาพี่ชายกลับมาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำ ก่อนจะไหลออกมาราวกับไข่มุกเม็ดงามที่ร่วงหล่นไม่ขาดสาย“ใช่ พ่อจะพาพี่ชายเจ้ากลับมา” จื่อหานลูบหัวบุตรสาวอย่างร
เฮือก!!!เสิ่นต้าเหนิง บุตรสาวฝาแฝดของเสนาบดีเสิ่น เสิ่นจื่อหานกับหลัวจินเหริน บุตรีแม่ทัพใหญ่หลิว ต้าเหนิงลูบหน้าอกที่ยังสั่นสะท้านไม่เลิก หวังว่าจะปลอบประโลมให้มันสงบลงได้บ้างเมื่อครู่ก่อนที่นางจะสะดุ้งตกใจจนตื่น นางฝันเห็นพี่ชายฝาแฝด เสิ่นเฉิง รถม้าของเขาตกลงไปในหน้าผา นางได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่นางฝันมันคงไม่เกิดขึ้นตัวพี่ชายของนางเพียงเดินทางไปไปเยี่ยมท่านปู่ ท่านย่าที่เมืองซีเจียง ทางทิศตะวันตกของแคว้นต้าหลี่ บ้านเดิมของเสิ่นจื่อหานผู้เป็นบิดา มิได้เดินทางไปเสี่ยงอันตรายอันใดเสียหน่อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น จิตใจที่ฟุ้งซ่านก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างดี นางจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไม่ว่าทำเช่นใดก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ ได้แต่นอนเหม่อมองเพดานห้องอย่างกังวลสองพี่น้อง นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เคยจะห่างกันเลยสักครั้ง ต่อให้นางหรือเสิ่นเฉิงจะป่วยหนักเพียงใด ด้านข้างของสองพี่น้องก็จะมีอีกคนอยู่ด้วยเสมอ นางจึงได้เป็นห่วงเขามากยิ่งนักต้าเหนิง ไม่อาจสงบใจให้นอนต่อได้ นางจึงได้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เสี่ยวเหยาสาวใช้ข้างกาย เมื่อได้ยินเสียงภายในห้องเคลื่อนไหว นางก็เดินเข้ามาดู“คุณหน







