LOGINต้าเหนิงลุกขึ้นไปดึงชายเสื้อของซูกวนเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาต่อปากต่อคำกับกลุ่มของเว่ยซีหมิ่น
“พวกท่านกล่าวไม่ผิด ข้าเดินทางไปแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ ท่านย่าครั้งนี้ลำบากไม่น้อยเลย ร่างกายจะผ่านผอมลงไปก็เห็นจะไม่แปลก ที่แปลกคงเห็นจะเป็นความคิดของพวกเจ้า ที่ไม่เอาเวลาไปสนใจอ่านตำรา แต่กลับสนใจเรือนร่างของผู้อื่น” แววตาของนางเรียบเฉยเสียงที่ปรับให้ทุ่มต่ำ กังวานไพเราะกว่าเสียงของเสิ่นเฉิงมากนัก
ใบหน้าของทุกคนที่ได้ยินเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดู เป็นจริงที่เสิ่นต้าเหนิงพูด นางกำลังพูดว่าพวกเขา เอาแต่เวลามายุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่สนใจอ่านตำรา เพื่อเตรียมตัวสอบ
“หึหึ วาจาของคุณชายเสิ่นช่างเฉียบขาดนัก ตัวข้าซื่อจื่อ ก็เพิ่งเคยได้ฟังเป็นคราแรกเช่นกัน” เสียงตบมือของหลี่ตงฟู่ ซื่อจื่อตำหนักสู่อ๋องดังขึ้นทันทีที่ต้าเหนิงพูดจบ
ตงฟู่ ยืนฟังอยู่นานแล้ว เขาเองก็อยากจะเห็นว่าเสิ่นเฉิงที่สูงส่งไม่สนใจผู้ใด คิดจะตอบโต้เว่ยซีหมิ่นกลับหรือไม่ ยามที่อ้าปากตำหนิเว่ยซีหมิ่นออกมา ตงฟู่ที่ไม่ค่อยเห็นเสิ่นเฉิง แสดงอารมณ์มากนักก็แปลกใจมากเช่นกัน
หากพิจารณาตามที่เว่ยซีหมิ่นว่า ร่างกายของเสิ่นเฉิงก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย แต่ความสูงตงฟู่ไม่แน่ใจ ด้วยไม่เคยเทียบกันจริงๆ จังๆ สักครั้ง
ต้าเหนิงทำได้เพียงโค้งคำนับหลี่ตงฟู่ตามธรรมเนียม โดยที่สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศกับพวกเขาเท่านั้น
“ขอบคุณซื่อจื่อที่เอ่ยชมข้าจากใจจริง”
“แต่ร่างกายของเจ้าก็ซูบผอมจริงเช่นที่เว่ยซีหมิ่นว่า หรือว่าสองท่านผู้เฒ่าเสิ่นล้มป่วยหรือ”
“ท่านปู่ ท่านย่าสบายดี เพียงแค่ข้าเร่งเดินทางกลับเมืองหลวง จึงมิค่อยได้ดื่มกินอันใดมากนัก” ไม่รู้จะถามอะไรนางมากมาย
“ดี ไม่เป็นอันใดก็ดี เพียงแต่ว่า...เหตุใด น้องสาวเจ้าต้องเร่งรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงด้วยเล่า ปีนี้นางต้องพูดคุยเรื่องแต่งงานแล้วมิใช่หรือ หรือว่า...สองผู้เฒ่าเสิ่นจะจัดการเรื่องงานแต่งให้นาง”
ต้าเหนิงได้แต่เม้มปากแน่น เป็นจริงเช่นที่ตงฟู่ว่า ปีนี้นางอายุสิบเจ็ดหนาวแล้ว อย่างไรก็ต้องออกเรือนในปีนี้ หากล่าช้ากว่านี้เกรงว่าจะหาบุรุษตบแต่งนางได้ยากแล้ว
เมื่อต้าเหนิงไม่คิดสนใจคำพูดของเขาต่อ แต่ดูเหมือนว่าหลี่ตงฟู่จะไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้นาง ทั้งยังไล่คนที่นั่งติดกันให้หลบไปนั่งที่อื่นแทน
“ซื่อจื่อเช่นข้าจะนั่งข้างเจ้าก็แล้วกัน หวังว่า...เจ้าจะชี้แนะข้าด้วย”
ต้าเหนิงยังคงไม่ตอบ นางนั่งลงที่ตำแหน่งของนางอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนที่จะมีผู้ใดเอ่ยคำถามออกมาอีก อาจารย์ฟ่านก็เดินเข้ามาภายในห้อง ทุกคนจำต้องเดินกลับไปนั่งตามตำแหน่งของตน
“อาเฉิงเดินทางครั้งนี้ลำบากมากเลยหรือ” อาจารย์ฟ่านมองศิษย์รักด้วยสายตาเป็นห่วง ทุกครั้งที่สำนักศึกษาหยุดพักการสอนนับเดือน เสิ่นเฉิงจะเดินทางไปเยี่ยมท่านปู่ ท่านย่า เรื่องนี้ผู้ใดล้วนแต่รู้ดี
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ห่วงใยศิษย์ ศิษย์เดินทางลำบากเล็กน้อยขอรับ” นางลุกขึ้นกุมมืออย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่กดให้ต่ำลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้อาจารย์ฟ่านยิ่งมองนางด้วยความห่วงใยเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“ดูแลสุขภาพด้วย อีกเพียงสามเดือนจะสอบ เจ้าก็อย่าได้กดดันตนเองจนล้มป่วยเล่า” เขาโบกมือให้ต้าเหนิงนั่งลง
ต้าเหนิงยิ่งกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิม นางรู้ดีว่าอาจารย์ฟ่านคาดหวังผลการสอบของพี่ชายนางมากเพียงใด
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบด้านหลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าอีกคู่ที่เดินอย่างเออระเหยดังขึ้นก่อนที่อาจารย์ฟ่านจะร้องสั่งให้เปิดตำรา
“เห็นหรือไม่ ยังไม่เริ่มเรียน” เสียงเฉยชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวดังขึ้น ราวกับจะบอกชายหนุ่มที่เร่งรีบด้านหน้า แต่เสียงของเขาก็ดังมากพอให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้ยิน
“องค์ชายสี่ องค์ชายห้า พระองค์มายามนี้ก็นับว่าสายแล้ว ทั้งสองพระองค์คัดตำราเพิ่มจากเดิมอีกห้าแผ่น” เสียงสั่งของอาจารย์ฟ่าน บ่งบอกว่าเขาไม่พอใจอย่างเต็มที่ แต่ก็มิอาจลงโทษไปได้มากกว่าสั่งให้ทำงานเพิ่ม
“น้องห้า ข้าบอกเจ้าแล้ว ครั้งหน้าข้าไม่รอเจ้าแน่” องค์ชายสี่ หลี่มู่เฉียงเดินกระทืบเท้าเข้ามานั่งตำแหน่งของตนเองอย่างไม่พอใจ ขันทีข้างกายทำได้เพียงแค่นำสิ่งของมาวางให้เขาแล้วกลับออกไปรอด้านนอก
แต่หลี่เต๋อซิ่ว ทำเพียงแค่นเสียงอยู่ในลำคอ ก่อนจะรับสิ่งของมาจากขันทีแล้วเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามานั่งอย่างไม่สบอารมณ์ หากไม่ใช่ว่าถูกองค์รัชทายาทที่เป็นพี่ชายร่วมอุทรของตน รั้งตัวเอาไว้เพื่อสอบถามเรื่องที่เขาทำให้เสด็จแม่โกรธ ก็คงไม่ต้องมาสายถึงเพียงนี้
ต้าเหนิงมิได้หันมาสนใจผู้ที่เพิ่งมาถึงทั้งสองคน นางนั่งหลังตรงก้มหน้าลงสนใจเพียงแค่ตำราที่อยู่ตรงหน้า แต่แผ่นหลังของนางกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เกิดจากความเคร่งเครียด ในห้องเรียนนี้ ไม่มีผู้ใดที่นางสามารถหาเรื่องได้สักคน ทุกการกระทำของนางจะต้องทำไปด้วยความระมัดระวัง
พออาจารย์ฟ่านเริ่มท่องบรรยายตามตำรา หัวใจที่เต้นระรัวของนางก็ผ่อนคลายลง รับฟังและจดตามสิ่งที่อาจารย์ฟ่านสอนอย่างตั้งใจ วันหนึ่งนางต้องใช้เวลาอยู่ที่สำนักศึกษาสองชั่วยามในช่วงเช้าเพื่อเรียนตามตำรา ช่วงบ่ายต้องไปเรียนขี่ม้า ยิงธนูอีกสองชั่วยาม
“พรุ่งนี้ นำงานที่สั่งมาส่งก่อนเข้าชั้นเรียนครึ่งชั่วยาม วันนี้พวกเจ้าไปพักได้แล้ว” ราวกับเสียงสวรรค์ ต้าเหนิงได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของหลายคนที่ได้รับการปลดปล่อยเสียที
นางรีบเก็บข้าวของใส่ถุงผ้าที่แม่นมถิงเย็บให้ใหม่อย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้หลบออกไปหาเสี่ยวชุนที่รออยู่ด้านนอกเสียที
“อาเฉิงจะรีบไปไหน พวกข้ากำลังจะไปเหลาอาหาร ไปด้วยกันดีหรือไม่ ประเดี๋ยวจะได้ไปเรียนกระบี่กับท่านอาจารย์ตู้ต่อได้เลย” ซูกวนดึงรั้งแขนของต้าเหนิงที่กำลังจะออกจากห้องเรียนเอาไว้
“เอ่อ...ข้าเตรียมมื้อกลางวันมาเอง ไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” นางตั้งท่าจะเดินออกไป ก็ถูกโจวอู๋หลางรั้งเอาไว้อีกคน
“ข้าอยากรู้เรื่องที่เมืองซีเจียง อยากจะให้เจ้าเล่าให้ฟัง อาหารที่เตรียมมา เจ้าก็ยกให้บ่าวของเจ้าไปเสีย”
“ตะ แต่ว่า...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ซูกวนกับอู๋หลางคล่องแขน ต้าเหนิงคนละข้าง ก่อนจะลากนางออกไปจากห้อง
สีหน้าของนางแตกตื่นไม่น้อย ด้วยบุรุษและสตรีมิอาจจะถูกเนื้อต้องตัวกันได้ นางเองก็ไม่เคยมีสหายที่เป็นบุรุษมาก่อน นอกจากพี่ชายของนาง แม้จะอยู่ในนามของเสิ่นเฉิงแล้ว แต่มันก็ยังไม่คุ้นชินเสียที
เสี่ยวชุนที่เห็นบัณฑิตร่วมชั้นของผู้เป็นนายเดินออกมากันแล้ว จึงได้มายืนรออยู่ด้านข้างเพื่อรอรับ ต้าเหนิง พอเห็นสายตาของนางที่ส่งมาให้เขาเข้าช่วยเหลือ จึงเดินเข้ามาขวางอยู่ตรงหน้าของทั้งสามทันที
“คุณชายเหอ คุณชายโจว ปล่อยมือจากคุณชายของบ่าวด้วยขอรับ” เสี่ยวชุนเอ่ยเสียงเรียบออกมา แต่เสียงของเขาก็ทำให้สหายของเสิ่นเฉิงสะดุ้งจนยอมปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว
ต้าเหนิงเดินปรี่เข้าไปอยู่ข้างเสี่ยวชุนทันที ก่อนจะส่งของในมือให้เขาถือเอาไว้ นางยังส่งสายตาขอบคุณไปให้เสี่ยวชุนอีกด้วย
“ไม่เห็นจะต้องทำเช่นนี้เลย คุณชายเจ้าเป็นสตรีหรืออย่างไร” เสียงเย้ยหยันแกมหยอกล้อขององค์ชายห้า หลี่เต๋อซิ่ว ทำให้ต้าเหนิงอดที่จะสะดุ้งไม่ได้
ด้านข้างของเต๋อซิ่วยังมีหลี่มู่เฉียงองค์ชายสี่ และหลี่ตงฟู่ซื่อจื่อ เดินมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากนางอีกด้วย ต้าเหนิงทำได้เพียงก้มหน้าเม้มปากไว้แน่น ท่าทางของนางราวกับลูกกระต่ายที่กำลังถูกหมาป่าฝูงใหญ่ล้อมเอาไว้อย่างหมดหนทางหนี แม้แต่จะเก็บอารมณ์ให้สุขุมเช่นเดิมนางก็ทำไม่ได้“มิได้พ่ะย่ะค่ะ หะ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขะ ข้า ข้าขอตัวก่อน” นางรีบหันหนีเพื่อจะเดินออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด“ช้าก่อน จะรีบไปไหน ข้าเองก็อยากจะสนทนากับเจ้า” เต๋อซิ่วดึงคอเสื้อของต้าเหนิงเอาไว้จนนางเสียหลักจะล้มไปใส่ตัวเขา ยังดีที่เสี่ยวชุนเข้ามารับตัวนางเอาไว้ได้เสียก่อน ร่างของต้าเหนิงจึงตกไปอยู่ที่ตัวของเสี่ยวชุนแทนเสี่ยวชุนประคองร่างของต้าเหนิงให้ลุกขึ้นทรงตัวดีแล้ว จึงได้คุกเข่าลงตรงหน้าของเต๋อซิ่ว“องค์ชายห้าโปรดยั้งมือ คุณชายของบ่าวเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเมืองซีเจียง ร่างกายผ่ายผอมลงไปไม่น้อย หากล้มลงจนได้รับบาดเจ็บ บ่าวเกรงว่าอาการของคุณชายจะยิ่งแย่ไปกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เจ้าเป็นเพียงบ่าว แต่กล้าเข้ามาขวางหน้าข้าไว้ คุณชายเสิ่นช่างบอบบางเสียจริง มิรู้ว่าชั้นเรียนกระบี่ยามบ่ายนี้จะทนรับการฝึกได้หรือไม่” มุมปาก
ต้าเหนิงลุกขึ้นไปดึงชายเสื้อของซูกวนเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาต่อปากต่อคำกับกลุ่มของเว่ยซีหมิ่น“พวกท่านกล่าวไม่ผิด ข้าเดินทางไปแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ ท่านย่าครั้งนี้ลำบากไม่น้อยเลย ร่างกายจะผ่านผอมลงไปก็เห็นจะไม่แปลก ที่แปลกคงเห็นจะเป็นความคิดของพวกเจ้า ที่ไม่เอาเวลาไปสนใจอ่านตำรา แต่กลับสนใจเรือนร่างของผู้อื่น” แววตาของนางเรียบเฉยเสียงที่ปรับให้ทุ่มต่ำ กังวานไพเราะกว่าเสียงของเสิ่นเฉิงมากนักใบหน้าของทุกคนที่ได้ยินเริ่มบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าดู เป็นจริงที่เสิ่นต้าเหนิงพูด นางกำลังพูดว่าพวกเขา เอาแต่เวลามายุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่สนใจอ่านตำรา เพื่อเตรียมตัวสอบ“หึหึ วาจาของคุณชายเสิ่นช่างเฉียบขาดนัก ตัวข้าซื่อจื่อ ก็เพิ่งเคยได้ฟังเป็นคราแรกเช่นกัน” เสียงตบมือของหลี่ตงฟู่ ซื่อจื่อตำหนักสู่อ๋องดังขึ้นทันทีที่ต้าเหนิงพูดจบตงฟู่ ยืนฟังอยู่นานแล้ว เขาเองก็อยากจะเห็นว่าเสิ่นเฉิงที่สูงส่งไม่สนใจผู้ใด คิดจะตอบโต้เว่ยซีหมิ่นกลับหรือไม่ ยามที่อ้าปากตำหนิเว่ยซีหมิ่นออกมา ตงฟู่ที่ไม่ค่อยเห็นเสิ่นเฉิง แสดงอารมณ์มากนักก็แปลกใจมากเช่นกันหากพิจารณาตามที่เว่ยซีหมิ่นว่า ร่างกายของเสิ่นเฉิงก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไ
เสิ่นต้าเหนิงยังต้องคัดตำราและทบทวนตำราก่อนนอนอีกสองชั่วยาม ไม่ว่าอย่างไรตัวอักษรของนางก็ไม่อาจสู้เสิ่นเฉิงได้ ทำได้เพียงแค่คล้ายคลึงสามส่วนเท่านั้นสองมือของนางเท้าอยู่ที่แก้ม แววตาของนางเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่างจากไร้จุดหมาย นางคัดตัวอักษรโดยมีตำราที่เสิ่นเฉิงเคยคัดลอกเอาไว้วางอยู่บนโต๊ะ มาได้เกือบชั่วยามแล้ว“หากเหนื่อยแล้ว เข้านอนดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมถิงเอ่ยถามอย่างเห็นใจ แม้คุณหนูจะต้องเรียนคู่กับคุณชายมาตั้งแต่เล็ก แต่นางก็ไม่เคยต้องทนคัดตำรา อ่านตำรามากเพียงนี้มาก่อน“ไม่ได้ ข้ายังไม่อาจเขียนได้เหมือนท่านพี่จะหยุดมือมิได้ แม่นม...ข้ากลัว กลัวว่าข้าไม่อาจสุขุมได้เหมือนท่านพี่ แล้วจะถูกจับได้” นางอดที่จะสั่นสะท้านออกมาไม่ได้ เมื่อนึกถึงความลับของพวกนางสองพี่น้องถูกเปิดเผยออกไป“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องราวยังไม่เกิดขึ้น คุณแม่ของบ่าวรู้ดีว่าควรทำเช่นไร” ฝ่ามือที่อบอุ่นของแม่นมถิงปลอบประโลมนางไปด้วย“แต่ข้าไม่คุ้นชินกับสหายของท่านพี่เลยสักคน”“สหายของคุณชายที่สนิทก็มี คุณชายเหอ คุณชายโจว ท่านเพิ่งแค่พูดคุยกับทั้งสองเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”เสิ่นต้าเหนิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เ
ต้าเหนิงเดินกลับเรือนพักว่าด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า ตอนหลังนางไม่ได้ฟังสิ่งที่บิดามารดา และแม่นมถิงหารือกันแม้แต่น้อย นางได้แต่ใคร่ครวญว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดรถม้าของพี่ชายน้องถึงได้ตกเขาไปได้จื่อหานยังไม่ได้เร่งให้ต้าเหนิงนางเตรียมตัว เขาปล่อยให้นางได้ใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็กะทันหันเกินไป เขาได้แต่ปลอบใจภรรยาอยู่ภายในเรือนบ่าวไพร่ ในจวนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับเจ้านาย แต่เมื่อเห็นเรือนหลักถูกปิดล้อมด้วยองครักษ์อย่างแน่นหนา ทั้งสีหน้าของพ่อบ้าน แม่นมถิงต่างก็ไม่มีผู้ใดดี ก็ได้แต่ก้มหน้าทำงานอย่างเงียบๆยังดีที่บ่าวส่วนใหญ่รู้ความด้วยจื่อหานเป็นคนที่น่าเกรงขาม บ่าวไพร่ล้วนแต่หวาดกลัวเขา อีกทั้งผู้เป็นนายก็ไม่เคยข่มเหงรังแกบ่าวไพร่ ผู้ใดจะสิ้นคิดขนาดทำให้ตนเองถูกขายออกไป หรือขัดคำสั่งจนถูกโบยจนตายเล่าตอนที่ต้าเหนิงเดินกลับมาถึงเรือนพัก นางยังคงไร้สติ แม่นมถิงกับเสี่ยวเหยาช่วยจัดการล้างหน้าให้นาง นางยังดูไร้ชีวิตชีวาตกอยู่ในความคิดของตนเองไม่มีที่สิ้นสุด“คุณหนู เข้านอนเถิดเจ้าค่ะ หากยังเป็นเช่นนี้ ท่านจะล้มป่วยไปด้วยอีกคน”“แม่นม ท่านให
เพียงไม่นาน พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของจื่อหาน เนื้อตัวสั่นเทาหวาดกลัวยิ่งนัก“นายท่าน เจอรถม้าขอรับ แต่ไม่พบร่างของคุณชาย”“ฮือออออ” เสียงร้องของมารดากับแม่นมถิงดังขึ้นมาพร้อมกัน“ท่านแม่!!!” ต้าเหนิงประคองมารดาเอาไว้ ยามนี้นางตกใจจนหมดสติไปแล้ว“ไปตามหมอมา!!!” เขาเสียบุตรชายไปแล้ว จะเสียภรรยาอีกไม่ได้“แล้ว...จะให้ข้าน้อยจัดการเช่นใด” ตอนนี้เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่มีผู้ใดรู้ แม้ชาวบ้านที่เห็นรถม้าของเสิ่นเฉิงตกลงไปก็ไม่รู้ว่าเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ท่านใด“ปิดข่าวไว้ จัดการให้เรียบร้อย ทิ้งคนให้ออกตามหาโดยรอบ หากตายต้องเห็นศพ หากเป็นต้องเห็นคน” จื่อหานถอนหายใจออกมา ในเมื่อไม่เห็นร่างของบุตรชายในรถม้า ย่อมต้องมีความหวัง ไม่แน่อาจจะมีคนช่วยเหลือบุตรชายเอาไว้ก็ได้“เหนิงเออร์ เรื่องนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ของเจ้า พ่อจะออกไปจัดการเรื่องพี่ชายของเจ้าก่อน”“ท่านพ่อ พี่ชาย...ท่านจะพาพี่ชายกลับมาใช่หรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำ ก่อนจะไหลออกมาราวกับไข่มุกเม็ดงามที่ร่วงหล่นไม่ขาดสาย“ใช่ พ่อจะพาพี่ชายเจ้ากลับมา” จื่อหานลูบหัวบุตรสาวอย่างร
เฮือก!!!เสิ่นต้าเหนิง บุตรสาวฝาแฝดของเสนาบดีเสิ่น เสิ่นจื่อหานกับหลัวจินเหริน บุตรีแม่ทัพใหญ่หลิว ต้าเหนิงลูบหน้าอกที่ยังสั่นสะท้านไม่เลิก หวังว่าจะปลอบประโลมให้มันสงบลงได้บ้างเมื่อครู่ก่อนที่นางจะสะดุ้งตกใจจนตื่น นางฝันเห็นพี่ชายฝาแฝด เสิ่นเฉิง รถม้าของเขาตกลงไปในหน้าผา นางได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่นางฝันมันคงไม่เกิดขึ้นตัวพี่ชายของนางเพียงเดินทางไปไปเยี่ยมท่านปู่ ท่านย่าที่เมืองซีเจียง ทางทิศตะวันตกของแคว้นต้าหลี่ บ้านเดิมของเสิ่นจื่อหานผู้เป็นบิดา มิได้เดินทางไปเสี่ยงอันตรายอันใดเสียหน่อยเมื่อคิดได้เช่นนั้น จิตใจที่ฟุ้งซ่านก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างดี นางจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ไม่ว่าทำเช่นใดก็ไม่อาจข่มตาหลับได้ ได้แต่นอนเหม่อมองเพดานห้องอย่างกังวลสองพี่น้อง นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็ไม่เคยจะห่างกันเลยสักครั้ง ต่อให้นางหรือเสิ่นเฉิงจะป่วยหนักเพียงใด ด้านข้างของสองพี่น้องก็จะมีอีกคนอยู่ด้วยเสมอ นางจึงได้เป็นห่วงเขามากยิ่งนักต้าเหนิง ไม่อาจสงบใจให้นอนต่อได้ นางจึงได้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เสี่ยวเหยาสาวใช้ข้างกาย เมื่อได้ยินเสียงภายในห้องเคลื่อนไหว นางก็เดินเข้ามาดู“คุณหน







