LOGINต้าเหนิงนางดื่มสุราไปถึงสองจอก สติของนางก็เริ่มจะปั่นป่วนเสียแล้ว นางไม่เคยดื่มสุรามาก่อน ครั้งแรกที่ดื่มก็เป็นสุรานารีแดงรสชาติแรงเลย นางจึงมึนเมาอยู่ไม่น้อย พี่ชายของนางอาจจะดื่มเป็น แต่ไม่ใช่นาง
บุรุษที่เหลือต่างก็ลิ้มลองสุรามาตั้งแต่เล็ก สุราเพียงสองจอกย่อมทำสิ่งใดพวกเขาไม่ได้
“เจ้าไหวหรือไม่” ซูกวนเข้ามากระซิบถามต้าเหนิงที่นางนั่งส่ายหน้าเพื่อเรียกสติตนเองอยู่
“อืม...” นางหันไปยิ้มขอบคุณ
ต้าเหนิงนางไม่รู้เลยว่า ท่าทางของนางเช่นนี้ทำให้ใจคนกระตุกมากเพียงใด ลักยิ้มสองข้างที่ปรากฏออกมายามที่นางแย้มยิ้มช่างชวนมองจนไม่อาจละสายตาไปได้ ดวงตาที่เย้ายวนหรี่ลงอย่างน่าเอ็นดู
“เจ้าตัวโง่งมไปเรียนได้แล้ว หากสายได้ถูกอาจารย์ตู้แยกร่างแน่” หลี่เต๋อซิ่วแยกเขี้ยวออกมาอย่างหัวเสีย
เต๋อซิ่วเองก็เห็นรอยยิ้มของต้าเหนิงเช่นกัน ไม่รู้ว่าตนเองเป็นเช่นใด เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางตาสองข้างของเขาก็พร่ามัวทันที แต่คนที่นางยิ้มให้ไม่ใช่เขาจึงได้หัวเสียไม่น้อย
เจ้าหนุ่มแซ่เสิ่นผู้นี้ หากไม่ใช่บุรุษคงได้คิดว่าเป็นสตรีเสียแล้ว ไม่รู้ว่าน้องสาวที่ถูกส่งตัวไปอยู่เมืองซีเจียงจะงดงามมากเพียงใด พอได้สติกับความคิดของตนเอง เต๋อซิ่วก็สะดุ้งตกใจ เขามองบุรุษเช่นเสิ่นเฉิงเป็นสาวงามไปได้อย่างไรกัน
ฝีเท้าของต้าเหนิงไม่มั่นคงนัก แต่นางก็ไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องตัวนาง นางต้องการที่จะเดินออกไปด้วยตนเอง เสี่ยวชุนที่เห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้ามาประคองนางเอาไว้ เขาจึงได้กลิ่นสุราออกมาจากตัวของนาง
“คุณชายกลับจวนดีหรือไม่ขอรับ”
“จะ ได้...อย่างไร ขะ ข้า...ต้องไปเรียน..ต่อ” นางสะอึกออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
“ไปขอน้ำแกงสร่างเมามาให้คุณชายเสิ่น” หลี่เลี่ยงหลิงสั่งองครักษ์ข้างกายให้ไปขอน้ำแกงมาให้ ต้าเหนิงดื่ม
“เสี่ยวชุนนนนน ข้าอยากนอนนนน” หูของนางฟังสิ่งที่อยู่รอบข้างไม่รู้เรื่องแล้ว รู้เพียงแค่ตอนนี้นางต้องการที่นอน ที่นอนเท่านั้น
ที่นี่มีเพียงเสี่ยวชุนเท่านั้นที่นางไว้ใจได้ พอสติเริ่มจะดับลง ต้าเหนิงจึงเริ่มที่จะปรับเสียงให้ทุ่มต่ำเช่นเดิม ทั้งยังพิงร่างทั้งหมดลงไปที่ตัวของเสี่ยวชุนอีกด้วย
“อ่อนแอ” เต๋อซิ่วแค่นเสียงออกมาอย่างดูแคลน
“บ่าวขอตัวพาคุณชายกลับจวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวชุนประคองต้าเหนิงลงจากชั้นสอง
“ยังมีเวลาเหลืออยู่เล็กน้อย ให้คุณชายเสิ่นพักที่ห้องรับรองก่อนเถิด ได้ดื่มน้ำแกงอีกครู่ก็คงจะดีขึ้น”
หลี่เลี่ยงหลิง ไม่อยากให้ต้าเหนิงนางกลับไปทั้งสภาพเช่นนี้ เสนาบดีเสิ่นคงได้ถวายฎีกาหาว่าองค์รัชทายาทและองค์ชายรังแกบุตรของตนแน่
“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวชุนรับคำโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ก่อนจะประคองต้าเหนิงกลับเข้าไปในห้องรับรองอีกครั้ง
ทุกคนต่างแยกย้ายกลับไปเข้าชั้นเรียน เสี่ยวชุนจึงให้คนไปตามแม่นมถิงมาดูแลต้าเหนิงที่เหลาอาหาร บางเรื่องเขาก็ไม่สะดวกที่จะช่วยเหลือนางได้
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ได้เฝ้าไว้ตลอดหรือ” แม่นมถิงมองต้าเหนิงที่นอนหลับอย่างปวดใจ
“ในห้องรับรอง มีองค์รัชทายาท องค์ชาย และสหายของคุณชายอยู่ ข้าน้อยเข้าไปไม่ได้ขอรับ”
“สวรรค์!!!”
“แม่นม ท่านรีบทำให้คุณชายสร่างเมาเถิด ประเดี๋ยวจะต้องเข้าเรียน”
“เจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน แล้วบอกเสี่ยวเอ้อให้ยกน้ำเข้ามาด้วย”
แม่นมถิงลงมืออย่างรวดเร็ว นางป้อนน้ำแกงสร่างเมาให้ต้าเหนิง ทั้งยังช่วยเช็ดเนื้อตัวให้นาง เพื่อให้นางรู้สึกตัวเร็วขึ้น แต่ฤทธิ์สุรานารีแดง ช่างแรงเหลือหลาย ต่อให้ต้าเหนิงรู้สึกตัวแล้ว แต่นางก็ยังคงปวดหัวไม่หาย
“ยามใดแล้ว” สายตาของนางเลื่อนลอยอย่างไร้สติ
“อีกหนึ่งเค่อจะเริ่มเรียนแล้วขอรับ”
ต้าเหนิงดีดตัวขึ้นจากที่นอนทันที นางให้แม่นมถิงจัดเสื้อผ้าของนางเข้าที่ให้เรียบร้อย ก่อนจะลากเสี่ยวชุนให้ไปที่ลานฝึกซ้อมกระบี่อย่างรวดเร็ว แต่นางก็ยังไม่ลืมที่จะบอกให้แม่นมถิงจัดการเรื่องค่าอาหารให้นางด้วย
พอมาถึงลานฝึกซ้อม ยังดีที่อาจารย์ตู้ยังมาไม่ถึง แสงแดดยามบ่ายที่ร้อนระอุ ยิ่งทำให้ต้าเหนิงไม่สบายตัวมากกว่าเดิม หัวของนางก็แทบระเบิดออกมา ใบหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าเกิดจากสุราหรือว่าโดนแดดเผากันแน่
“อาเฉิง พวกข้าก็ไม่รู้ว่าองค์ชายห้าจะเปลี่ยนน้ำชาเป็นสุรา” อู๋หลางเดินเข้ามาหานางอย่างรู้สึกผิด
“เมื่อก่อนเจ้าก็เคยดื่มกับพวกข้า ยังไม่เมาเช่นนี้เลย” อู๋หลางเอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ
“คงเป็นที่ร่างกายของข้ายังอ่อนล้าไม่หาย เมื่อดื่มไปเล็กน้อยจึงได้มีสภาพเช่นนี้” ต้าเหนิงได้แต่แก้ต่างไปข้างๆ คูๆ ยังดีที่ซูกวนและอู๋หลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของนาง
“แล้วเจ้ายังมึนเมาอยู่หรือไม่”
“นิดหน่อย” ทั้งสองไม่เชื่อคำของต้าเหนิงเด็ดขาด เมื่อใบหน้าของนางยังแดงก่ำไม่หาย
ต้าเหนิงนางไม่เคยร่ำเรียนเรื่องการต่อสู้มาก่อน กระบี่ก็ไม่เคยได้จับ ธนูยิ่งแล้วใหญ่ ยังดีที่วันนี้นางไม่ต้องใช้กระบี่จริง เป็นเพียงกระบี่ไม้ที่สั่งทำขึ้น เพื่อใช้ในการเรียน
แต่การร่ายรำกระบวนท่าต่างๆ ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด รวมกับร่างกายที่เพิ่งจะสร่างเมาของต้าเหนิงด้วยแล้ว ท่าที่นางร่ายรำตามอาจารย์ตู้ช่างขบขันยิ่งนัก
มือนิ่มที่จับเพียงเข็มเย็บผ้า ต้องมาจับกระบี่ไม้ร่ายรำ ไม่นานก็เริ่มบวมแดงอย่างน่าสงสาร แต่นางก็กัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้ แม้จะถูกหัวเราะถากถางเรื่องที่นางร่ายรำไม่ได้เรื่องก็ตาม
“มีอันใดน่าขันกัน” อู๋หลางแก้ต่างแทนต้าเหนิง ถึงแม้สหายจะร่ายรำได้น่าเกลียด แต่เขาก็ไม่อาจพูดออกมาได้
“ช่างเถิด ข้าไม่เป็นอันใด” นางยกชายเสื้อขึ้นจะเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาบนใบหน้า แต่ก็หยุดชะงักลง
คุณหนูในห้องหอล้วนแต่ถูกสอนระเบียบมาอย่างเข้มงวด ตัวนางก็เช่นกัน เมื่อก่อนต้องพกผ้าเช็ดหน้าถึงสามผืน แต่ตอนนี้ที่ตัวนางไม่มีสักผืน ข้าวของทั้งหมดอยู่ที่เสี่ยวชุน จะใช้แขนเสื้อเช็ดก็ดูไม่งาม
“เป็นอันใดไป” ซูกวนเห็นท่าทางคับข้องใจของ ต้าเหนิงจึงเอ่ยถามออกมา
“ปะ เปล่า”
สุดท้ายนางก็ทนรำคาญไม่ได้ เมื่อเหงื่อเริ่มจะไหลเข้าตาของนางแล้ว จำต้องใช้แขนเสื้อเช็ดอย่างเสียไม่ได้ มิใช่เพียงแค่นางที่ทำเช่นนี้ แม้แต่เหล่าองค์ชาย ก็ทำเช่นกัน
ชุดที่ใช้เข้าเรียนกระบี่ เป็นชุดรัดรูปที่ช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วสะดวกสบาย จึงไม่มีผู้ใดที่พกผ้าเช็ดหน้าไว้กับตัวเลยสักคน
คุณชายจากจวนแม่ทัพ ต่างก็หันมาเล่นต่อสู้กันอย่างสนุกสนาน ส่วนจวนขุนนางบุ๋น หลังจากเรียนท่าทางร่ายรำแล้ว ต่างก็แยกไปหลบมุมอยู่ใต้ต้นไม้
ต้าเหนิง ซูกวน อู๋หลางก็เป็นหนึ่งในนั้น บ่าวของทั้งสามเมื่อเห็นคุณชายของตนหลบเข้าร่ม ต่างก็หาน้ำชา ผ้ามาให้พวกเขา
การเรียนร่ายรำกระบี่อยู่กลางแดดในยามบ่าย นับเป็นความทรมานอย่างที่สุดของต้าเหนิง ใบหน้าของนางแดงก่ำจนน่าสงสาร ไหนจะคอที่แห้งจนเกือบจะเป็นผงแล้ว พอเสี่ยวชุนเทน้ำส่งมาให้นางก็รีบดื่มลงคอทันทีถึงสามแก้วติดๆ กัน
“ข้าไม่ชอบเรียนต่อสู้เลย” นางอดที่จะบ่นกับเสี่ยวชุนไม่ได้
“กลับไปข้าน้อยสอนกระบวนท่าคุณชาย” เสี่ยวชุนที่อยู่ร่วมกลุ่มกับบ่าวมองผู้เป็นนายเรียน อดจะที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ ท่าทางของต้าเหนิงน่าเกลียดจริงๆ
“หึ ข้าไม่เรียน” นางยู่ปากอย่างไม่สบอารมณ์ เพียงแค่อ่านตำรานางก็หมดเวลาที่จะไปสนใจสิ่งอื่นแล้ว
“...” ถึงไม่พูดออกมา เสี่ยวชุนก็ตั้งมั่นเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องหาทางสอนต้าเหนิงให้ได้ จะปล่อยให้คุณชายคนอื่นหัวเราะผู้เป็นนายได้อย่างไร
ร่างอวบอ้วนของฝาแฝดทั้งสามวิ่งไปที่เรือนพักของต้าเหนิงแทบจะในทันที แม้แต่บ่าวรับใช้และแม่นมยังวิ่งไล่ตามไม่ทัน“ลูกชายแม่กลับมาแล้ว” ต้าเหนิงยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ทั้งสามที่ปีนขึ้นมานั่งบนเตียง“ท่านแม่เป็นเช่นใดขอรับ เหตุใดถึงล้มป่วยได้เล่า” ลู่ซือเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“ต่อไปข้าไม่ไปจวนใดแล้ว” หนิงเจี้ยนมองใบหน้าซีดขาวของต้าเหนิงอย่างปวดใจ“ท่านแม่กินยาแล้วหรือยังขอรับ” ดวงตากลมโตที่เอ่ยคลอไปด้วยน้ำของหรงซิ่งที่มองมา ทำให้ต้าเหนิงนางในเหลวไปเลย“พระชายา จะมีน้องให้ซื่อจื่อทั้งสามเจ้าค่ะ มิได้ล้มป่วยหนักเช่นที่กังวล” อาซียิ้มมองทั้งสามอย่างเอ็นดู“น้องอยู่ไหน” หรงซิ่งมองหาน้องก็ไม่เห็นจะมี“เจ้าโง่ น้องก็ต้องอยู่ในท้องท่านแม่อย่างไรเล่า ดูท่านป้าสะใภ้ที่ท้องโตใกล้คลอด เจ้าไม่รู้ความเสียจริง” หนิงเจี้ยนปรายตามองหรงซิ่งอย่างดูแคลน“ในนี่หรือ ไม่เห็นจะใหญ่เช่นป้าสะใภ้เลย” หรงซิ่งลูบท้องของต้าเหนิงเบาๆ“อีกไม่กี่เดือนก็จะใหญ่เช่นฮูหยินน้อยเสิ่นแล้วเจ้าค่ะ” อาจิ่วพูดไปก็ยิ้มขบขันไปต้าเหนิงมองบุตรทั้งสามอย่างรักใคร่ ต่อให้พวกเขาจะดื้อรั้นเช่นใด แต่เมื่ออยู่กับนางก็เป็นเด็กที่ว่าง่ายยิ่งนักผ่า
แต่เต๋อซิ่วจะยอมได้อย่างไร ต่อให้ยังไม่มีบุตรสาวเขาก็ไม่ยอมรับ เต๋อซิ่วส่งหยกพกสีชมพูคืนกลับไปให้เจี้ยหรุน พร้อมจดหมายที่เขียนตำหนิร่ายยาวถึงสามแผ่นฝากไปให้เขาด้วยเจี้ยหรุนที่ได้อ่านก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นห้องทรงงาน เขาคิดเช่นที่เต๋อซิ่วเข้าใจจริงๆ หากต้าเหนิงนางมีบุตรสาวไม่รู้ว่าจะงามล่มเมืองเช่นเดียวกับนางหรือไม่ จึงอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ก็เท่านั้นแต่เจี้ยหรุนรู้ดีว่า เต๋อซิ่วไม่มีทางยอม คนตระกูลเสิ่นไม่ยอมให้ลูกหลานของตนแต่งกับคนที่ไม่อาจมีภรรยาเดียวได้ แต่อย่างว่าโชคชะตาช่างเล่นตลก เมื่อบุตรสาวของต้าเหนิงแต่งกับพระโอรสองค์ที่สามที่เกิดจากฮองเฮาของเจี้ยหรุนจริงๆจินเหรินและหลินหว่านเดินทางล่วงหน้ากลับเมืองหลวงก่อน ต้าเหนิงนางต้องรอให้ฝาแฝดอายุครบหกเดือนก่อนถึงจะออกเดินทางคนที่ยินดีที่สุดอีกคนเห็นจะเป็นตงฟู่ ที่จะได้กลับเมืองหลวงเสียที ทั้งยังมีตำแหน่งรองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรรอเขาอยู่อีกด้วยเต๋อซิ่ว ได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวง แทนที่แม่ทัพหลิวท่านลุงของต้าเหนิงที่ไปประจำการอยู่ชายแดนใต้ แทนตระกูลจ้าว จ้านอ๋องหรือมู่เฉียงยังคงเป็นกุนซือข้างกายของเต๋อซิ่วต่อไ
เมื่อเห็นว่าเป็นเขาจริง นางก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง“บาดเจ็บหรือไม่ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน อาซิ่ว...ข้ากลัว กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้พบท่านแล้ว” นางโอบกอดรอบคอเต๋อซิ่วเอาไว้แน่น“ข้ากลับมาแล้ว ไม่มีทางแยกจากเจ้าอีกแล้ว” นานเกือบหกเดือนที่เขาห่างจากนาง โดยที่ไม่รู้เลยว่านางตั้งครรภ์อยู่ หากกลับมาไม่ทันนางคลอด หรือหลินหว่านนางไม่เดินทางมาอยู่กับต้าเหนิง เต๋อซิ่วคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ชั่วชีวิตเต๋อซิ่วเองก็ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบมาเช่นกัน แต่ได้น้ำวิเศษของหลินหว่านช่วยเอาไว้ เขาจึงเดินทางกลับมาถึงเมืองเป่ยโจวได้อย่างรวดเร็วยามนี้บาดแผลบนร่างกายของเต๋อซิ่วไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว พอต้าเหนิงนางตรวจสอบดูจึงไม่เห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บเช่นที่เขาพูดเอาไว้“ขึ้นเถิด ขออยากเห็นลูก”“อืม...ที่นี่คือที่ใด” เต๋อซิ่วอุ้มต้าเหนิงขึ้นจากน้ำ“ห้วงมิติของพี่สะใภ้ อาหว่านนางแต่งให้พี่ชายข้าเมื่อสามเดือนก่อน ตอนที่ท่านแม่รู้ว่าเด็กในท้องข้ามีมากกว่าหนึ่งคน นางจึงช่วยพี่สะใภ้มาอยู่ดูแลข้า หากนางไม่มา...” ต้าเหนิงเงียบเสียงลง ซุกเข้าไปในแผงอกของเต๋อซิ่ว“รอให้เจ้าพวกลูกเต่าโตเสียก่อน คอยดูว่าข้าจะจัดการพวกเขาเช่
ในมือขององครักษ์ของเต๋อซิ่วเหลือถุงน้ำที่ยังไม่ได้ใช้อีกเพียงแค่สี่ถุง ที่มู่เฉียงมีอีกถุง พวกเขาจึงอาศัยความวิเศษของน้ำ ดื่มวันละจอก แล้วเร่งเดินทางกลับตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้หยุดพักในตอนแรกเจี้ยหรุนเองก็อยากจะรั้งให้พวกเขาอยู่ที่แคว้นต้าเยี่ยสักหลายวัน เพื่อต้องการฝากของกำนัลไปมอบให้ต้าเหนิงที่นางมอบน้ำวิเศษให้ตน แต่เมื่อรู้เหตุผลก็ไม่อาจรั้งเต๋อซิ่วไว้ได้อีกต่อไปยังดีที่ตงฟู่ยังมิได้เดินทางกลับ เจี้ยหรุนจึงพอมีเวลาให้จัดเตรียมสิ่งของ เสบียงอาหารให้พวกเขา เจี้ยหรุนเองก็ไม่ได้หยุดพัก เมื่อต้องจัดการเรื่องในราชสำนักใหม่ทั้งหมด ไหนจะจัดการสนมนับพัน เรื่องราวที่เสด็จอาของตนสร้างเอาไว้มากมายสนมบางคนที่ยั่วยุให้ฮ่องเต้พระราชทานของมีค่า สร้างตำหนักพักตากอากาศให้ตน หรือรังแกเสด็จแม่ของเจี้ยหรุน ถูกตัดสิ้นให้ติดตามฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วเดินทางไปปรโลกพร้อมกันขุนนางชั่ว ต่างก็ถูกเก็บกวาดจนไม่เหลือ ทรัพย์สินที่ยึดมาได้เพียงพอให้เจี้ยหรุน นำมาฟื้นฟูแคว้นและปลอบขวัญครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตไปจินเหรินนางเดาเอาไว้ไม่ผิดนัก ว่าต้าเหนิงนางจะต้องคลอดก่อนกำหนดแน่ ในตำหนักจึงมีแม่นมเตรี
พอเข้ามาถึงในห้องโถง นอกจากฝูกงกง อาซีและอาจิ่วแล้ว สาวใช้คนอื่นต่างก็ออกไปรออยู่ด้านหน้า หลินหว่านนางต้องการตรวจครรภ์ให้ต้าเหนิง เครื่องมือที่นางใช้ ไม่มีในแคว้นต้าหลี่จึงไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้เห็นหูฟังแพทย์ ที่นางนำออกมา ตรวจฟังเสียงหัวใจของเด็กทารกในครรภ์ของต้าเหนิง“อื้มมมม ดูเหมือนว่าจะมีถึงสามคน” หลินหว่านมองครรภ์ของต้าเหนิงอย่างตกตะลึง“ห๊ะ!!! สามเลยหรือ” จินเหรินเริ่มจะเกิดความกลัวขึ้นมาแล้วยามที่นางคลอดเสิ่นเฉิงและต้าเหนิง เพียงแค่สองคนก็เกือบจะเอาชีวิตกลับมาไม่ได้ แต่นี่...ต้าเหนิงนางมีถึงสามคนในท้อง จะไม่ให้นางหวาดกลัวได้อย่างไร“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงมีข้าอยู่ อาเหนิงกับลูกของนางจะต้องปลอดภัยเจ้าค่ะ”จินเหรินจะไม่เชื่อคำพูดของหลินหว่านได้อย่างไร ในเมื่อนางเองก็ได้เห็นมิติของหลินหว่านแล้ว ทั้งยังเห็นของวิเศษของนางอีกด้วย“อีกสองเดือนจะคลอด ไม่รู้ว่าอาซิ่วจะกลับมาทันหรือไม่” ต้าเหนิงลูบท้องของนางอย่างเหม่อลอยต่อให้มีมารดาและพี่สะใภ้มาอยู่ดูแลแล้ว แต่ต้าเหนิงนางก็ยังอยากให้เต๋อซิ่วอยู่ข้างนางตอนที่นางคลอดอยู่ดีทางด้านเต๋อซิ่ว เดินทางถึงเมืองหลวงแคว้นต้าเยี่ยแล้ว ฮ่องเต้ของแค
ต้าเหนิงนางยังคงไม่เชื่อว่านางจะตั้งครรภ์แล้ว“หากไม่ใช่เล่า พวกเจ้าก็อย่าเพิ่งดีใจกันไป ข้าเพียงแค่กินอาหารไม่ลงเท่านั้น” นางไม่เห็นจะมีอาการเช่นเกาซีม่านสหายของนางเลย ที่อาเจียนจนลุกจากที่นอนไม่ได้ ไหนจะต้องนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง หากลุกขึ้นแล้วจะมันหัวจนเดินไม่ได้“เชื่อบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวตั้งครรภ์ ก็เหม็นกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ แต่บ่าวอาเจียนเสียลุกไม่ขึ้นอยู่นานหลายเดือน รอให้ท่านหมอมายืนยันอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”ต้าเหนิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ หลายวันมานี่ นางก็ไม่นึกอยากอาหาร ทั้งยังไม่อยากกินเนื้อสัตว์เช่นที่สาวใช้อาวุโสว่าจริงๆเมื่อท่านหมอมาถึง พอได้ตรวจชีพจรของต้าเหนิง หมอก็แจ้งข่าวมงคลกับนาง ต้าเหนิงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว“เช่นนั้นก็ก่อนที่จะมาถึงเป่ยโจว แล้วเด็กในท้องข้าเป็นเช่นใดบ้าง” นางร้องถามอย่างรวดเร็ว“ครรภ์ของพระชายาแข็งแรงดีขอรับ มิต้องห่วง พระชายาเพียงต้องแข็งใจกินอาหารให้มากขึ้นกว่าเดิม ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวลแล้ว เดือนหน้าข้าน้อยจะมาตรวจให้ท่านใหม่ ตอนนี้ยังไม่ต้องกินยาบำรุงครรภ์ขอรับ”“ขอบคุณท่านมาก เรื่องที่ข้าตั้งครรภ์ ท่านหมอช่วยเก็บเป็นความลับเอาไว้เสียก่อน







