ในขณะที่มู่หรงจิ่งนั้นเพิ่งพบว่าตนเองได้ทำดวงใจกึ่งหนึ่งของตนเองหล่นหายไปต่อหน้าต่อตาอยู่นั้น ฝ่ายของผู้เป็นดวงใจอีกกึ่งหนึ่งของเฉินกั๋วกงหนุ่ม บัดนี้นางกลับกำลังดำดิ่งลงจากหน้าผาสูงชันด้วยอารมณ์สิ้นหวังและท้อแท้อย่างถึงแก่นมิใช่แต่เสียใจที่ถูกบุรุษที่รักหลอกลวงแต่ทุกคนใกล้ตัวของนางล้วนหลอกลวงทั้งสิ้น!
...และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือท่านพ่อของนาง!...
เพราะจากเสร็จพิธีกราบไหว้ป้ายวิญญาณที่หอบรรพชนหลังยามจื่อ บิดาของนางก็หายไป จวบจนโจวอี้เหนียงกับหลู่อวิ๋นเซียงพยายามจะจับนางกรอกยาพิษ นางก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของบิดาโผล่ออกมาขัดขวางหรือช่วยเหลือ นี่มิใช่ว่าบิดาของนางทอดทิ้งบุตรสาวเช่นตนเองหรอกหรือ?
ร่างเล็กร่วงหล่นลงมาไม่นานความรู้สึกราวกับตนเองไร้น้ำหนัก สายน้ำหนึ่งก็พุ่งถาโถมเข้ามา ใต้หน้าผาแห่งนี้เต็มไปด้วยยอดไผ่ด้วยภาพด้านบนแต่ด้านล่าง กลับมีแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านต้นทางของสายน้ำคือน้ำตกขนาดใหญ่จากภูเขาอีกฝั่ง ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดปะทะร่างกายและใบหน้าทำให้นางเสียขวัญอยู่บ้าง แต่ก็เพียงครู่ความหวาดกลัวนั้นจึงหายไป จนเห็นแอ่งน้ำตกขนาดใหญ่อยู่เบื้องล่างเจี่ยอวี้ หลันก็หลับตาลงพร้อมรอรับแรงกระแทกและความเจ็บปวดด้วยจิตใจสิ้นหวัง...
ตูม! ซ่า!
ไม่นานต่อจากนั้นเสียงดังตูมใหญ่ ก่อนหยาดน้ำจะสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง ความรู้สึกชาไปทั้งร่างสาดซัดถาโถมอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนความรู้สึกจุกจะแล่นเข้ามาแทนอาการเจ็บจนชาหนึบไร้ความรู้สึกก่อนที่จะทันคิดสิ่งใดสายน้ำก็พัดพาร่างของนางลอยลงไปในแอ่งน้ำที่แยกจากสายน้ำตกใหญ่ที่อยู่ใต้หน้าผา ซึ่งจุดบรรจบของสายน้ำนี้คือแอ่งน้ำไม่ใหญ่แต่ค่อนข้างลึก
ท่ามกลางไอหนาวที่พวยพุ่งเข้ากัดกินสติของเจี่ยอวี้หลันทุกขณะอยู่นั้น ศีรษะของนางกลับไปกระแทกเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างแรง ความเจ็บแปลบเล่นงานรุนแรง แต่ยังไม่ทันไร นางก็รู้สึกว่าใบหน้าด้านซ้ายกระแทกเข้ากับก้อนหินอีกก้อนซ้ำไปอีกครั้งรุนแรง คราวนี้เจ็บจนสติของหญิงสาวจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิดลงทันทีทันใด!
ใครจะคาดคิดว่าในแอ่งน้ำแห่งนี้กลับมีบุรุษผู้หนึ่งครอบครองอยู่ก่อนแล้วบุรุษเรือนกายสูงใหญ่เกินแปดฉื่อ (สูงราว180ถึง190ซม.) บุรุษผู้นี้เขากำลังแช่ร่างราวกับว่าน้ำในแอ่งนี้เป็นน้ำพุร้อนทั้งที่ความเป็นจริงมันเย็นจนปวดกระดูกทีเดียว แต่เพราะไปออกรบครั้งนี้เขากลับถูกพิษกิเลนเพลิงจนเกือบไปเยือนขุมนรกถึงรักษาจนรอดชีวิตมาได้จนถึงวันนี้แต่หากวันดีคืนดีเกิดพิษร้ายกำเริบเขาก็ต้องรีบหาน้ำเย็นจัดแช่ครั้งละหนึ่งชั่วยามเป็นอย่างต่ำหลังดื่มยาถอนพิษเพื่อปรับเลือดลมบางครั้งหากกำเริบรุนแรงน้ำแข็งเขาก็เคยผ่านมาแล้วดังนั้นน้ำเย็นจากแอ่งธรรมชาติสำหรับเขายังจะนับเป็นอันใดได้อีก
เจ้าของเรือนกายแกร่งกำลังหลับตาแผ่นหลังของเขาพิงโขดหินดูผ่อนคลายทั้งที่ความจริงแล้วเขาตื่นตัวอยู่ทุกลมหายใจ แต่เพราะเสียงดังตูมใหญ่คล้ายมีบางสิ่งตกลงมา ซ่างกวนไท่จึงลืมตาขึ้นมาทันที เขาจับจ้องผิวน้ำที่เคยสงบไร้คลื่นและสะอาดใสแจ๋วจนเห็นตัวปลาน้อยใหญ่แต่บัดนี้จากน้ำใสสะอาดเปลี่ยนเป็นชมพูจางๆ เพราะมีโลหิตปะปนกับสายน้ำเสียแล้ว ร่างแกร่งไม่ไหวติง มีเพียงดวงตาหงส์คู่นั้นที่จับจ้องไปยังที่มาของโลหิตดังกล่าว ซ่างกวนไท่เป็นน้องชายของฉางตี้ฮ่องเต้ หรือซ่างกวนโทว
ซ่างกวนไท่ปีนี้เขาอายุยี่สิบสามดำรงตำแหน่งชินอ๋องของอาณาจักรต้าเซี่ย สองปีก่อนเผ่าหู่และกั๋วเซาร่วมมือกันก่อกบฏคิดแยกตัวออกจากต้าเซี่ย เขาจึงรับอาสาไปปราบกบฎแทนฉางตี้ฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายหกเดือนก่อนกบฎถูกปราบแล้ว เขาจึงเดินทางกลับมายังมหานครเสียนหยางซึ่งเป็นเมืองหลวงของต้าเซี่ยพร้อมกับองค์หญิงของเผ่ากั๋วเซาและบรรณาการอีกหลายร้อยชิ้นส่งมอบให้กับท้องพระคลังและฉางตี้ฮ่องเต้
แต่เพราะพิษกิเลนเพลิงกำเริบ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนเขาจึงให้แวะพักขบวนแล้วมาแช่น้ำอยู่ในแอ่งน้ำแห่งนี้ เพราะสมัยยังเป็นเพียงองค์ชายเจ็ดนั้นเคยหลงป่าและมาพบเข้ากับสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญแต่ใครจะคาดคิด เขากลับมาพบเจ้าสาวผู้หนึ่งตกหน้าผาลงมาขัดอารมณ์เสียได้ ดวงตาสีดำราวน้ำหมึกยังคงจ้องแน่วแน่ไปยังร่างในชุดเจ้าสาวนิ่ง
ส่วนเจี่ยอวี้หลันคาดว่านางคงชะตายังไม่ถึงฆาต เพราะพอร่างกายสำลักน้ำเข้าไปนางก็กลับมาได้สติอีกครั้งพอนางได้สติสิ่งแรกย่อมขยับมือขยับเท้าแหวกว่ายหวังเอาชีวิตรอดไปให้ได้ ใบหน้าของมารดาและท่านปู่ท่านย่าลอยมาช่วยฉุดดึงให้นางฮึดสู้ ยิ่งคิดไปถึงจาง หมัวมัวกับเสี่ยวหมิ่นและเสี่ยวเจี๋ยแม่นมกับสองสาวใช้คนสนิทที่ถูกจับกรอกยาพิษตายต่อหน้าต่อตาด้วยฝีมือของมารดาเลี้ยงผู้แสนดีกับน้องสาวใสซื่อ นางจึงรู้สึกว่าตนเองเช่นไรก็ย่อมตายมิได้!
มีจังหวะหนึ่งสายน้ำทะลักเข้าไปในปากและจมูก คล้ายจะขาดใจแล้วจริงๆ แต่เพราะแรงแค้นที่มีต่อโจวอี้เหนียงกับหลู่อวิ๋นเซียงนางจึงไม่ยินยอม ใช้มือกับเท้าตะเกียกตะกายจนสามารถโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแต่ก็สำลักและจมลงอีกครั้งเพราะยังว่ายน้ำไปไม่พ้นส่วนที่ลึกของแอ่งน้ำนั่นเอง
ซ่างกวนไท่ที่จับตามองร่างน้อยอยู่นานแล้วรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย หน้าผาแห่งนี้สูงมากถึงจะตกลงมา ในสายน้ำลึก แต่เช่นไรร่างกายคนเราก็มีเลือดมีเนื้อ รวมไปถึงกระดูก เมื่อตกลงมาจากที่สูงขนาดนี้นางยังตะเกียกตะกายเพื่อจะรอดชีวิตให้จงได้ เขาชักเริ่มจะถูกใจแม่นางน้อยผู้นี้ขึ้นมาเสียแล้วสิ
...ต้องเคียดแค้นเพียงใดใจของนางจึงสู้ไม่ถอยเช่นนี้? ...
พอคิดได้ดังนั้นซ่างกวนไท่จึงดำน้ำตามร่างเล็ก ที่จมดิ่งลงไปก้นแอ่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ทันทีทั้งที่ปกติเขาไม่เคยทำตัวเป็นคนดีช่วยชีวิตผู้อื่นมาก่อนเลย แต่แทนที่เขาจะตรงเข้าไปโอบกอดแล้วพานางขึ้นจากน้ำด้วยดีแต่ชินอ๋องหนุ่มผู้มีสมญานามว่า ปีศาจขาวแห่งวังหลวง กลับใช้มือดึงด้านหลังชุดแต่งงานของนางจากนั้นก็ลากขึ้นไปโยนโครมราวกับนางไม่ใช่มนุษย์มีเลือดมีเนื้อเสียอย่างนั้น
อั๊ก!
เจี่ยอวี้หลันหลุดเสียงร้องออกมาได้เท่านั้น ผ่านไปอีกอึดใจหญิงสาวที่เพิ่งผ่านความตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็พยายามจะเปิดเปลือกตามองดูว่าผู้มีพระคุณของนางเป็นผู้ใดกันแน่แต่เพราะบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกสุดท้ายนอกจากปลายเท้าของคนผู้นั้นนางก็มิอาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกเพราะตัวนางนั้นดันหมดสติลงไปอีกครั้งเสียก่อน
“นายท่านเกิดอันใดขึ้น!?”
เหวินไห่ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงแปลกๆ จึงรีบเข้ามาแต่ก็ยังช้ากว่าชินอ๋องซ่างกวนไท่ที่จัดการสิ่งแปลกปลอมที่ตกลงมารบกวนเขาก่อนอยู่ดี
“นางเป็นใคร”
คราวนี้เป็นจิ้งเสียนองครักษ์อีกคนของชินอ๋องปรากฏกายขึ้นมาแล้วก้มลงไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งไปแล้วเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกคน แต่เป็นการถามสหายเช่นเหวินไห่มิใช่ชินอ๋องหนุ่ม
“ก็มาพร้อมกันกับเจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามผู้ใด” เหวินไห่ตอบสหายไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ทำเอาจิ้งเสียนถึงกับมองตาขวางที่อีกฝ่ายชอบพูดจาไม่เข้าหู ซ่างกวนไท่ให้เหนื่อยใจกับสองคนสนิทของเขายิ่งนัก ยามอยู่สนามรบก็ดูรักใคร่กันดีแต่พอกลับมาแนวหลังพวกมันกลับตบตีกันเองสมควรตายจริงๆ
“เปิ่นหวางเองก็ไม่รู้ว่านางคือผู้ใด รู้เพียงนางตกลงมาจากบนนั้น”
ซ่างกวนไท่เอ่ยขึ้นแล้วเดินหลีกไปเปลี่ยนอาภรณ์ ที่ปลดวางเอาไว้ก่อนจะลงไปแช่น้ำ โชคดีที่เจี่ยอวี้หลันหมดสติไปก่อนมิเช่นนั้นนางคงตกใจจนสลบไปเป็นแน่หากพบว่าบุรุษผู้ช่วยชีวิตของตนเองเอาไว้เปลือยกายแช่อยู่ในน้ำเช่นนั้น พอเรียบร้อยเขาจึงเดินย้อนกลับออกมาอีกครั้ง
“เอานางไปด้วย”
กล่าวแค่นั้นแล้วเรือนกายสูงใหญ่ก็เดินจากไปปล่อยให้เหวินไห่กับจิ้งเสียนนั้นเหลียวมองหน้ากันไปมาสุดท้ายจึงเป็นจิ้งเสียนที่ปลดเสื้อคลุมของตนเองมาห่อร่างเล็กแล้วให้เหวินไห่หามส่วนเท้าเขาเป็นผู้หามด้านบนแทน ช่วยไม่ได้ในเมื่อตกลงกันมิได้ก็ใช้วิธีนี้นับว่าลงตัวยิ่ง
ยังดีว่าพอถึงขบวนเสด็จของชินอ๋องซ่างกวนไท่แล้วมีท่านหมอฝีมือดีเช่น หยวนหย่งฉี ซึ่งเป็นหมอหลวงประจำกองทัพร่วมทางกลับมาด้วยเพราะเขาต้องรักษาอาการถูกพิษของชินอ๋อง ทำให้อาการสาหัสของเจี่ยอวี้หลันได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
“ศิษย์พี่นางคือผู้ใดหรือเจ้าค่ะ?”
จูเสวียนจี หมอหลวงหญิงผู้เป็นศิษย์น้องของหยวนหย่งฉีเอ่ยขึ้นเมื่อนางถูกตามให้มาเปลี่ยนอาภรณ์ของคนป่วยที่บาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่งก่อนจะพบว่านางเป็นสตรีและมิใช่สตรีธรรมดาแต่ดูเช่นไรสตรีนางนี้ก็เป็นเจ้าสาวแน่นอนแล้วชินอ๋องไปชิงตัวเจ้าสาวของบ้านใดมากันเล่า?
“ห้ามถาม ข้าเคยเตือนเจ้าหลายครั้งแล้วมิใช่หรือว่าทำงานกับชินอ๋องห้ามปากมาก ห้ามสงสัยส่งเดชน่ะเสวียนจี” หยวนหย่งฉีเอ่ยเตือนศิษย์น้องด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“แต่ว่า…” หากแต่จูเสวียนจีนั้นกลับยังติดใจสงสัยอยู่มาก
“หุบปากเดี๋ยวนี้ หน้าที่ของเจ้าคือปลดอาภรณ์นางออกก็จงทำไป!”
พอถูกดุดันจริงจังจูเสวียนจีจึงปิดปากแล้วทำงานในหน้าที่ของตนเองได้เสียที ก่อนจะต้องยกมือปิดปากตนเองซ้ำลงไป เมื่อได้เห็นภายในชุดเจ้าสาวว่าร่างอรชรนี้บาดเจ็บหนักเพียงใด นอกจากศีรษะแตกเป็นแผลลึกแล้วใบหน้าของนางยังเป็นรอยก้อนหินบาดเป็นแผลฉกรรจ์จนนางเสียวท้องน้อยกับบาดแผลดังกล่าวขนาดเป็นหมอทหารผ่านบาดแผลสาหัสมากมายทุกรูปแบบ แต่คงเพราะนางเป็นสตรีใจจึงสั่นไหวกับบาดแผลที่ใบหน้าเช่นนี้อย่างมาก
“สวรรค์…นางไปพบเรื่องร้ายอันใดมากันแน่เนี่ยศิษย์พี่หย่งฉี”
เผลอหลุดปากออกมาได้เท่านั้นท่านหมอหญิงจูจึงเพิ่งได้สติเลยรีบตบปากตนเองจากนั้นจึงทำสิ่งที่ศิษย์พี่มอบหมายจนเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว กระดูกภายนอกของคนป่วยผู้นี้ไม่มีแตกหักเสียหายแต่กระดูกภายในโดยเฉพาะซี่โครงนั้นของนางหักถึงสามซีก และมีซีกหนึ่งทิ่มเข้าไปภายในปอด ยังดีว่าเป็นหยวนหย่งฉีเป็นคนรักษาหาไม่สตรีผู้นี้คงไม่รอดแล้วเป็นแน่
“นางเป็นสตรีใจสู้จริงๆ”
หยวนหย่งฉีหรือในฐานะเปิดเผยของท่านหมอผู้นี้คือเว่ยกั๋วกงพูดขึ้นโดยไม่ได้เหลียวไปมองหน้าญาติผู้น้องของตนเอง แต่ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจับตามองเขาและผู้บาดเจ็บอยู่ เพราะการรักษาเร่งด่วนนี้เกิดขึ้นบนรถม้าของชินอ๋องนั่นเอง
“ที่เก็บนางมาก็เพราะเปิ่นหวางชอบที่นางสู้ไม่ถอยนี่แหละคนเช่นนี้จึงคู่ควรให้ปีศาจขาวเช่นเปิ่นหวางยื่นมือช่วยเหลือ”
คนเราหากจะสู้ไม่ถอยเช่นไรก็ไม่ยอมตายหากไม่มีห่วงหนักหนาให้ต้องกลับไปดูแลก็ต้องมีแค้นยากจะปล่อยวาง และสำหรับซ่างกวนไท่จะเป็นประเภทไหนล้วนสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น การใช้คนประเภทนี้เก้าในสิบส่วนจากประสบการณ์ของเขาล้วนสำเร็จ ดังนั้นเก็บสตรีผู้นี้มารักษาเอาไว้เขาเชื่อแน่ว่าภายหน้าต้องให้นางชดใช้อย่างเหมาะสมแน่นอน
“เปิ่นหวางชอบเลี้ยงคนประเภทนี้ที่สุด หึ!”
มุมปากละมุนละไมยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มลึกลับ สมกับสมญานามปีศาจขาวจนหยวนหย่งฉีแลเห็นคราวใดพลันขนลุกทุกครั้ง ถึงซ่างกวนไท่จะเป็นญาติผู้น้องห่างๆ และอายุน้อยกว่าเขาห้าปีแต่เชื่อเถิด เจ้าหมอนี่น่ะ ความน่ากลัวเป็นที่สองรองก็เพียงฉางตี้ฮ่องเต้แล้ว จิตใจยากแท้หยั่งถึงยิ่งนักขนาดเขาเติบโตใกล้ชิดมาตลอดยังตามไม่ค่อยจะทันแต่ละความคิดของสองพี่น้องซ่างกวนคู่นี้
คนอื่นคงไม่ต้องเอ่ยถึงทั้งที่ไม่ว่าจะซ่างกวนโทวหรือซ่างกวนไท่ล้วนเป็นบุรุษรูปงามที่ยากจะหาสิ่งใดเปรียบขนาดเขาเป็นบุรุษมองยังมีหวั่นไหวคงมิต้องเอ่ยถึงสตรี แต่เพราะพวกเขาทั้งสองคนเป็นจอมปีศาจ ผู้หนึ่งขาวผู้หนึ่งดำ ยิ่งเมื่อสามปีก่อนเคยทำเรื่องใหญ่เอาไว้ ต่อให้รูปโฉมหล่อเหลาปานเทพเซียนก็ยากจะล่อลวงคนได้
แต่อันที่จริง สองพี่น้องซ่างกวนรูปโฉมมิได้งดงามหล่อเหลาราวเทพเซียน ทว่ารูปโฉมงดงามของพวกเขานั้นคล้ายราชาปีศาจมากกว่า
“เปิ่นหวางสังหรณ์ใจว่าในไม่ช้า นางจะช่วยงานเปิ่นหวางได้ เจ้าก็รักษานางให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
เจ้าของรูปโฉมราวกับราชาปีศาจประทานพรเอนกายหลับตาลงพึมพำออกมาเช่นนั้น แต่ใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าตัวของพ่อปีศาจ
ฝ่ายหยวนหย่งฉีหลังได้ฟังสิ่งที่พ่อปีศาจขาวพูดออกมาทั้งหมดก็ถึงกับแอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เพราะระหว่างตายไปจริงๆ กับถูกปีศาจร้ายเช่นซ่างกวนไท่ยื่นมือช่วยเหลือเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่นางน้อยเจ้าสาวโชคร้ายผู้นี้โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
ตอนพิเศษวันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ฤดูกาลยังคงเคลื่อนผ่านไปตามวัฏจักรของโลกา หลังจากวันที่ซ่างกวนไท่จัดการให้เจี่ยอวี้หลันได้นำโลหิตคนชั่วไปเซ่นไหว้หลุมศพของบรรพบุรุษสกุลหลู่ได้สิบห้าวันก็ได้ออกเดินทางไปยังแคว้นอิ๋งโจวทันที เนื่องจากบ้านเมืองไม่สงบสุขชาวประชาย่อมยากจะอยู่เย็น กินอิ่มนอนอุ่นไปได้ โดยการเดินทางนั้น เจี่ยอวี้ หลันนั้นได้ตัดสินใจไม่นำเชลยแค้นทั้งสามไปด้วย นางทอดทิ้งคนชั่วให้ค่อยๆ ตายลงช้าๆ ภายในคุกคุมขังของฉางตี้ฮ่องเต้เพราะนางอยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปล่อยให้พวกมันทุกข์ทรมานกันไป ส่วนนางเลือกจะไปเสวยสุขกับบุรุษของนางแทน ความรู้สึกผิดและติดค้างคนสกุลหลู่ของนางจางหายไปตั้งแต่วันที่นำโลหิตพวกมันไปเซ่นไหว้แล้วทิ้งอดีตอันเจ็บปวดให้ค่อยๆ ตายไปพร้อมกับคนกระทำถูกต้องที่สุดแล้ว...ช่วงแรกที่ไปถึงก็ไม่ได้ทุกข์ยากดังที่ซ่างกวนไท่กล่าวเอาไว้ อยู่ต่อไปอีกห้าเดือน อิ๋งโจวก็ส่งข่าวดีกลับไปที่เสียนหยาง ข่าวดีที่ว่าพระชายาเจี่ยตั้งครรภ์แล้ว ฉางตี้ฮ่องเต้ดีใจอย่างยิ่งจากอิ๋งโจวมาเสียนหยางห่างกันอยู่เจ็ดร้อยลี้ ดังนั้นจากที่แต่แรกซ่างกวนไท่คิดจะรั้งอยู่อิ๋งโจวเพียงสองถึงสามปีก็เปลี่ยนเ
ตอนที่ 35 || ตอนอวสานอีกหลายวันต่อมา หลังจากซ่างกวนไท่จัดการหลายสิ่งหลายอย่างเรียบร้อย เตรียมแต่จะเดินทางไปอิ๋งโจว คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะพาเจี่ยอวี้หลันไปพบคนที่ติดค้างนางและครอบครัวสกุลหลู่เสียทีผ่านไปร่วมห้าเดือน คนที่สมควรตายก็ตายไปหมดแล้วคนที่ต้องถูกเนรเทศก็เนรเทศไปจนสิ้น ใครต้องถูกขายไปเป็นทาสไปเป็นนางคณิกาก็ถูกขายไปจนสิ้น แต่ยังคงเหลืออีกสามชีวิตที่ถูกคุมขังมายาวนานร่วมครึ่งปีเงาร่างของบุรุษที่เคยหล่อเหลาปรากฏแก่สายตาของเจี่ยอวี้หลันเป็นคนแรก มอมแมมและซูบผอมอีกทั้งยังเหม็นเน่าจากบาดแผลที่คงถูกทรมานทุกวันจนไม่หลงเหลือสภาพของ เฉินกั๋วกงผู้ทรนงในอดีตแม้สักส่วน แต่นางก็ยังจดจำได้ว่ามันผู้นี้คือใคร“ไม่เจอกันนานเลยนะ มู่หรงจิ่ง”เสียงหวานดังกังวานไปทั่วคุกใต้ดินแห่งนี้ทั้งที่เจี่ยอวี้หลันก็เพียงเอ่ยด้วยโทนเสียงปกติแท้ๆ ไม่นานเสียงโซ่ตรวนก็ดังขึ้นบ้างบ่งบอกว่าเจ้าของร่างที่นอนขดตัวอยู่นั้นรับรู้ถึงการมาของนางแล้ว“ใคร?” ถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง“แย่จริง ไม่พบกันแต่ไม่เท่าไหร่เฉินกั๋วกงก็ลืมเปิ่นหวางเฟยเสียแล้ว”“หลิงเอ๋อร์!”พอมีสติรับรู้ได้มู่หรงจิ่งถึงกับกระชากโซ่ตรวนเพื่อจะพุ่ง
ตอนที่ 34หลังผ่านค่ำคืนวสันต์ของคู่สามีภรรยาไปเพียงสามวัน ซ่างกวนไท่ก็ควบคุมทหารไปอิ๋งโจว เพื่อจับกุมโซ่วอ๋องกับกองกำลังที่ซ่องสุมมากว่าห้าปีโดยเมืองหลวงเป็นฉางตี้ฮ่องเต้กับแม่ทัพจี จีหยวนโจว ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ขององครักษ์ชั้นในปกป้องเสียนหยางเป็นผู้จับกุมเส้นสายของโซ่วอ๋อง แน่นอนว่าต้องมีสกุลมู่หรงกับสกุลหลู่รวมอยู่ด้วย เจี่ยอวี้หลันอยู่ภายในตำหนักชินอ๋องรับฟังอย่างสงบนางรอเพียงซ่างกวนไท่กลับมา เพราะเขารับปากกับนางแล้วว่าจะให้นางลงมือแก้แค้นด้วยตนเอง เจี่ยอวี้หลันเชื่อเขา นางจึงรออย่างใจเย็น กบฎของโซ่วอ๋องคราวนี้นับเป็นการถอนรากถอนโคนอย่างแท้จริง หากกล่าวว่าเมื่อครั้งกบฎองค์ชายรอง ซากศพ เผาไหม้ร่วมเดือน ครั้งนี้ก็แทบไม่แตกต่างและยิ่งเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงในด้านโหดร้ายของปีศาจดำและขาวจึงยิ่งโด่งดัง ในอดีตเจี่ยอวี้หลันยังเด็ก โลกของนางขณะนั้นมีเพียงสีขาวกับสีดำ จึงมองว่าสองพี่น้องซ่างกวนทั้งเหี้ยมโหดและอำมหิต ทว่าบัดนี้นางผ่านอะไรมามาก จึงไม่ได้ตัดสินเพียงขาวหรือดำ ถูกกับผิด แต่เจี่ยอวี้หลันมองจากมุมมองของความเป็นจริงจึงค่อยเข้าใจ แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นฉางตี้ฮ่องเต้หรือชินอ๋อง พวกเขาล้
ตอนที่ 33กล่าวจบซ่างกวนไท่ก็งอนิ้วชี้เคาะลงไปที่ปลายจมูกโด่งเรียวงามของ ‘ตัวแสบ’ เบาแสนเบา ก่อนที่จะขยับจับร่างแน่งน้อยในอ้อมแขนวางลงบนเตียงด้วยท่วงท่าอ่อนโยน และทะนุถนอมราวกับเจี่ยอวี้หลันนั้นเป็นไข่ในหิน ก็เพราะเขารักนางถึงเพียงนี้ จะไม่ถนอมได้อย่างไรไหว“ข้าจะถนอมเจ้า ให้เจ็บปวดน้อยที่สุด แต่เจ้าก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ดื้อดึงเช่นคราวก่อน”กล่าวพลางคร่อมกายอยู่เหนือร่างแน่งน้อย ตาจ้องตาแสนอ่อนหวาน ราตรีเข้าหออาจผ่านมาเป็นเดือน แต่ราตรีนี้กลับกรุ่นกลิ่นหวานล้ำไม่แตกต่างจากราตรีของคู่วิวาห์ใหม่เลยแม้แต่น้อยทั้งน้ำเสียง สัมผัส และสายตาที่ซ่างกวนไท่ส่งมาให้ทำเอาเจ้าของร่างแน่งน้อย หัวใจเต้นเร็วและแรงจนสะท้านสะเทือนไปทั้งหัวอก นางลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ความใจกล้าที่เคยมีคล้ายจะมลายหายไปกับสายตาเว้าวอนอ่อนหวานเสียแล้ว“พะ...เพคะ”“เด็กดี ราตรีนี้ขอแค่เจ้าปล่อยไปตามอารมณ์กับข้าเป็นผู้นำก็พอ จากนั้นทุกอย่างจะดีเอง” กลีบปากล่างของเจี่ยอวี้หลันเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่าและกังวลอยู่เล็กน้อย“ปล่อยกายและใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลสิ่งใด และอย่าได้เขินอายมากไป เพียงเพราะเจ้าต้องเปลือยกายต่อหน้าข้
ตอนที่ 32รถม้าถึงตำหนักแล้วซ่างกวนไท่เป็นผู้ลงไปก่อน เขารอรับเจี่ยอวี้หลันอยู่ด้านล่าง ส่งนางจนถึงตำหนัก อยู่ร่วมมื้อกลางวันกับนางแล้วจึงบอกให้นางพักผ่อน“มื้อค่ำเจ้ารับไปก่อนได้เลยนะเจี่ยเอ๋อร์ ข้าอาจกลับมาไม่ทัน”“ได้เจ้าค่ะ เดี๋ยวเจี่ยเอ๋อร์ไปส่ง”“ไม่ต้องหรอกเจ้าพักเถิด”“เพิ่งกินอิ่ม ให้เจี่ยเอ๋อร์เดินไปส่งเถิดเพคะ”“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”ภาพสองสามีภรรยาพูดจาด้วยดี สายตาที่มองกันนั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึง ทุกคนที่รับใช้ชินอ๋องเห็นแล้วต่างตื้นตัน ที่บัดนี้นายท่านของพวกตนนอกจากเหน็ดเหนื่อยและวุ่นวายกับงานราชกิจมากล้น พอกลับถึงตำหนักก็ยังมี ความสุข รอคอยอยู่“อย่าลืมดื่มยานะเจี่ยเอ๋อร์”“เพคะ”มองส่งเรือนกายสูงใหญ่ขึ้นรถม้าจนหายเข้าไปด้านใน เจี่ยอวี้หลันก็ยังคงยืนรอจนรถม้าเคลื่อนพ้นไปจากหน้าประตูตำหนัก นางจึงกลับเข้าสู่ตำหนักมู่หรงจิ่งที่แอบซุ่มดูอยู่ทำได้เพียงกำหมัดกัดฟัน เพราะไม่มีโอกาสจะเข้าใกล้สตรีซึ่งเขามั่นใจว่านางคือหลู่อวี้หลิง อยากได้นางกลับคืนใจแทบขาด ทว่ามิอาจเอื้อมถึง ทำเอาคนที่อยากได้สิ่งใดก็ต้องได้คับแค้นใจยิ่ง“หึ! มีข้าอยู่ ยังจะคิดเพ้อฝัน สมควรตายจริงๆ”มีหรือคนเช่นซ่างก
ตอนที่ 31นางเองก็ตอบรับเขากลับไปทุกคำขอเช่นกัน และที่ตอบรับออกไปนางมั่นใจแล้วทั้งหมดจึงได้อนุญาตเขาออกไป ไม่มีเลยแม้เสี้ยวลมหายใจที่เจี่ยอวี้หลันจะไม่แน่ใจและลังเล“มันจะเจ็บมากนะ”“เพคะ”สิ้นเสียงหวานตอบรับท่อนลำแข็งขึงจึงถูกกดแทรกลงมา เริ่มแรกแค่ตึงก่อนจะเริ่มเจ็บราวกับร่างกายถูกฉีกกระชาก ใบหน้าหวานค่อยๆ เปลี่ยนสีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเม็ดโต แต่นางกลับไม่กรีดร้องออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เจ็บหนักเข้านางจึงเอื้อมมือขึ้นไปดึงลำคอแกร่งให้เขาก้มลงมาจุมพิตนางทันทีเท้าเรียวสองข้างยกขึ้นโอบกอดรอบสะโพกแกร่งแล้วออกแรงกดให้ชายหนุ่มรับรู้ว่านางต้องการให้เขาเดินหน้าเข้ามาให้จบในคราวเดียวปึก!“อื้อ!”“เจี่ยเอ๋อร์!”ซ่างกวนไท่มิคาดคนตัวเล็กจะใจเด็ดถึงเพียงนี้ตัวตนของเขามิใช่ธรรมดาแรกเข้าไปในคราวเดียวเช่นนี้นางบาดเจ็บไม่น้อยแน่นอน“มะ…มิเป็นไรเพคะ เจี่ยเอ๋อร์ทนไหว”เจ็บก็เจ็บมันคราวเดียวไปเลย เจี่ยอวี้หลันคิดเช่นนั้น เพราะนางไร้เดียงสานักยังไม่รู้แจ้งว่ามันไม่ได้จบสิ้นเพียงแค่ตัวตนของซ่างกวนไท่เข้าไปสุดความยาว แต่นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะสิ!“เจ้าตัวโง่งม เจ้าทำตนเองบาดเจ็บด้วยเหตุอันใด”ซ่างกวนไท่กล่าว